สมิงล้างดง (ความคืบหน้าตอนที่ 21)

สวัสดีครับ ปกติไม่ค่อยได้คุยกับคนอ่านเลย เเค่มาแปะไว้เฉยๆ รู้สึกมันห่างเหินชะมัด
คราวนี้เลยขอพูดคุยหน่อย นิยายเรื่องนี้เป็นเเนวนายอำเภอมือปราบ ผจญผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น
ที่ลงท้ายต้องไปผจญกับเรื่องลึบผีสางในป่า โดยเฉพาะเสือสมิงตามชื่อเรื่อง
ซึ่งในขณะนี้ ได้อัพเดทในรูปแบบนิยายเสียง ในชาแนล  แจ็ค ห้องหลอน  คืบหน้าไป 20 ตอนแล้ว
หากสนใจหาฟังในยูทูปได้ครับ คราวนี้ไม่ได้เเปะวิดีโออย่างเคย จะโพสเเต่นิยายเท่านั้น

............ ทันทีที่นายอำเภอสรพงศ์นำทุกคนมาถึง ข้างหน้าคือหมู่เรือนอันคุ้นตามาก
มีความสดใสด้วยไฟแสงสี ราวกับว่ากำลังมีงานกาชาด  สรพงศ์ใช้สายตามองอย่างชั่งใจ
เรือนภายในคุ้มจะวางเยื้องไปมา และกระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบ
จะมียุ้งข้าวของตนเอง ห่างจากตัวเรือนประมาณ 1-4 เมตร
ส่วนใหญ่จะวางแนวขนานกับตัวเรือนด้านทิศเหนือ หรือทิศใต้

เขาจดจำรายละเอียดได้ เลยหันมาปรึกษากับ อส.ก้อน ทำไมที่นี่มันคุ้นตามาก
รู้สึกเหมือนเขาบ้างไหม  แกเอานิ้วมือกวาดขนคิ้วพร้อมกับบีบขมับ ถึงจะเตรียมใจมาแล้ว  
หมู่บ้านชาวลับแล มันผิดไปจากที่คาดไว้มาก

“ที่นี่เหมือนคุ้มของกำนันขุนทองคำไม่มีผิด ไม่ใช่เหมือนแค่บ้านเรือน  ผู้คนยังเหมือนกันอีก”
“คิดเหมือนกับผมใช่มั้ย ทีแรกผมคิดว่าคือหมู่บ้านหลงสำรวจเสียอีก 

“นายครับ ที่นี่ต้องเป็นหมู่บ้านผีแน่นอน ไม่ใช่หมู่บ้านชาวลับแล  
กลางวันมันร้าง กลางคืนคึกคัก เจอแบบนี้แล้ว ไม่รู้เจ้าถิ่นเขาจะมาไม้ไหนกับเรา” 
พูดจบแกก็เอากุมารทองออกมา  วางบนหัวเสาของรั้วบ้านหลังหนึ่ง มันได้หายไปทันที
“เขาจะมาไม้ไหนก็ช่าง  ตามหาคนของเราให้เจอ แล้วรีบออกไปจากที่นี่ซะ” 

สรพงศ์แค่นยิ้มจนหนวดกระดิก เมื่อเห็นว่าลูกน้องอาวุโสกำลังเครียด 
เลยคว้าหัวไหล่มาเดินเคียงกันไป รำพึง ไฮ้ ขาบเดินตามติดหลัง
คอยมองผู้คนที่เดินสวนทางมาอย่างระแวง  แล้วก็พากันโล่งอก
ชาวลับแลมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส  ราวกับคนพึ่งไปทำบุญ ไม่ได้มีพิษมีภัย  

โดยเฉพาะพวกผู้หญิงมีแต่คนสวยๆ  ไฮ้หันมายิ้มและพยักหน้ากับขาบ
จะแล่นออกไปตามจีบ ติดที่รำพึงคว้าแขนสองคนนั้นเอาไว้  
ในความรู้สึกของรำพึง  มองชาวลับแลเหมือนมองหุ่นปั้นที่ไร้ชีวิตจิตใจ  
แล้วยังกลิ่นหอมแปลกๆ มาจากคนพวกนี้ กลิ่นนี่มันช่างคุ้นมาจากตอนที่เคยไปรดน้ำศพ  
คนดีๆ ที่ไหนจะใช้ของพวกนี้มาปรุงแต่งกลิ่นให้กับร่างกาย  

