ขอสอบถามเกี่ยวกับการต่อลำโพงรถยนต์แบบ Hi-Power หน่อยครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่าผมอยากจะเปลี่ยน ฟร้อน และลำโพงรถยนต์ ก็เลยลองศึกษาว่าจะทำยังไงให้เสียงออกมาดี ด้วยวิธีที่ไม่ยุ่งยาก (ไม่อยากใส่แอมป์ หรือซัปเพิ่ม) ก็พบว่าวิธีที่มีคนแนะนำเยอะสุดคือการต่อแบบ Bi-Amp (ไม่รู้เรียกถูกหรือป่าวนะครับ) คือการใช้ฟร้อนที่มีเชนเนลสำหรับขับลำโพง เชนเนลสำหรับขับคู่หน้าขับทวีตเตอร์ เชนเนลสำหรับขับคู่หลังขับวูฟเวอร์คู่หน้า และลำโพงคู่หลังไม่ต้องใส่ เลยมีคำถามที่อยากจะสอบถามพี่น้องๆเพื่อไขข้อข้องใจที่ผมจะ งง อยู่ครับ
ฟร้อนที่เล็งไว้ คือ Pioneer z6350bt (แต่อาจมีเปลี่ยนแปลง) ลำโพงที่เล็งไว้คือ Focal PS165V1 ครับ
คำถามที่ 1
ผมลองอ่านคู่มือของฟร้อนไพโอเนียร์แล้วถ้าผมจะต่อแบบ Bi-Amp ผมต้องใช้เป็น Network Mode ใช่ไหมครับ ? คือ เชนเนลสำหรับขับลำโพงคู่แรกจะส่งเฉพาะสัญญาณ Hi range frequency เชนเนลคู่ถัดมาจะส่งสัญญาณเฉพาะ Mid rage frequency ส่วนเชนเนลสุดท้ายจะไว้ขับซัปวูฟเฟอร์ (ไม่ได้ใช้) ซึ่งจากคู่มือ
จะเห็นว่าถ้าผมใช้ Network Mode สายสัญญาณลำโพงขาที่ 7 กับ 8 จะส่งสัญญาณ Hi Fq. ให้กับลำโพงด้านซ้าย (tweeter) และ ขาที่ 9 กับ 10 จะส่งให้ลำโพง tweeter ด้านขวา อันนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ ? ถ้าผิดตรงไหนยังไงช่วยแนะนำด้วยครับ
คำถามที่ 2
ผมต้องเดินสายลำโพงใหม่เลยใช่ไหมครับ และเดิมตามไดอะแกรมนี้ใช่ไหมครับ ?
ถ้าผิด หรือมีข้อแนะนำอะไร แนะนำผมด้วยครับ
คำถามที่ 3
จากคู่มือฟร้อนไพโเนียร์จะเห็นว่า ฟร้อนสามารถขับกำลังแบบต่อเนื่อง (Continous power output) ได้ 22W ที่โหลดความต้านทาน 4 โอห์ม และสามารถรับโหลดได้สูงสุดถึง 8 โอห์ม เพราะฉะนั้นผมสามารถนำลำโพงที่มีความต้านทาน 8 โอห์ม มาต่อได้ เพียงแต่ว่ากำลังขับแบบต่อเนื่องที่ 22 W ก็จะลดลงไม่ถึง 22 W ถูกต้องไหมครับ
ในทางตรงกันข้ามถ้าผมอยากได้กำลังขับมากกว่า 22W ผมสามารถเอาลำโพง 4 โอห์ม มาต่อขนานกัน จะเหลือความต้านทานรวม 2 โอห์ม ได้ แต่ก็จะส่งผลให้ฟร้อนมีโอกาสชำรุดได้ ผมเข้าใจถูกไหมครับ ?
