พลังอันน่าทึ่งของ " kelp " สาหร่ายทะเลยักษ์ออสเตรเลีย




(ป่าสาหร่ายทะเลไม่ได้เป็นเพียงอ่างคาร์บอนที่ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เจริญเติบโตได้ )(Cr. Alamy)


สาหร่าย (Algae) เป็นแหล่งพลังงานสำหรับสภาพภูมิอากาศที่ส่งคาร์บอนไปยังพื้นทะเล และทำให้น้ำในมหาสมุทรลดความเป็นกรด โดยเฉพาะในออสเตรเลีย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มติดตามศักยภาพของมัน

ย้อนกลับไปกว่า 45,000 ปีก่อนตามชายฝั่งของรัฐแทสเมเนียในปัจจุบัน ผู้คนในท้องถิ่นต่างก็ตามเก็บสาหร่ายทะเล kelp สีน้ำตาลเข้มชิ้นใหญ่หนา ด้วยเนื้อเยื่อที่น้ำผ่านไม่ได้และมีความยืดหยุ่นโค้งงอของมัน ได้จุดประกายความคิดของพวกเขาว่า สาหร่ายชิ้นยักษ์นี้จะสามารถแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิตประจำวันได้
ดังนั้น  ชิ้นส่วนของสาหร่ายทะเล kelp จึงถูกนำมาสร้างเป็นภาชนะขนาดเล็ก โดยขอบของมันจะถูกเจาะด้วยไม้เพื่อให้มีโครงสร้าง และใช้เส้นใยของมันพันรอบไม้ทำเป็นที่จับ เพื่อนำมาใช้เป็นภาชนะใส่ของอเนกประสงค์
 
และผู้ที่คิดค้นนวัตกรรมสาหร่ายทะเลครั้งแรกในโลกคือชาวอะบอริจิในออสเตรเลีย จากนั้น 45,000 ปีต่อมาบนแผ่นดินใหญ่ออสเตรเลีย ผู้คนก็หันมาใช้สาหร่ายเหล่านี้อีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน คราวนี้ไม่ใช่วิธีการแบบเดิม แต่จะใช้จัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งตอนนี้ Pia Winberg กำลังทำการสำรวจพวกมันในถังสีเขียวแบบเปิดโล่งขนาดใหญ่หลายแห่งที่ศูนย์อุตสาหกรรมในเมือง Nowra รัฐนิวเซาท์เวลส์


ภาชนะใส่น้ำ (Water vessel) ที่ทำจากสาหร่ายทะเล bull kelp (Durvillaea potatorum) สีน้ำตาลเข้มใบเดียว
ซึ่งด้านข้างถูกรวบเข้าด้วยกันโดยแท่งไม้ เพื่อรักษารูปร่างไว้ ส่วนด้ามจับทำจากเส้นใยบิดผูกเข้าด้วยกันใกล้ตรงกลางสำหรับถือ
Pia Winberg เป็นนักนิเวศวิทยาทางทะเลแห่งมหาวิทยาลัย Wollongong  ที่ใช้เวลาหลายทศวรรษในการศึกษาสาหร่ายทะเล เธอเชื่อว่าอัตราการเติบโตที่รวดเร็วของสาหร่ายทะเล และความสามารถในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาล จะสามารถช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมิอากาศที่ทำให้มหาสมุทรเสื่อมสภาพ ซึ่งในระยะสั้น Winberg เชื่อว่า การปลูกสาหร่ายทะเลมากขึ้น จะช่วยหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายที่สุดได้

และความจริงที่ว่า สาหร่ายทะเลสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เกือบ 200 ล้านตันต่อปี (เท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประจำปีของรัฐนิวยอร์ก) เมื่อ Winberg ตระหนักถึงศักยภาพของสาหร่ายทะเลในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศในข้อนี้ เธอจึงเปิดฟาร์มสาหร่ายเชิงพาณิชย์บนบก
แห่งแรกของออสเตรเลียในปี 2013 ที่ฟาร์มของเธอในรัฐนิวเซาท์เวลส์