บนเวทีหมอลำกำลังทำการแสดง  รำพึงมองหมอลำสาวสวยพวกนั้น 
แรกรู้สึกตื่นตาไปกับความอ่อนช้อยของนาฏศิลป์พื้นบ้าน แต่พอมองให้ดีกลับรู้สึกแปลกๆ 
ความสยองขวัญเข้ามาแทนที เมื่อใบหน้าของพวกเธอขาวจนซีด แล้วยังอวบจนเหมือนบวม 
มีน้ำเหลืองไหลออกมา กลิ่นเหม็นลอยมาถึงตรงนี้ แต่คนข้างตัวไม่ได้รู้สึกรู้สาเลย 

พอเปลี่ยนสายตาไปที่คนในงาน  มีคนรู้จักที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานแล้ว  
ไม่ว่าจะเป็นชายแก่ หญิงชรา คนหนุ่มคนสาวและเด็กเล็ก เธอจำได้แล้วเกือบหวีดร้องออกมา 
คนเหล่านี้ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ไม่ว่าจะตายตามอายุขัย โรคภัยไข้เจ็บ หรือถูกโจรฆ่าตาย  
ยังดีที่คว้าแขนสรพงศ์เอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ  

“ร้องไห้ทำไมครับ มีใครทำอะไรให้หรือ” 
เขาหันมายิ้มอ่อน และพยักหน้าให้เธออุ่นใจได้

“ทุกคน ไม่เห็นเหมือนฉันนี่ รอบตัวเรามันน่ากลัวออก” เธอต้องเอาฝ่ามือปิดหน้า ด้วยความกลัว
“แค่ซากศพ  เป็นพยาบาลแค่เห็นคนตายมาเยอะ จะกลัวทำไมครับ”
“เอ๊ะ สรพงศ์ คุณเห็นเหมือนกันเหรอ ทำไมไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้กลัวอยู่คนเดียวอยู่ได้”
รำพึงรีบเช็ดน้ำตา เขาสมกับเป็นที่พึ่งของทุกคนจริงๆ

“ผมเห็นเป็นหมู่บ้านร้างสภาพทรุดโทรม แปลกใจก็ตรงที่ ทำไมคล้ายบ้านของกำนัน ไม่เชื่อถาม อส.ก้อนดูสิครับ”
“น้าก็เห็นเหมือนนายอำเภอ  มีแต่ซากกะรุ่งกะริ่ง ไม่มีอะไรน่ามอง อยากรู้เหมือนกัน ผีร้ายพวกนี้มันจะมาไม้ไหนกับเรา”  
อส.ก้อนแสยะยิ้ม คว้ากุมารทองในอากาศ เก็บเข้ามาใส่ในย่าม  
“แล้วเจ้าทอง สืบได้อะไรมาบ้างครับ”

“นายครับ ผาดกับปลัดโยธิน  อยู่ในบ้านข้างหน้าเรานี่เองครับ นายจะลุยเข้าไปเอาตัวออกมาเลยมั้ย” 
พูดจบแกก็ล้วงเอามีดหมอกับข้าวสารเสกออกมา  พร้อมจะฟาดฟันได้ทุกเมื่อ  สรพงศ์เห็นมีดเลยบอกให้เก็บไว้ก่อน

“คอยดูไปก่อนครับ  พวกมันลงมือก่อนไม่ได้ เพราะเป็นวันพระใหญ่ 
แต่ถ้าเราลงมือก่อน พวกมันจะหาเหตุรุมฉีกเนื้อเราได้  โชคดีเจ้าแม่ไทรได้เตือนกับผมไว้  
เราจะต้องใช้ความอดทนอดกลั้นให้ถึงที่สุด จึงจะผ่านคืนนี้ไปได้”
“เฮ้อ...นายใจเย็นจริง  ไอ้ทองก็บอก ผีพวกนี้ไม่เท่าไหร่ ให้ระวังแต่ผีปอบ”

แกยอมเก็บมีดอาคม สายตาพลันไปเห็นเด็กหนุ่มสองคนที่มาด้วย อยู่ที่หน้าเวทีหมอลำ 
รำพึงไม่ทันมองข้างหลัง ไฮ้กับขาบได้หายไปแล้ว พอมองหาอีกที  เห็นกำลังเต้นแร้งเต้นกา

