ปุถุชน ผู้มิได้สดับ
ไม่อาจหลุดพ้น
ในจิตนั้นได้
ในจิตคือตัณหา
รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา
ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
ปุถุชนผู้มิได้สดับ
ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
หลุดพ้นในจิต
เป็นต้นนั้นได้เลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเหตุว่า
จิตเป็นต้นนี้
อันปุถุชนผู้มิได้สดับ
รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับ
ย่อมใส่ใจด้วยดีโดย
แยบคายถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม
ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า
เพราะเหตุดังนี้
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดเลยว่าจิตเกิดดับในปฏิจสมุปบาท
พูดแต่สิ่งที่อยู่ในจิตเป็นต้นนั้น คือถูกรัดด้วยตัณหา เกิดดับ
"จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้นนั้น หมายถึงจิตดวงไหน?
งูพิษไม่มีวันรู้จักเพราะไม่มีจิต มีแต่งวิญญาณ
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน"
แล้วดวงไหนเกิดขึ้นตอนกลางวัน ดวงไหนเกิดขึ้นตอนกลางคืน
จิตเป็นต้นนั้น จิตดวงไหนเกิดขึ้นตอนกลางวัน ดวงไหนเกิดขึ้นตอนกลางคืน
ไม่อาจหลุดพ้น
ในจิตนั้นได้
ในจิตคือตัณหา
รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา
ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
ปุถุชนผู้มิได้สดับ
ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
หลุดพ้นในจิต
เป็นต้นนั้นได้เลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเหตุว่า
จิตเป็นต้นนี้
อันปุถุชนผู้มิได้สดับ
รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับ
ย่อมใส่ใจด้วยดีโดย
แยบคายถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม
ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า
เพราะเหตุดังนี้
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดเลยว่าจิตเกิดดับในปฏิจสมุปบาท
พูดแต่สิ่งที่อยู่ในจิตเป็นต้นนั้น คือถูกรัดด้วยตัณหา เกิดดับ
"จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้นนั้น หมายถึงจิตดวงไหน?
งูพิษไม่มีวันรู้จักเพราะไม่มีจิต มีแต่งวิญญาณ
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน"
แล้วดวงไหนเกิดขึ้นตอนกลางวัน ดวงไหนเกิดขึ้นตอนกลางคืน