6 ปี กับการเดินทางของ 'Mustang' R15 คู่มือของผม

กระทู้สนทนา

   
    เขาเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผม....
    เขาเป็นมอเตอร์ไซค์ทรงสปอร์ตไบค์คันแรกของผม....
    เขาเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ทำให้ผมสนใจและติดตามวงการยานยนตร์ 2 ล้อ....
    เขาเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับกลุ่มมอไซค์....
    เขาเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่ผมใช้ขี่ออกทริปทางไกล และนิยามการท่องเที่ยวในแบบฉบับของผมเอง....
    เขาเป็นมอเตอร์ไซคค์คันแรกที่ทำให้ผมรู้จักกับกิจกรรมที่เรียกว่าการแต่งรถ....
    เขาเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่สอนให้ผมได้รู้จักกับวิธีการขับขี่ที่เรียกว่า Racing และ Gymkhana....
    เขาเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่สอนให้ผมรู้จักกับคำว่า"อิสระ"....

    สวัสดีครับเพื่อน ๆ ผมพฤต วันนี้ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ 6 ปีของผมกับเจ้าเพื่อนยากคันนี้ "Mustang" R15 คู่มือของผม ตามมาชมกันเลยครับ
 



    ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายท่านที่เล่นรถ ย่อมมีจุดเริ่มต้นที่ที่ทำให้เราสนใจ ผมเองก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดอยากมีมอเตอร์ไซค์เลยครับ คือขับเป็นแหละแต่ยังไม่เคยคิดอยากจะมีกับเขา เพราะอย่างเวลาไปเรียนผมก็อาศัยนั่งรถเมล์ไป หรือจะเข้าไปทำธุระในกรุงเทพฯ ก็นั่งรถเมล์หรือเรือด่วนเจ้าพระยา(ธงส้ม)ไปต่อ BTS จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมขึ้นมหาลัยฯ ม.ที่ผมจะเข้าเรียนไม่มีรถประจำทางวิ่งผ่านน่ะสิ หรือถึงตอนนี้มีแล้วก็จริง มันก็ไม่ได้ผ่านบ้านผม เป็นเหตุผลที่ผมต้องมีมอเตอร์ไซค์สักคันไว้ขับไปเรียน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้พบเพื่อนคนนึงที่ม. เพื่อนผมคนนี้เขาเล่น R15 
 



    การที่ได้เห็นรถเขาทุกวัน บวกกับได้ทำความรู้จักกับกลุ่มที่เพื่อนผมเขาเป็นสมาชิกอยู่ด้วยยิ่งตอกย้ำความสนใจใหม่เข้าไปอีก สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือ พยายามเก็บหอมรอมริบ เก็บตังค์เพื่อออกรถแบบนั้นกับเขาบ้าง ซึ่งเรียนตามตรงครับว่าตอนนั้นผมไม่มีความรู้เรื่องมอเตอร์ไซค์เลย รู้แค่ว่า R15 มันสวยมาก
 



    หลังจากทุ่มแรงกายแรงใจทำงานเก็บตังค์ และแล้วในที่สุดวันที่ 15 ตุลาคม ปี 2558 ผมก็ตัดสินใจไปออกรถ และรถก็มาส่งที่บ้านในอีก 2 วันต่อมา ในเย็นวันนั้นผมลองเอารถออกมาขี่วนอยู่ใกล้ ๆ บ้าน และจากนั้นในอีก 2 วันต่อมาในวันที่ 19 ผมก็เอารถไปเจิมเพื่อความเป็นสิริมงคล
 



    แต่ที่น่าตลกก็คือ งานนี้ผมไม่ได้ดูฤกษ์ครับ จริง ๆ วันที่ผมควรเอารถไปเจิมคือวันที่ 17 วันที่ผมได้รับรถและลองเอาออกไปขี่นั่นแหละ แต่ผมก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และช่วงบ่าย ๆ ของวันที่ 19 นั่นเองผมก็ได้เสิร์ชหาเท็กนิกขับรถมีคลัทให้คล่องขึ้น มีข้อความนึงสะดุดใจผม "ถ้าอยากขับคล่องก็ต้องขับบ่อย ๆ" เย็นวันนั้นผมเลยออกไปขับรถเล่น จุดหมายคือริมคลองมหาสวัสดิ์ ในตอนนั้นเป็นช่วงที่ฝนหยุดตกไปไม่นานนัก ผมจอดรถอยู่ใต้กอไผ่ริมคลอง น้ำที่ค้างอยู่บนใบไผ่หยดใส่จนเปียกผมจึงเลื่อนรถออกไปหน่อย แต่แล้วขาตั้งก็เด้งเก็บเข้าตัวรถ ผมก็รถล้มแปะไปด้วยกัน ข้อเท้าขวาสัมผัสก็แครงเครื่องที่กำลังร้อนระอุ เรียบร้อยครับได้แผลไฟไหม้ ผมยกรถขึ้นตรง ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจ ผมตบถังน้ำมันแล้วพูด "เราจะโตไปด้วยกัน"
 