“ฉันจะไปตามตัวมาเอง  สองคนนี่บ้าจริงเซียว  เราเข้ามาในที่อะไรก็น่าจะรู้ ยังมีกะใจเที่ยวอยู่ได้”
“ปล่อยให้สนุกไปก่อนครับ  ตอนนี้นายของพวกมัน ออกมาแล้ว”

สรพงศ์คว้าหัวไหล่ของรำพึง  แล้วชี้ไปที่เหล่านางรำพวกนั้น ที่กำลังเดินแถวออกมา 
ต่างถือพานเครื่องบวงสรวงมาด้วย  แล้วต้องตะลึง เมื่อเห็นกำนันขุนทองคำ นายเยื้อง 
ทิดอ่วมเดินขนาบยายแก่นุ่งขาวห่มขาว  ถือมีดปลายแหลมเหมือนมีดที่ใช้แทงคอหมูติดมือมาด้วย  
คลายเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม  เวลาแกอ้าปากหัวเราะ จะเห็นฟันดำเป็นซี่เล็กๆ  
ดวงตาดำดุคู่นั้นทรงอำนาจมาก  พอสั่งความคนในงานเสร็จก็เลื่อนสายตามองมาที่ผู้มาเยือน  
สรพงศ์รู้สึกสะท้าน ยายแก่นี่ต้องไม่ธรรมดาแน่    

“ยายทอง!  แกตายไปนานแล้วนี่ ทำไมถึงยังอยู่” 
“รำพึง รู้จักหรือครับ”  สรพงศ์ถาม เธอทำสีหน้าพะอืดพะอม ก่อนจะเปิดปากพูดต่อ
“ฉัน...ฉันจำได้สมัยเด็ก กลัวผีปอบจนฝังใจ  ชาวบ้านลือกันว่ายายทองเป็นคนมีวิชาอาคม 
และเลี้ยงผีปอบไว้ใช้งาน  ฉันกับเพื่อนไม่กล้าไปวิ่งเล่นแถวบ้านแกเลย  

ต่อมาคนในหมู่บ้านเกิดล้มตายไม่ทราบสาเหตุ  พวกผู้ใหญ่สงสัยว่าจะเป็นเพราะ
ยายทองถูกผีปอบที่เลี้ยงไว้เข้าสิง  ชาวบ้านต้องไปพาหมอผีมาขับไล่  
แต่ไม่มีหมอผีคนไหนเอาแกลงได้ พ่อบอกว่าผีปอบที่สิงยายทองเป็นพญาปอบ   

ต่อมาแกก็ตายเอง ศพถูกฝังไว้ ว่ากันว่าศพไม่เน่ามาจนทุกวันนี้”
รำพึงหยุดพูด เมื่อมีชายฉกรรจ์กำลังช่วยกันหามเข่งใส่หมูสองตัวออกมา สำหรับใช้ในพิธี  
มีดปลายแหลมสำหรับแทงคอหมูอยู่ในมือของยายทอง จะใช้ในการประหาร  

หมูหนุ่มดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา 
มันน้ำตาไหลพรากมองมาที่สรพงศ์กับรำพึง เหมือนจะวอนให้ช่วยที  
มันไม่อยากตาย คนมีวิชาย่อมมองเห็นต่างจากสายตาคนทั่วไป 

รำพึงตกใจมาก ร้องเรียกชื่อพี่ผาดสุดเสียง สรพงศ์หันมามอง 
อส.ก้อน ทำไมเธอสามารถมองเห็นได้ คำตอบของปริศนาจะต้องมาจากหอกทอง 
ที่เธอพกอยู่เป็นแน่ มันจะต้องมีผลทำให้เธอไม่ต่างจากผู้มีอาคม 
“เอาล่ะอย่าเสียเวลาอีกเลย  เราเข้าไปช่วยคนกันเถอะ” 

สรพงศ์เดินนำอย่างใจเย็นไปที่เวทีหมอลำก่อน ภาพที่เขาเห็นมาตลอดคือฝูงผีกำลังเริงรำกันอยู่ 
แต่ละร่างผอมโซ มีเศษเสื้อผ้าติดตัวกะรุ่งกะริ่ง ทุกสายตากำลังจับจ้องอย่างหิวกระหาย 
ไปที่ร่างอันหนุ่มแน่น  ไฮ้กับขาบยักย้ายส่ายสะโพกอย่างหน้ามืดตามัว  
ก่อนที่เขาจะทำอะไรลงไปเพื่อแก้ไข  รำพึงเม้มปากคอยท่าอยู่แล้ว  
รู้สึกหมั่นไส้ญาติผู้น้องเต็มทน  เข้ามาตบฉาดเข้ากกหูจนร่วงไปทีละคน  