ฟาร์มของ Winberg ได้ผลิตสารสกัดจากสาหร่ายทะเลที่ใช้ในอาหาร เครื่องสำอางและยา ซึ่งหากฟาร์มสาหร่ายทะเลของเธอขยายตัวขึ้น จากขนาดของสาหร่าย จะสามารถแทนที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกและอาหารสัตว์ต่อไป
 
แม้จะมีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ในการใช้ประโยชน์จากสาหร่ายทะเล แต่การเพาะเลี้ยงสาหร่ายเหล่านี้ในออสเตรเลียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น  ซึ่งการเพาะปลูกสาหร่ายทะเลครั้งแรกนั้น เริ่มขึ้นในญี่ปุ่นในทศวรรษที่ 1670 ส่วนการทำฟาร์มเชิงพาณิชย์เริ่มขึ้นในปี 1950



Giant kelp สาหร่ายทะเลยักษ์ซึ่งถูกซัดขึ้นมาบนชายหาดในน่านน้ำแทสเมเนีย
เป็นสปีชีส์หนึ่งที่มีศักยภาพในการดูดซับคาร์บอน (Cr. Getty Images) 
โดยนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลชาวอังกฤษ Kathleen Drew Baker ในขณะที่กำลังศึกษาสาหร่ายสีแดง porphyra จนนำไปสู่การปฏิวัติวิธีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลชนิดกินได้ที่เรียกว่า " nori " ในญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันสาหร่ายทะเลถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในซูชิ สลัด และซุป  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การทำฟาร์มสาหร่ายได้เติบโตขึ้นเป็นอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเอเชีย โดยในแต่ละปีจีนมีผลผลิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของการเก็บเกี่ยวในทวีปนี้ 

ตอนนี้ การเลี้ยงสาหร่ายทะเลเริ่มได้รับแรงผลักดันในส่วนอื่น ๆ ของโลก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มความตระหนักรู้ถึงความสามารถของพืช ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ตลอดจนคุณค่าทางโภชนาการที่สูงและการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว นอกจากข้อมูลรับรองด้านความยั่งยืนแล้วสาหร่ายทะเลยังมีราคาถูก เก็บเกี่ยวง่าย และมีจำหน่ายทั่วโลก ทำให้เป็นข้อเสนอทางการค้าที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ สาหร่ายทะเล Kelp เป็นสาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งที่มีการเพาะปลูกมากที่สุด สาหร่ายสีน้ำตาลขนาดใหญ่นี้พบได้ในน่านน้ำทะเลชายฝั่งที่เย็นทั่วโลกและเติบโตอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง โดย Kelp สามารถสูงได้ถึง 61 ซม. (2 ฟุต) ต่อวัน และไม่ต้องใส่ปุ๋ยหรือกำจัดวัชพืช

พื้นที่มหาสมุทรหกเท่าของออสเตรเลียเหมาะสำหรับการเพาะปลูกสาหร่ายทะเล  (Cr. Getty Images)

และเช่นเดียวกับพืชบนบก สาหร่ายทะเลใช้การสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อดูดซับ CO2 และเติบโตเป็นมวลชีวภาพ ที่สามารถดูดซับคาร์บอนของระบบทางทะเลชายฝั่งในอัตราถึง 50 ครั้ง มากกว่าที่ป่าบนที่ดินทำได้ ซึ่งตามที่ Emily Pidgeon ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ทางทะเลที่ศูนย์อนุรักษ์นานาชาติ Conservation International ระบุว่า สาหร่ายทะเลสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบ 200 ล้านตันในทุกปี และเมื่อสาหร่ายตายลง คาร์บอนส่วนใหญ่ที่ขังอยู่ในเนื้อเยื่อจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังมหาสมุทรลึก

แต่อ่างคาร์บอนธรรมชาติเหล่านี้ก็ตกอยู่ภายใต้การคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน เพราะเมื่อระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงขึ้น ก๊าซคาร์บอนในสาหร่ายที่ตายก็จะละลายลงสู่มหาสมุทรมากขึ้นจะทำให้ทะเลเป็นกรด ซึ่งนอกจากมหาสมุทรจะอุ่นขึ้นแล้ว สิ่งนี้ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อแนวปะการังและระบบนิเวศของสาหร่ายทะเลอื่นๆด้วย