คำถามสุดท้ายครับ
ในการต่อลำโพง ผมมีการใส่ Passive Crossover ของตัวลำโพงเข้าไปแล้ว ซึ่งมันทำหน้าที่ตัดย่านความถี่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับลำโพงตัวนั้นๆ ออกไป (เหมือนเป็นการกำหนดกราฟความถี่ High pass filter และ Low pass filter และจุด crossover ไว้แล้ว << อันนี้ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกไหมนะครับ) ดังนั้นผมยังมีความจำเป็นจะต้องมาทำการปรับจูนเสียงอีกไหมครับ ? (ในที่นี้หมายถึงการปรับจูนในฟร้อนท์ คล้ายๆการปรับจูนใน Digital Signal Processor, DSP)
ขอบคุณครับ ^_^
ขอสอบถามแนวทางการต่อเครื่องเสียงรถยนต์แบบ Hi-Power ครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่าผมอยากจะเปลี่ยน ฟร้อน และลำโพงรถยนต์ ก็เลยลองศึกษาว่าจะทำยังไงให้เสียงออกมาดี ด้วยวิธีที่ไม่ยุ่งยาก (ไม่อยากใส่แอมป์ หรือซัปเพิ่ม) ก็พบว่าวิธีที่มีคนแนะนำเยอะสุดคือการต่อแบบ Bi-Amp (ไม่รู้เรียกถูกหรือป่าวนะครับ) คือการใช้ฟร้อนที่มีเชนเนลสำหรับขับลำโพง เชนเนลสำหรับขับคู่หน้าขับทวีตเตอร์ เชนเนลสำหรับขับคู่หลังขับวูฟเวอร์คู่หน้า และลำโพงคู่หลังไม่ต้องใส่ เลยมีคำถามที่อยากจะสอบถามพี่น้องๆเพื่อไขข้อข้องใจที่ผมจะ งง อยู่ครับ
ฟร้อนที่เล็งไว้ คือ Pioneer z6350bt (แต่อาจมีเปลี่ยนแปลง) ลำโพงที่เล็งไว้คือ Focal PS165V1 ครับ
คำถามที่ 1
ผมลองอ่านคู่มือของฟร้อนไพโอเนียร์แล้วถ้าผมจะต่อแบบ Bi-Amp ผมต้องใช้เป็น Network Mode ใช่ไหมครับ ? คือ เชนเนลสำหรับขับลำโพงคู่แรกจะส่งเฉพาะสัญญาณ Hi range frequency เชนเนลคู่ถัดมาจะส่งสัญญาณเฉพาะ Mid rage frequency ส่วนเชนเนลสุดท้ายจะไว้ขับซัปวูฟเฟอร์ (ไม่ได้ใช้) ซึ่งจากคู่มือ
จะเห็นว่าถ้าผมใช้ Network Mode สายสัญญาณลำโพงขาที่ 7 กับ 8 จะส่งสัญญาณ Hi Fq. ให้กับลำโพงด้านซ้าย (tweeter) และ ขาที่ 9 กับ 10 จะส่งให้ลำโพง tweeter ด้านขวา อันนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ ? ถ้าผิดตรงไหนยังไงช่วยแนะนำด้วยครับ
คำถามที่ 2
ผมต้องเดินสายลำโพงใหม่เลยใช่ไหมครับ และเดิมตามไดอะแกรมนี้ใช่ไหมครับ ?
ถ้าผิด หรือมีข้อแนะนำอะไร แนะนำผมด้วยครับ
คำถามที่ 3
จากคู่มือฟร้อนไพโเนียร์จะเห็นว่า ฟร้อนสามารถขับกำลังแบบต่อเนื่อง (Continous power output) ได้ 22W ที่โหลดความต้านทาน 4 โอห์ม และสามารถรับโหลดได้สูงสุดถึง 8 โอห์ม เพราะฉะนั้นผมสามารถนำลำโพงที่มีความต้านทาน 8 โอห์ม มาต่อได้ เพียงแต่ว่ากำลังขับแบบต่อเนื่องที่ 22 W ก็จะลดลงไม่ถึง 22 W ถูกต้องไหมครับ
ในทางตรงกันข้ามถ้าผมอยากได้กำลังขับมากกว่า 22W ผมสามารถเอาลำโพง 4 โอห์ม มาต่อขนานกัน จะเหลือความต้านทานรวม 2 โอห์ม ได้ แต่ก็จะส่งผลให้ฟร้อนมีโอกาสชำรุดได้ ผมเข้าใจถูกไหมครับ ?
คำถามสุดท้ายครับ
ในการต่อลำโพง ผมมีการใส่ Passive Crossover ของตัวลำโพงเข้าไปแล้ว ซึ่งมันทำหน้าที่ตัดย่านความถี่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับลำโพงตัวนั้นๆ ออกไป (เหมือนเป็นการกำหนดกราฟความถี่ High pass filter และ Low pass filter และจุด crossover ไว้แล้ว << อันนี้ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกไหมนะครับ) ดังนั้นผมยังมีความจำเป็นจะต้องมาทำการปรับจูนเสียงอีกไหมครับ ? (ในที่นี้หมายถึงการปรับจูนในฟร้อนท์ คล้ายๆการปรับจูนใน Digital Signal Processor, DSP)
ขอบคุณครับ ^_^