ไฮ้ได้สติก่อน ร้องเฮ้ย! เมื่อภาพที่เห็นรอบตัวคือผีทั้งนั้น  
คราวนี้แทบจะแล่นหนีไม่รู้ทิศทาง สรพงศ์เตะตัดขาล้มแล้วหิ้วคอขึ้นมา  
รำพึงหิ้วคอเสื้อขาบอีกคน มาตะคอกให้ดูไปที่ปะรำพิธี 
เด็กหนุ่มทำหน้าเหวอเพราะจำได้ทันที 
แม้เวลาจะหลายปีแล้วว่านั่นคือยายทองผีปอบ

“ซวยแล้ว! นี่เราเข้ามาในหมู่บ้านผีปอบ”
“พึ่งรู้ตัวรึไง ไป! ไปเอาไม้มาเล่มหนึ่ง ฉันจะทำด้ามหอก ไปสู้กับพวกมัน”

รำพึงสั่งเฉียบขาด ถ้าชักช้าเจอถีบหลัง บทจะดีเดือดขึ้นมา หล่อนไม่สนผีสางหน้าไหนอีกแล้ว 
อส.ก้อนเอาข้าวสารเสกออกมาหว่านออกไปเพื่อเปิดทาง  ทำให้งานพังทันที  
บรรดาภูตผีวิ่งหนีแตกกระเจิง  ขาบไปคว้าไม้มาท่อนหนึ่ง ขนาดกำลังเหมาะมือ 
เอามาทำด้ามหอกตามคำสั่ง พอประกอบกันแล้วทดลองควงดู 
ฟาดฟันไปในอากาศสำแดงอานุภาพเต็มที่  
สรพงศ์ยังตะลึง เมื่อได้เห็นใบหน้าสวยคมดุ  
หรือว่าเจ้าแม่สุวรรณรัศมีมาประทับทรง 

เมื่อคนและศรัตราวุธพร้อม จึงเดินหน้าไปยังปะรำพิธี  ที่ตอนนี้มียืนหยัดอยู่คือ ยายทอง 
ภูตในร่างของกำนันขุนทองคำ นายเยื้อง ทิดอ่วม ต่างมีเขี้ยวงอกออกมา 
ด้วยเป็นผีโขมดดงสามในสี่ ที่ทำหน้าที่ดูแลเขา ตามบัญชาของเจ้าถ้ำ  
เมื่อโขมดตนหนึ่งถูกกำจัดไปก่อนหน้า พวกนี้จึงแค้นกันมาก 
พอสองฝ่ายเข้ามาประจันหน้ากัน รำพึงจะทะยานเข้าใส่ก่อน
ติดที่สรพงศ์กดด้ามหอกลง จะขอเจรจากันก่อน 

“ขอชีวิตเถอะยาย วันนี้วันพระ ฆ่าสัตว์ไม่ได้ มันบาป”
“เฮอะๆ เจ้านาย ทำใมมาขวางวิถีชีวิตชาวบ้าน เราฆ่าหมู่ ต้องเสียภาษีด้วยเหรอ”
“ผมไม่ได้มาเก็บภาษี แต่ถ้ายายฆ่าหมูตัวนี้  ท่านไกรคุปต์นาคต้องไม่พอใจแน่” 
สรพงศ์ตอบอย่างใจเย็น

ยายแก่สะท้านเล็กน้อย เมื่อผู้มาขวางเอ่ยถึงนามของเจ้าถ้ำ แต่แล้วก็แสยะยิ้ม 
เลียริมฝีปากด้วยอยากดื่มเลือด เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นคนมีดีในตัว 
จะประมาทไม่ได้ แต่ก็หาได้เกรงกลัวไม่ 