เฉพาะในรัฐแทสเมเนียเพียงรัฐเดียว อุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้นและความเป็นกรด ได้ทำลายป่าสาหร่ายทะเล Kelp ไปถึง 95% ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาและทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์และแหล่งการประมง  แต่น้ำทะเลที่อุ่นให้เงื่อนไขการปรับปรุงพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเม่นทะเลที่กินป่าใต้น้ำนี้

จากผลการศึกษาของนักนิเวศวิทยาในปี 2018 โดยนักนิเวศวิทยา Nyssa Silbiger และ Cascade Sorte จาก University of California, Irvine และ Halley Froelich นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งมหาวิทยาลัย Santa Barbara และผู้เขียนนำการศึกษา อธิบายเพิ่มเติมว่า  

นอกจากการกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศแล้ว สาหร่ายทะเลยังช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว โดยการลดระดับความเป็นกรดรอบๆตัวมัน
ด้วยการเพิ่มระดับ pH ในมหาสมุทร นอกจากนั้น สาหร่ายทะเลยังช่วยปรับปรุงสภาพการเจริญเติบโตของหอยเช่น หอยนางรมและหอยแมลงภู่ ซึ่งเปลือกหอยจะเปราะมากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด

กลับมาที่ฟาร์มของ Winberg ใน Shoalhaven รัฐนิวเซาท์เวลส์ เป็นการนำสาหร่ายทะเลขึ้นมาเพาะปลูกบนบก โดยใช้การปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดขึ้น
ที่โรงกลั่นข้าวสาลีที่อยู่ติดกัน เพื่อปลูกชีวมวลสาหร่ายทะเลในปริมาณมาก  ซึ่ง CO2 จะถูกปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการหมักที่โรงกลั่น และถูกปล่อยลงในถังสีเขียวที่มีฟองกับน้ำทะเล รวมทั้งสาหร่ายที่สูบเข้ามาจากแม่น้ำในท้องถิ่น


Pia Winberg
CO2 ไนโตรเจนและสารอาหารอื่น ๆ จากโรงกลั่นในบริเวณใกล้เคียง ทำให้สาหร่ายสามารถผลิตสาหร่ายสีเขียวจำนวนมาก ซึ่งจะถูกทำให้แห้งและใช้เป็นสารสกัดในผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น ยาสีฟัน สี และไอศกรีม

Winberg เชื่อว่าการทำฟาร์มสาหร่ายทะเล มี "ศักยภาพมหาศาล" ที่ไม่เพียงแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังสามารถเลี้ยงประชากรที่เพิ่มขึ้นด้วยวิธีที่ยั่งยืนอีกด้วย โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่า หากในส่วนภูมิภาคนี้สามารถเพิ่มการเก็บเกี่ยวได้ 14% ต่อปีภายในปี 2593 การปลูกสาหร่ายทะเลสามารถเพิ่มปริมาณอาหารของโลกได้ถึง 10%

นอกจากนี้ สาหร่ายทะเลยังสามารถช่วยให้การเลี้ยงโคมีความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย California เมือง Davis พบว่าการให้อาหารสาหร่ายกับวัวจะช่วยลดปริมาณก๊าซมีเทนจากการเรอและผายลมของวัวได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพสูง
ที่แม้ว่าจะมีอายุสั้นกว่าในชั้นบรรยากาศ แต่มีผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน 84 เท่า ซึ่งสูงกว่า CO2 ในช่วง 20 ปี

 
การทำลายป่าสาหร่ายทะเลในแทสเมเนียโดยหอยเม่น
ซึ่งรัฐเกาะของออสเตรเลียสูญเสียป่าสาหร่ายไปมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา หลักสูตรของ SCOTT LING
Carrying Vessels ที่ทำจากสาหร่ายทะเล Kelp ของชาวอะบอริจินของออสเตรเลีย
Cr.ภาพ joyofmuseums.com/


(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่