ก้าวไกล ยื่น 5 ข้อเสนอเชิงบวก ปลุกรัฐบาลสู้โควิด ขอดำเนินการเร่งด่วน รักษาชีวิตคน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2697963
ก้าวไกล ยื่น 5 ข้อเสนอสู้โควิดเชิงบวกถึงรัฐบาล วอนดำเนินการเร่งด่วน เพื่อรักษาชีวิตคน
เมื่อวันที่ 29 เมษายน นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นำเสนอข้อเสนอการแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด ต่อนายกรัฐมนตรี ระบุว่า
ต้องจ่ายยา Favipiravir ให้เร็วก่อนผู้ติดเชื้อจะมีอาการหนัก Remdesivir ปัจจุบันยังขาดแคลน รัฐบาลควรกระจายความเสี่ยงในการจัดหายาอื่นๆ เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ตามข้อบ่งชี้ เพื่อช่วยเหลือชีวิตประชาชนให้ได้มากที่สุด
จากการประชุมหารือกับคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ “ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19” พบว่าปัจจุบันพบว่า ที่ผ่านมารัฐบาลประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไว้ต่ำเกินไป จากข่าวเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 64 ที่ผ่านมา [1] พบว่าประเทศไทยมีสต๊อกยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) อยู่เพียง 400,000 เม็ด (ตามข่าวระบุว่าใช้วัน 20,000 เม็ด คาดว่าจะใช้ได้จนถึงสิ้นเดือน เม.ย. 64) โดยผู้ติดเชื้อที่มีข้อบ่งชี้ให้ใช้ยา จะต้องกินยาชนิดนี้ ประมาณ 5-10 วัน (ขึ้นอยู่กับอาการ) โดยมีความจำเป็นต้องใช้ยานี้ประมาณ 50 เม็ดต่อผู้ป่วย 1 คน
แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 19 เม.ย. เริ่มพบปัญหายา Favipiravir ที่เชียงใหม่ หมดสต๊อก [2] โชคยังดีที่วันที่ 26 เม.ย. ยา Favipiravir จำนวน 2 ล้านเม็ดได้มาถึงประเทศไทยได้อย่างทันการณ์ [3] ซึ่งตามข่าวระบุว่าเดือน พ.ค. นี้จะมาเพิ่มเติมอีก 1 ล้านเม็ด และมีแผนที่จะให้องค์การเภสัชกรรมจัดหาเพิ่มเติมอีก 2-3 ล้านเม็ด
สำหรับการพัฒนายา Favipiravir คาดว่าจะสามารถยื่นข้อมูลขึ้นทะเบียนกับ อย. ได้ประมาณ มิ.ย.-ก.ค. สำหรับการผลิตเพื่อจำหน่ายนั้น จะทำได้ภายหลังการได้ทะเบียนตำรับยาจาก อย. และหากไม่มีข้อติดขัดด้านสิทธิบัตรยา ก็จะสามารถผลิตยา Favipiravir ได้ทันที [4]
ยา Favipiravir ไม่ได้มีความสำคัญในการรักษาผู้ป่วยอาการหนักเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว) ที่เพิ่งจะเริ่มมีอาการ ไม่ต้องมีอาการที่ทรุดหนัก ไวรัสลงปอด จนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต ซึ่งการดูแลรักษาผู้ป่วยอาการหนัก นั้นเป็นภาระที่หนักมากๆ สำหรับระบบสาธารณสุข ซึ่งทั้งจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ จำนวนเตียง และจำนวนเตียง ICU มีอยู่อย่างจำกัด ณ ขณะนี้
โดยแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ ก็ระบุเอาไว้เองว่า ปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะรุนแรง ก็คือ การที่ผู้ติดเชื้อได้รับยา Favipiravir เร็วภายใน 4 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการ เนื่องจากยา Favipiravir ช่วยลดปริมาณไวรัสได้ดี ดังนั้น จึงควรให้ยา Favipiravir เร็วก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการหนัก [5]
ข้อเสนอแนะ
1) รัฐบาลควรจะต้องสำรองยา Favipiravir ให้เพียงพอต่อการจ่ายยาของแพทย์ โดยให้ครอบคลุมถึงการจ่ายยาให้กับการจ่ายยาตามดุลยพินิจของแพทย์ ให้กับผู้ติดเชื้อที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว) ที่ยังไม่มีอาการ หรือเริ่มมีอาการ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีอาการทรุดหนักลง แพทย์เจ้าของไข้ทุกคน จะรู้สึกเสียใจอย่างมาก เมื่อเห็นคนไข้ที่ตนเองเป็นเจ้าของไข้มีอาการทรุดหนักลง ทั้งๆ ที่แต่เดิมไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย
2) ป้จจุบันคนไข้ต้องรอคิวตรวจ RT-PCR นานมาก บางรายต้องรอคิวนานถึง 2-3 วัน กว่าจะทราบผลว่าติดเชื้อ ก็พบว่าเชื้อลงปอด และอาการทรุดหนักลงแล้ว บางรายเสียชีวิตก่อนทราบผลว่าติดเชื้อก็มี เสียชีวิตวันเดียวกันกับที่ทราบผลว่าติดเชื้อก็มี [6] ดังนั้นจึงควรเปิดโอกาสให้แพทย์ใช้ดุลยพินิจในการจ่ายยา Favipiravir ได้อย่างทันการณ์ขึ้น หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการที่เข้าข่ายการเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีประวัติที่เสี่ยงที่จะมีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ หรือพบว่ามีผลตรวจ Rapid Antigen Test ซึ่งรอผลเพียง 30 นาที เป็น Positive (ติดเชื้อ) ควรอนุญาตให้แพทย์จ่ายยา Favipiravir ได้ทันที หากพบว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการ หรือกรณีผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว) ควรอนุญาตให้แพทย์ใช้ดุลยพินิจจ่ายยา Favipiravir ได้ก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการได้
การรอยาโดยที่ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนักลง โดยที่แพทย์เจ้าของไข้ไม่สามารถจ่ายให้ยาได้ เป็นความทุกข์ทรมานของแพทย์ ผู้ป่วย และญาติของผู้ป่วย ที่ต้องทนเห็นผู้ป่วยมีอาการทรุดลงอยู่ตรงหน้า โดยที่ทำอะไรไปกว่านี้ไม่ได้
ต้องยอมรับว่าการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 นั้นต้องแข่งกับเวลา หากผลตรวจด้วยวิธี RT-PCR ออกมาภายหลังว่าไม่ติดเชื้อ แพทย์ก็สามารถสั่งหยุดยาได้ทันที ผลข้างเคียงจากการรับยานั้นมีน้อยกว่า การสูญเสียชีวิตอันเนื่องจมาการเสียโอกาสที่ผู้ป่วยจะได้รับยา
3) สำหรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจยืนยันว่าตนติดเชื้อ และอยู่ระหว่างการรอเตียง หากพบว่าเริ่มมีอาการ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว) ควรออกกฎหมายอนุญาตให้ใช้ Telemedicine ได้ โดยให้แพทย์สามารถจ่ายยา และมีบริการจัดส่งยาให้กับผู้ป่วยถึงบ้าน ผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เขาต้องรอตรวจ รอเตียง ก็แย่พออยู่แล้ว อย่าให้เขาถึงกับต้องรอยา และรอความตายเลย
สำหรับผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจ RT-PCR ควรซักประวัติเอาไว้ล่วงหน้าเลย หากพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว เมื่อผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อ และผู้ป่วยอยู่ระหว่างรอเตียง จะได้โทรศัพท์ไปแจ้งผล พร้อมกับจัดส่งยา Favipiravia ให้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะมีอาการทรุดหนักลง และต้องเข้า ICU ซึ่งเป็นภาระของระบบสาธารณสุขที่อยู่ในวิสัยที่จะสกัดกั้นล่วงหน้าได้
4) รัฐบาลควรกระจายความเสี่ยงในการจัดหายารักษาโรคโควิด-19 อื่นๆ เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ตามข้อบ่งชี้
ได้อย่างเหมาะสม ปัจจุบันยาฉีด Remdesivir ซึ่งเป็นยาที่อยู่ในรายการแนวทางเวชปฏิบัติ [7] ก็มีสต๊อกเหลือน้อยมาก แทบจะเบิกใช้ไม่ได้ หรือยา Tocilizumab ที่ต้านการอักเสบของปอด ก็แทบจะไม่มีสต๊อกให้เบิก ทั้งๆ ที่ยานี้เคยอยู่ในแนวเวชปฏิบัติมาก่อน และปัจจุบัน รพ.ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ก็ยังแนะนำให้ใช้อยู่ หากมีข้อบ่งชี้
และปัจจุบัน มียาอีกเป็นจำนวนมากที่ผ่าน FDA แล้ว หรือกำลังจะผ่าน FDA ที่มีงานวิจัยยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด-19 เช่น Monoclonal Antibody ยา Bamlanivimab และ Etesevimab ของ Eli Lilly หรือ ยา Molnupiravir (กำลังจะผ่าน FDA) รัฐบาลควรเร่งกระจายความเสี่ยงในการจัดหายารักษา เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ตามข้อบ่งชี้อย่างเพียงพอ
ตอนนี้ย้ำว่า Remdesivir และ Tocilizumab ขาดแคลนอย่างมาก ขอให้รัฐบาลเร่งจัดหามาอย่างเร่งด่วน
และการเจรจาซื้อยา (รวมทั้งวัคซีน) รัฐบาลควรจะต้องสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ เข้ามาช่วยกระทรวงสาธาณสุขในการเจรจาสั่งซื้อยาได้แล้ว เพื่อให้การสั่งซื้อยาจากต่างประเทศทำได้เร็วขึ้น