หมูทั้งสองตัวดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ส่งเสียงร้องอี๊ด! อี๊ด! เมื่อรู้พรรคพวกจะมาช่วยแล้ว 
อส.ก้อนจ้องมองผีโขมดตรงหน้าไม่วางตา มือก็ล้วงเข้าไปในย่าม เอาข้าวสารเสกออกมาโอมอ่านคาถา 
แล้วซัดไปที่ร่างของหมู  รำพึงหวีดร้องลั่น เมื่อหมูคืนสภาพเป็นคน 
ส่งเสียงร้องช่วยด้วยๆ ดิ้นรนอยู่ในเข่ง คราวนี้ใช้เท้าถีบโครมๆ 

ส่วนปลัดโยธินร้องโวยวายลั่น ถ้าออกไปได้จะฆ่าให้หมดไม่สนว่าเป็นผี   
สรพงศ์จะเข้าไปช่วยแต่ก็ติดผีโขมดในร่างกำนันขุนทองมาขวางไว้  
มีแต่ต้องใช้กำลังเข้าหักหาญ จึงจะเอาคนออกมาได้  
อส.ก้อนเสียงสั่น ในเมื่ออยากลองฤทธิ์นักจะจัดให้สมใจ

“เจ้าผีร้าย เมื่อวอนหาเรื่องนัก จะได้ลิ้มรสข้าวสารเสกดูบ้าง”

แกหมายใจจะซัดให้เต็มกำลัง  สรพงศ์คว้าข้อมือเสียก่อน 
คำเตือนของเจ้าแม่สุวรรณรัศมีทำให้ต้องหยุด

“อย่าครับ อย่าลงมือ จะเข้าแผนฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน เวลานี้เราอยู่ในขอบเขตของพิภพนาค  
ห้ามใช้กำลังเข้าประหัตประหารกันเด็ดขาด  เจ้าถ้ำเป็นนาคที่ถือศีลเคร่งครัด  
หากใครทำผิด จะลงโทษไม่มีละเว้น แล้วพวกเราจะไม่มีโอกาสได้กลับออกไปได้อีก  
ทุกคนจำคำพูดของผมไว้ให้ดี ตราบใดที่เราไม่ใช่กำลังก่อน ศัตรูจะลงมือกับเราไม่ได้”

นางปีศาจเฒ่าหัวเราะเหมือนคำราม เมื่อรู้ฝ่ายมนุษย์ไม่ยอมลงมือ 
ฝ่ายตนจะเริ่มก่อนไม่ได้เช่นกัน

“เข้าใจถูกยังไม่ทั้งหมดนะเจ้านาย  ในภพนาค ห้ามผิดศีลก็จริง หากมันผู้ใดทำผิด 
พวกข้าจะต้องลงโทษ ข้าจะเป็นตัวแทนขององค์ท่าน กำจัดคนชั่วที่เสพสุรา 
รวมทั้งทำผิดประเวณี มาดูนี่สิลูกสาวของข้า ถูกมันสองคนล่วงละเมิด”
ชบาได้เดินนวยนาดออกมา ตามคำสั่งยายทอง ยิ้มผ่านหน้าทุกคนอย่างผู้เหนือกว่า

“ถูกแล้วท่านแม่ ผู้ชายสองคนนี้ ภายหลังจากเสพสุราแล้ว ยังผลัดกันมาข่มเหงรังแกข้า 
จะต้องถูกลงโทษผ่าอกควักไส้ออกมาเซ่นสังเวย  ท่านเจ้าถ้ำจะต้องเห็นดีด้วย กับการลงทัณฑ์คนชั่วในครั้งนี้”
“นังปีศาจปากดีนักนะ อยากโดนตบหรือไง” 
“อย่าครับรำพึง อย่าลงมือก่อน” สรพงศ์ร้องห้าม
“รำพึงเธอคงอิจฉา ที่คนอย่างฉัน มีแต่คนรักคนหลง ผิดกับสาวชาวป่าด้อยค่าอย่างเธอสินะ”

“ฉันก็แค่สงสัย อยากลองดูท่าที  จะใช่ชบาตัวจริงหรือตัวปลอม ตัวจริงนิสัยจองหองใช่ย่อยนะ แทบไม่ผิดกันเลย” 
รำพึงยิ้มดุ ใช้ฝ่ามือลูบเส้นผมไปด้วย รู้กาลใดควรทำ หรือไม่ควรทำ 

สรพงศ์ค่อยหายใจโล่งอกหน่อย ไม่มีใครออกนอกคำสั่งของตน 
เห็นจะต้องใช้เพทุบายเพื่อช่วยคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่