[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่
จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น
ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม
เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป
แม้ฉันใด
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
ที่ตถาคตเรียกว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น
ดวงหนึ่งดับไป
ในกลางคืนและกลางวัน
ก็ฉันนั้นแล ฯ
[๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้สดับ
ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึง
ปฏิจจสมุปบาทธรรม
ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมา
(ว่าร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
ที่ตถาคตเรียกว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง-จขกท)
นั้นว่า
เพราะเหตุดังนี้
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ
(จิตเกิดอวิชชา-จขกท)
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อนึ่ง (จิต อวิชชดับ เกิดวิชชา-จขกท)
เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับ
มาพิจารณาอยู่อย่างนี้
(จิตย่อมหน่ายในขันธ์5-จขกท)
ย่อมหน่ายแม้ในรูป
ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา
ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา
ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ
เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้นเมื่อหลุดพ้นแล้ว
ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้วย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ
จิตอยู่โดยไม่ต้องอาศัยมหาภูตรูป4ได้ด้วยหรือ?
วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่
จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น
ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม
เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป
แม้ฉันใด
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
ที่ตถาคตเรียกว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น
ดวงหนึ่งดับไป
ในกลางคืนและกลางวัน
ก็ฉันนั้นแล ฯ
[๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้สดับ
ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึง
ปฏิจจสมุปบาทธรรม
ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมา
(ว่าร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
ที่ตถาคตเรียกว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง-จขกท)
นั้นว่า
เพราะเหตุดังนี้
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ
(จิตเกิดอวิชชา-จขกท)
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อนึ่ง (จิต อวิชชดับ เกิดวิชชา-จขกท)
เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับ
มาพิจารณาอยู่อย่างนี้
(จิตย่อมหน่ายในขันธ์5-จขกท)
ย่อมหน่ายแม้ในรูป
ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา
ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา
ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ
เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้นเมื่อหลุดพ้นแล้ว
ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้วย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