5. อุปกรณ์ที่มีความจำเป็นในการช่วยชีวิตผู้ป่วย และแพทย์มีความจำเป็นอย่างมาก ณ ขณะนี้ ก็คือ เครื่อง Oxygen High Flow ซึ่งกรมสมเด็จพระเทพฯ ท่านได้มีพระเมตตาพระราชทานเอาไว้ให้จำนวนหนึ่งแล้ว [8] แพทย์ต้องการให้รัฐบาลอนุมัติงบประมาณในการจัดซื้ออย่างเร่งด่วน เพราะจะช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีอาการหนักขึ้นได้ โดยที่อาจจะไม่จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หากมีเครื่อง Oxygen High Flow แพทย์ก็จะมีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วย โดยลดภาระของ ICU ได้ โดยเฉพาะโรงพยาบาลแรกรับ หรือศูนย์แรกรับ ที่รัฐบาลกำลังจัดจัดตั้งขึ้น เครื่อง Oxygen High Flow ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ผมยืนยันว่า ผม ผู้เชี่ยวชาญ และคณะทำงาน ที่ได้หารือกัน คำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการรักษาชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ และพยายามที่จะนำเสนอแนะแบบเปิดผนึกไปยังรัฐบาล ด้วยข้อความเชิงบวก เพื่อให้รัฐบาลได้นำเอาไปพิจารณา และเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะเปิดใจรับฟัง และเข้าใจความปรารถนาดีของผม และคณะทำงานที่ได้ร่วมประชุม และจัดพิมพ์ข้อเสนอแนะฉบับนี้ออกมา
อ้างอิง:
[1]
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2676662 และ
https://www.prachachat.net/economy/news-657373
[2]
https://www.pptvhd36.com/news/สุขภาพ/145864
[3]
https://news.thaipbs.or.th/content/303689
[4]
https://workpointtoday.com/favipiravir และ
https://www.hfocus.org/content/2021/04/21519 และ
https://www.thairath.co.th/news/politic/2079578
[5]
https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/g_health_care/g04_CPG170464.pdf
[6]
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_2695453 และ
https://www.posttoday.com/social/general/651607
[7]
https://www.dms.go.th/backend//Content/Content_File/Practice_guidelines/Attach/25631019114408AM_CPG_COVID_18%20Oct-2020-NS_formatted.pdf
[8]
https://www.matichon.co.th/court-news/news_2691223
คลัง หั่นเป้าจีดีพีไทยปี 64 เหลือโตได้ 2.3 %
https://www.tnnthailand.com/news/wealth/78400/
คลัง ปรับเป้าหมาย เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ขณะที่การส่งออกสินค้าจะฟื้นตัวตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก
วันนี้( 29 เม.ย.64) นางสาว
กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.8 ถึง 2.8) ปรับตัวลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนมกราคม 2564 ที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย การเดินทางระหว่างประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากมาตรการทางการคลังและการเงินที่ประเทศต่าง ๆ ดำเนินการ เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
โดยกระทรวงการคลัง คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 11.0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 10.5 ถึง 11.5) นอกจากนี้ การดำเนินมาตรการทางการคลังของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการ ม33เรารักกัน และมาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ประกอบกับการใช้จ่ายเงินกู้จากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ที่คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายในส่วนที่เหลือได้อย่างต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภค ประคับประคองภาคธุรกิจ และรักษาระดับการจ้างงานให้สูงขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.8 ถึง 2.8) และ 4.8 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.3 ถึง 5.3) ตามลำดับ ขณะที่การบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.5 ถึง 5.5) และ 10.1 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 9.6 ถึง 10.6) ตามลำดับ