    ในช่วงแรก ๆ นั้นเป็นอะไรที่กระท่อนกระแท่นมาก ผมรู้สึกว่าตัวรถดื้อมือและมักจะพยศอยู่บ่อย ๆ แต่นั่นก็เป็นเพราะความมือใหม่ของผมล้วน ๆ นั่นทำให้ผมตั้งชื่อเขาว่า "Mustang" ไม่ได้มาจากรถฟอร์ดมัสแตงค์นะครับ แต่มาจากชื่อสายพันธุ์ม้าป่าอเมริกัน ม้ามัสแตงค์
 



    ในตอนที่ผู้พิชิตชาวสเปนได้มาถึงโลกใหม่ พวกเขาเอาม้ามาด้วย ม้าพวกนั้นมีจำนวนนึงแหกคอกหนีไปได้ พวกมันได้ไปผสมกับม้าป่าพันธุ์พื้นเมืองที่เหลือรอดมาจากยุคน้ำแข็งสุดท้าย กำเหนิดเป็นม้าสายพันธุ์ใหม่ ม้ามัสแตงค์ เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว ม้ามัสแตงค์ทรงพลังกว่า แต่มันดุ เป็นเรื่องยากในการฝึกให้เชื่องเพราะมันดื้อและพยศมาก แต่หากฝึกให้เชื่องสำเร็จมันก็จะสร้างประโยชน์ให้เจ้าของได้มหาศาล(ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ) นี่แหละครับคือที่มาของชื่อ Mustang ที่ผมตั้งให้กับรถที่จะกลายมาเป็นม้าศึกคู่ใจ
 



    หลังจากที่เริ่มเชื่องมือ ก็ได้เวลาของการออกสำรวจโลก นี่คือครั้งแรกที่ผมเอารถคันนี้ไปวิ่งเล่น ถ้าจำไม่ผิด วันนั้นเป็นวันเปิดเทอมวันแรก ๆ ของปี 1 เทอม 2 แต่ด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างจำไม่ได้ทำให้เช้าวันนั้นผมกับเพื่อนว่าง มีเรียนอีกทีก็ช่วงบ่าย ผมก็เลยไปขับรถเล่นในสวนสาธารณะของกระทรวงสาธารณะสุข
 



    ได้ขับไปเที่ยวในหลาย ๆ ที่ แต่นั่นก็เป็นสถานที่ ๆ ไม่ไกลมาก และแล้วก็ได้เวลาของทริปขับมอเตอร์ไซค์ทางไกลทริปแรกในชีวิตของผม ทริปนี้เกิดมาจากคำชักชวนของรุ่นที่คนหนึ่งที่พวกผมได้รู้จักกันในม. จุดหมายปลายทางคือหาดชะอำ ณ. เวลานั้นด้วยความที่ไม่เคยมาก่อนและถึงจะขับมอเตอร์ไซค์มาสักพักแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เก่งอะไรมาก ยอมรับครับว่าแอบกลัว แต่สุดท้ายก็ไปถึงจุดหมายและกลับมาได้อย่างปลอดภัยละนะ
 



    หลังจากนั้นไม่นานผมกับเพื่อนก็ได้รับคำชวนจากรุ่นพี่อีกคนหนึ่งให้มาฝึกหัดขับวนกรวยแบบเรสซิ่ง โดยจะตั้งกรวยขับวนกันในลานจอดรถเมืองทองฯ ซึ่งคนที่มาฝึกให้ก็มีทั้งนักแข่งและครูฝึกที่มาๆสอนให้ในยามว่าง ผมเองก็ได้วิชามาไม่มากก็น้อยเหมือนกัน ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วรู้สึกว่าตอนนั้นผมพริ้วกว่าตอนนี้เยอะเลยล่ะครับ อ้อแล้วก็ เรื่องวนกรวยตอนนี้ไม่มีแล้วครับ
 