JJNY : 5in1 ก้าวไกลยื่น5ข้อเสนอเชิงบวก│คลังหั่นเป้าจีดีพีโต2.3%│CIMBTเฉือนเหลือ2.2%│ปิดคลังพลาซ่า│หดหู่ อัดคลิปขายกระทะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2697963
ก้าวไกล ยื่น 5 ข้อเสนอสู้โควิดเชิงบวกถึงรัฐบาล วอนดำเนินการเร่งด่วน เพื่อรักษาชีวิตคน
เมื่อวันที่ 29 เมษายน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นำเสนอข้อเสนอการแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด ต่อนายกรัฐมนตรี ระบุว่า
ต้องจ่ายยา Favipiravir ให้เร็วก่อนผู้ติดเชื้อจะมีอาการหนัก Remdesivir ปัจจุบันยังขาดแคลน รัฐบาลควรกระจายความเสี่ยงในการจัดหายาอื่นๆ เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ตามข้อบ่งชี้ เพื่อช่วยเหลือชีวิตประชาชนให้ได้มากที่สุด
จากการประชุมหารือกับคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ “ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19” พบว่าปัจจุบันพบว่า ที่ผ่านมารัฐบาลประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไว้ต่ำเกินไป จากข่าวเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 64 ที่ผ่านมา [1] พบว่าประเทศไทยมีสต๊อกยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) อยู่เพียง 400,000 เม็ด (ตามข่าวระบุว่าใช้วัน 20,000 เม็ด คาดว่าจะใช้ได้จนถึงสิ้นเดือน เม.ย. 64) โดยผู้ติดเชื้อที่มีข้อบ่งชี้ให้ใช้ยา จะต้องกินยาชนิดนี้ ประมาณ 5-10 วัน (ขึ้นอยู่กับอาการ) โดยมีความจำเป็นต้องใช้ยานี้ประมาณ 50 เม็ดต่อผู้ป่วย 1 คน
แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 19 เม.ย. เริ่มพบปัญหายา Favipiravir ที่เชียงใหม่ หมดสต๊อก [2] โชคยังดีที่วันที่ 26 เม.ย. ยา Favipiravir จำนวน 2 ล้านเม็ดได้มาถึงประเทศไทยได้อย่างทันการณ์ [3] ซึ่งตามข่าวระบุว่าเดือน พ.ค. นี้จะมาเพิ่มเติมอีก 1 ล้านเม็ด และมีแผนที่จะให้องค์การเภสัชกรรมจัดหาเพิ่มเติมอีก 2-3 ล้านเม็ด
สำหรับการพัฒนายา Favipiravir คาดว่าจะสามารถยื่นข้อมูลขึ้นทะเบียนกับ อย. ได้ประมาณ มิ.ย.-ก.ค. สำหรับการผลิตเพื่อจำหน่ายนั้น จะทำได้ภายหลังการได้ทะเบียนตำรับยาจาก อย. และหากไม่มีข้อติดขัดด้านสิทธิบัตรยา ก็จะสามารถผลิตยา Favipiravir ได้ทันที [4]
ยา Favipiravir ไม่ได้มีความสำคัญในการรักษาผู้ป่วยอาการหนักเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว) ที่เพิ่งจะเริ่มมีอาการ ไม่ต้องมีอาการที่ทรุดหนัก ไวรัสลงปอด จนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต ซึ่งการดูแลรักษาผู้ป่วยอาการหนัก นั้นเป็นภาระที่หนักมากๆ สำหรับระบบสาธารณสุข ซึ่งทั้งจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ จำนวนเตียง และจำนวนเตียง ICU มีอยู่อย่างจำกัด ณ ขณะนี้
โดยแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ ก็ระบุเอาไว้เองว่า ปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะรุนแรง ก็คือ การที่ผู้ติดเชื้อได้รับยา Favipiravir เร็วภายใน 4 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการ เนื่องจากยา Favipiravir ช่วยลดปริมาณไวรัสได้ดี ดังนั้น จึงควรให้ยา Favipiravir เร็วก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการหนัก [5]
ข้อเสนอแนะ
1) รัฐบาลควรจะต้องสำรองยา Favipiravir ให้เพียงพอต่อการจ่ายยาของแพทย์ โดยให้ครอบคลุมถึงการจ่ายยาให้กับการจ่ายยาตามดุลยพินิจของแพทย์ ให้กับผู้ติดเชื้อที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว) ที่ยังไม่มีอาการ หรือเริ่มมีอาการ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีอาการทรุดหนักลง แพทย์เจ้าของไข้ทุกคน จะรู้สึกเสียใจอย่างมาก เมื่อเห็นคนไข้ที่ตนเองเป็นเจ้าของไข้มีอาการทรุดหนักลง ทั้งๆ ที่แต่เดิมไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย
2) ป้จจุบันคนไข้ต้องรอคิวตรวจ RT-PCR นานมาก บางรายต้องรอคิวนานถึง 2-3 วัน กว่าจะทราบผลว่าติดเชื้อ ก็พบว่าเชื้อลงปอด และอาการทรุดหนักลงแล้ว บางรายเสียชีวิตก่อนทราบผลว่าติดเชื้อก็มี เสียชีวิตวันเดียวกันกับที่ทราบผลว่าติดเชื้อก็มี [6] ดังนั้นจึงควรเปิดโอกาสให้แพทย์ใช้ดุลยพินิจในการจ่ายยา Favipiravir ได้อย่างทันการณ์ขึ้น หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการที่เข้าข่ายการเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีประวัติที่เสี่ยงที่จะมีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ หรือพบว่ามีผลตรวจ Rapid Antigen Test ซึ่งรอผลเพียง 30 นาที เป็น Positive (ติดเชื้อ) ควรอนุญาตให้แพทย์จ่ายยา Favipiravir ได้ทันที หากพบว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการ หรือกรณีผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว) ควรอนุญาตให้แพทย์ใช้ดุลยพินิจจ่ายยา Favipiravir ได้ก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการได้
การรอยาโดยที่ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนักลง โดยที่แพทย์เจ้าของไข้ไม่สามารถจ่ายให้ยาได้ เป็นความทุกข์ทรมานของแพทย์ ผู้ป่วย และญาติของผู้ป่วย ที่ต้องทนเห็นผู้ป่วยมีอาการทรุดลงอยู่ตรงหน้า โดยที่ทำอะไรไปกว่านี้ไม่ได้
ต้องยอมรับว่าการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 นั้นต้องแข่งกับเวลา หากผลตรวจด้วยวิธี RT-PCR ออกมาภายหลังว่าไม่ติดเชื้อ แพทย์ก็สามารถสั่งหยุดยาได้ทันที ผลข้างเคียงจากการรับยานั้นมีน้อยกว่า การสูญเสียชีวิตอันเนื่องจมาการเสียโอกาสที่ผู้ป่วยจะได้รับยา
3) สำหรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจยืนยันว่าตนติดเชื้อ และอยู่ระหว่างการรอเตียง หากพบว่าเริ่มมีอาการ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว) ควรออกกฎหมายอนุญาตให้ใช้ Telemedicine ได้ โดยให้แพทย์สามารถจ่ายยา และมีบริการจัดส่งยาให้กับผู้ป่วยถึงบ้าน ผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เขาต้องรอตรวจ รอเตียง ก็แย่พออยู่แล้ว อย่าให้เขาถึงกับต้องรอยา และรอความตายเลย
สำหรับผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจ RT-PCR ควรซักประวัติเอาไว้ล่วงหน้าเลย หากพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ หรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว เมื่อผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อ และผู้ป่วยอยู่ระหว่างรอเตียง จะได้โทรศัพท์ไปแจ้งผล พร้อมกับจัดส่งยา Favipiravia ให้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะมีอาการทรุดหนักลง และต้องเข้า ICU ซึ่งเป็นภาระของระบบสาธารณสุขที่อยู่ในวิสัยที่จะสกัดกั้นล่วงหน้าได้
4) รัฐบาลควรกระจายความเสี่ยงในการจัดหายารักษาโรคโควิด-19 อื่นๆ เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ตามข้อบ่งชี้ ได้อย่างเหมาะสม ปัจจุบันยาฉีด Remdesivir ซึ่งเป็นยาที่อยู่ในรายการแนวทางเวชปฏิบัติ [7] ก็มีสต๊อกเหลือน้อยมาก แทบจะเบิกใช้ไม่ได้ หรือยา Tocilizumab ที่ต้านการอักเสบของปอด ก็แทบจะไม่มีสต๊อกให้เบิก ทั้งๆ ที่ยานี้เคยอยู่ในแนวเวชปฏิบัติมาก่อน และปัจจุบัน รพ.ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ก็ยังแนะนำให้ใช้อยู่ หากมีข้อบ่งชี้
และปัจจุบัน มียาอีกเป็นจำนวนมากที่ผ่าน FDA แล้ว หรือกำลังจะผ่าน FDA ที่มีงานวิจัยยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด-19 เช่น Monoclonal Antibody ยา Bamlanivimab และ Etesevimab ของ Eli Lilly หรือ ยา Molnupiravir (กำลังจะผ่าน FDA) รัฐบาลควรเร่งกระจายความเสี่ยงในการจัดหายารักษา เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ตามข้อบ่งชี้อย่างเพียงพอ
ตอนนี้ย้ำว่า Remdesivir และ Tocilizumab ขาดแคลนอย่างมาก ขอให้รัฐบาลเร่งจัดหามาอย่างเร่งด่วน
และการเจรจาซื้อยา (รวมทั้งวัคซีน) รัฐบาลควรจะต้องสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ เข้ามาช่วยกระทรวงสาธาณสุขในการเจรจาสั่งซื้อยาได้แล้ว เพื่อให้การสั่งซื้อยาจากต่างประเทศทำได้เร็วขึ้น
5. อุปกรณ์ที่มีความจำเป็นในการช่วยชีวิตผู้ป่วย และแพทย์มีความจำเป็นอย่างมาก ณ ขณะนี้ ก็คือ เครื่อง Oxygen High Flow ซึ่งกรมสมเด็จพระเทพฯ ท่านได้มีพระเมตตาพระราชทานเอาไว้ให้จำนวนหนึ่งแล้ว [8] แพทย์ต้องการให้รัฐบาลอนุมัติงบประมาณในการจัดซื้ออย่างเร่งด่วน เพราะจะช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีอาการหนักขึ้นได้ โดยที่อาจจะไม่จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หากมีเครื่อง Oxygen High Flow แพทย์ก็จะมีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วย โดยลดภาระของ ICU ได้ โดยเฉพาะโรงพยาบาลแรกรับ หรือศูนย์แรกรับ ที่รัฐบาลกำลังจัดจัดตั้งขึ้น เครื่อง Oxygen High Flow ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ผมยืนยันว่า ผม ผู้เชี่ยวชาญ และคณะทำงาน ที่ได้หารือกัน คำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการรักษาชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ และพยายามที่จะนำเสนอแนะแบบเปิดผนึกไปยังรัฐบาล ด้วยข้อความเชิงบวก เพื่อให้รัฐบาลได้นำเอาไปพิจารณา และเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะเปิดใจรับฟัง และเข้าใจความปรารถนาดีของผม และคณะทำงานที่ได้ร่วมประชุม และจัดพิมพ์ข้อเสนอแนะฉบับนี้ออกมา
อ้างอิง:
[1] https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2676662 และ https://www.prachachat.net/economy/news-657373
[2] https://www.pptvhd36.com/news/สุขภาพ/145864
[3] https://news.thaipbs.or.th/content/303689
[4] https://workpointtoday.com/favipiravir และ https://www.hfocus.org/content/2021/04/21519 และ https://www.thairath.co.th/news/politic/2079578
[5] https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/g_health_care/g04_CPG170464.pdf
[6] https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_2695453 และ https://www.posttoday.com/social/general/651607
[7] https://www.dms.go.th/backend//Content/Content_File/Practice_guidelines/Attach/25631019114408AM_CPG_COVID_18%20Oct-2020-NS_formatted.pdf
[8] https://www.matichon.co.th/court-news/news_2691223
คลัง หั่นเป้าจีดีพีไทยปี 64 เหลือโตได้ 2.3 %
https://www.tnnthailand.com/news/wealth/78400/
คลัง ปรับเป้าหมาย เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ขณะที่การส่งออกสินค้าจะฟื้นตัวตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก
วันนี้( 29 เม.ย.64) นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.8 ถึง 2.8) ปรับตัวลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนมกราคม 2564 ที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย การเดินทางระหว่างประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากมาตรการทางการคลังและการเงินที่ประเทศต่าง ๆ ดำเนินการ เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
โดยกระทรวงการคลัง คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 11.0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 10.5 ถึง 11.5) นอกจากนี้ การดำเนินมาตรการทางการคลังของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการ ม33เรารักกัน และมาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ประกอบกับการใช้จ่ายเงินกู้จากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ที่คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายในส่วนที่เหลือได้อย่างต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภค ประคับประคองภาคธุรกิจ และรักษาระดับการจ้างงานให้สูงขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.8 ถึง 2.8) และ 4.8 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.3 ถึง 5.3) ตามลำดับ ขณะที่การบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.5 ถึง 5.5) และ 10.1 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 9.6 ถึง 10.6) ตามลำดับ