    ช่วงปลายปีเดียวกันนั้นเอง ผมรถล้มครับ เป็นการล้มครั้งที่ 2 ในชีวิต และเป็นการล้มครั้งแรกกับเจ้า Mustang เรื่องมีอยู่ว่าตอนนั้นเส้น 1011 ใกล้บ้านผมกำลังปรับปรุงผิวการจราจร ส่วนตัวผมก็กำลังควบเจ้า Mustang ไปเจอกับเพื่อน ๆ ที่นัดไว้ที่ถนนอักษะ แต่แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์ตัดหน้า ผมล้มไปเจอกับกองดิน ตัวรถเกิดแผล ไปเลี้ยวแตก รอยถลอกที่แฟลริ่งตรงสติ๊กเกอร์คาดแถบแดงนั่นคือแผลที่ได้ ซึ่งมันก็ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อ้อ ส่วนกระจกนั่นเป็นกระจกแต่ง เป็นการแต่งรถครั้งที่ 2
 



    หลังจากนั้นไม่นานผมก็เปลี่ยนท่อ แล้วผมก็ล้มอีกแล้ว ครับ เป็นการล้มครั้งที่ 5 ของผมและเป็นการล้มครั้งที่ 2 ของเจ้านี่ วันนั้นเป็นวันแม่ของปี 2560 ผมก่ะว่าช่วงเช้าจะไปออกกำลังกายที่คอนโดแล้วช่วงเย็นจะพาแม่ออกไปกินข้าวกัน ขณะที่ผมกำลังวนขึ้นวงเวียนนครอินทร์นั่นเอง ผมก็รู้สึกภาพตัดไปวูบนึง รู้สึกตัวอีกทีผมกับรถลงมากองอยู่บนพื้นแล้ว ผมลื่นน้ำขยะจากรถเก็บขยะที่เพิ่งผ่านไปไม่นานก่อนหน้านั้น แสบแผลก็แสบ เหม็นน้ำขยะที่เลอะทั้งกางเกงก็เหม็น เซ็งแบบสุด ๆ ซึ่งต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า ตอนวนขึ้นผมไม่ได้ขับเร็วเลย ผลก็คือกระจกหัก แผลเป็นใหญ่ที่แฟลริ่งขวา ไปเลี้ยวแตกอีกแล้ว แต่ท่อแต่งกลับไม่เป็นอะไรมากซะงั้น 
 



    หลังจากนั้นก็ออกทริปไปนู่นนี่นั่น ล้มอีกรอบที่ลานจอดมอเตอร์ไซค์ของอิเกียบางใหญ่ที่พื้นลื่นเพราะน้ำขังจากฝนตก และแล้วก็มาถึงทริปที่เป็นทริปทางไกลที่สุดของผมสำหรับในตอนนี้ นั่นคือทริปเขาใหญ่ล่าสุดนี่เอง เป็นทริปไปเช้าเย็นกลับเช่นเดียวกับทริปชะอำก็จริง แม้ระยะทางจะใกล้เคียงกันแต่เมื่อเทียบกันแล้วทริปเขาใหญ่มีระยะทางไกลกว่าโดยเฉพาะทริปเขาใหญ่ล่าสุดนี้ที่ผมขับทะลุจากวงเวียนนเรศวรไปออกปากช่อง
 



    หลังจากนั้นก็เที่ยว ๆ ขับ ๆ ซ่อม ๆ ตามประสามาจนถึงทุกวันนี้ ยอมรับตามตรงครับว่าก็คิดอยู่เรื่อย ๆ แหละเรื่องการอัพซีซี หรือหารถอะไรมาประจำการแทนเพราะตอนนี้ตัวรถก็เริ่มมีอาการต่าง ๆ แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ตัดใจทิ้งไม่ลง จึงตัดสินใจว่าจะซ่อมใช้กันไปอย่างนี้แหละ หรือจนกว่าผมจะตบะแตกออกรถอื่นมาขับแทน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นผมก็คงจะมาเจ้านี่ไปไหนต่อไหนมาจนคุ้มแล้ว และนี่แหละครับคือเรื่องราวของม้าศึกคู่ใจของผม Mustang และแน่นอนว่าเรื่องราวนี้ยังไม่จบลงแน่นอน ซึ่งจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ไว้ถึงตอนนั้นเราค่อยมาว่ากันใหม่ สวัสดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่