สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเราและพี่ที่เคยทำงานด้วยกันคนนึง (ทั้งเราและเขาเป็นผู้หญิงทั้งคู่ + อายุของเราและเขาห่างกันประมาน 2 ปีค่ะ)
.... เรื่องมันเริ่มมาจากที่ช่วงนั้นคนที่ทำงานกับเราคนเก่าเขาลาออกไปพอดี ... บริษัทก็เลยประกาศหาคนใหม่มาช่วยเรา จนกระทั้งได้พี่คนนี้เข้ามาค่ะ (เราขอเรียกชื่อเขาว่าพี่จอยนะคะ) ซึ่งช่วงระหว่างที่เราทำงานกับพี่จอยโดยรวมก็โอเคนะคะ คือเขาเป็นคนที่ทำงานมาหลายที่พอสมควร รวมๆแล้วทั้งบริษัทเล็กกับใหญ่ที่เขาทำมาก็น่าจะประมาณ เกือบ 10 ที่ได้
... แต่พอทำงานด้วยกันจริงๆมันก็มีปัญหากันบ้างค่ะ คือเราต้องบอกก่อนว่าเมื่อก่อนเราเป็นโรควิตกกังวลต้องกินยารักษา (เรื่องนี้คนนี้บริษัทบางคนก็รู้ค่ะเพราะเราเคยต่อยกำแพงจนมือช้ำแล้วคนเห็นจนเอาไปเม้ากัน + เราเคยโทรคุยกับหมอที่ รพ.. แล้วมีคนมาแอบฟัง) แต่ช่วงที่เรากับพี่จอยทำงานด้วยกันช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเพิ่งกินยาใหม่ๆ มันก็มีอาการสวิงบ้าง เช่น บางทีเราจะหงุดหงิดเพราะโดนด่ามาจนหน้ามุ่ย จนดูเขาเกร็งๆกับเราไป , บางทีเราจะพูดกับเขาเสียงดังเพราะที่ตรงนั้นงานมันต้องทำไวๆ เร็วๆ แต่มันมักจะมีคน พูดแข่งหรือพูดแทรกระหว่างนั้นทำให้งานมันวุ่นวายอยู่บ่อยๆ ... แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องอะไรแนวๆนี้เราจะพูดกับพี่เขาตลอดว่าเอ้อ “ หนูขอโทษนะพี่จอยที่ ..... (อะไรก็ว่าไป) ..... ถ้าพี่ไม่สบายใจหรือไม่โอเคตรงไหนพี่บอกหนูได้ตลอดเลยนะ “ ซึ่งเขาก็บอกกับเรามาว่า “ โอเคพี่ไม่ได้คิดอะไรเลยเกตุ (เราขอใช้ชื่อเกตุเป็นนามสมมติเรานะคะ) สบายๆ ไว้ถ้าพี่ไม่โอเคจริงๆเดี๋ยวพี่บอกทันทีเลยโอเคป่ะ “ คือท่าทางเขาดูเฟรนลี่และเป็น Comfort Zone ให้เราได้มากพอสมควร (เขาเป็นคนที่ดูเฟรนลี่ ยิ้มแย้ม แจ่มใส ร่าเริง คุยเก่ง อาจจะเพราะเขาเคยทำงานเป็นเซลล์มาด้วยมั้งค่ะ ภายนอกเลยมีนิสัยแนวๆนี้) จนมีวันนึงเราเจอปัญหาเรื่องงานแล้วเราร้องไห้หนักมากเขาก็ปลอบเรา เราก็เลยพูดออกไปว่า “ เอ่อพี่เอาจริงๆหนูเป็นโรควิตกกังวลอะพี่แล้วก็กินยาอยู่ แต่ตอนนี้หนูเพิ่งกินใหม่ๆมันก็อาจจะยังไม่เข้าที่ หนูกลัวพี่รังเกียจหนูจังที่หนูเป็นแบบนี้ “ พี่เขาก็ตอบมาว่า “ ไม่หรอกพี่เข้าใจ กินยาไม่เห็นแปลกเลย จะได้รักษาตัวเองด้วย สู้ๆเดี๋ยวก็ดีขึ้น พี่อยู่ตรงนี้แล้ว “ (ต้องบอกก่อนค่ะว่าที่ผ่านมาที่มีคนรู้ว่าเรากินยาคนที่นั้นส่วนใหญ่มองเราในแง่ลบตลอดมองว่าเราป่วย หรือเป็นบ้าหรือป่าวที่กินยาแบบนี้ไปเลย + ส่วนตัวเราเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูงไม่จับกลุ่มเม้าใคร บางทีใครขออะไรเราช่วยได้เราช่วยจนบางทีมีคนพูดแซะเราว่าทำไมต้องช่วยคนอื่นด้วยอะงานตัวเองก็ไม่ใช่ แล้วเราก็คุยกับใครก็ได้ไม่ได้ถือตัวจนบางทีคนในโรงงานมั่นไส้ ร้ายสุดๆเลยคือโดนคนใส่ร้ายว่าเราพูดไม่ดีทำไม่ดีทำให้คนที่หูเบามองเราในแง่ลบไปเลยก็มี ... แต่พี่จอยเขากลับไม่พูดหรือแย่ๆแบบนั้น + เวลาเราร้องไห้เขาก็คอยกอดคอยปลอบ เราเลยรู้สึกดีขึ้นมากๆ หรืออย่างเวลาที่เราทำงานผิดเขาก็จะช่วยคิดวิธีพูด แล้วเน้นย้ำกับเราเสมอว่ามีอะไรอะพูดออกมาเลยจะได้ไม่อึดอัด) แล้วหลังจากนั้นเราก็ทำงานกับเขามาเรื่อยๆ ก็มีพูดขัดหรือสื่อสารกันผิดบ้างแต่เราจะเอ่ยปากขอโทษกับเขาตลอดในฐานะที่เราเป็นน้องเขาก็ยิ้มรับแล้วบอกว่าไม่เป็นไรทุกครั้ง “ จนเราเริ่มสังเกตุนิสัยแปลกๆของเขาที่ไม่ใช้ข้อดีตามที่ด้านบนกล่าวไปค่ะ
1. เขามาทำงานได้ 1 เดือนครึ่งแต่เขาลาหยุดบ่อยมากประมาน 5 ครั้งได้ มีป่วยบ้าง, ลาไปช่วยเพื่อนขึ้นศาลบ้าง, แฟนมารับมาส่งไม่ได้เลยหยุดไปดื้อๆ ก็มี
2. เวลาเขาทะเลาะกับแฟนเขาจะบล็อกและลบแฟนออกจากเฟสทุกครั้ง เราเห็นมาประมาน 2 – 3 ครั้งได้ในรอบที่รู้จักกัน 3 เดือน
3. เขามาสายบ่อยประมาน 4 ครั้งได้ (สำหรับเราถือว่าเยอะค่ะ สำหรับคนที่มาทำงานแค่ 1 เดือนครึ่งและยังไม่ผ่านโปร)
แต่เราก็ไม่ว่าอะไรพี่เขานะคะ เพราะเขาเป็นคนที่ทำงานค่อนข้างเก่งเรายอมรับเลย บางอย่างเก่งกว่าเราทั้งที่เรามาทำมาทำงานที่นี้ก่อนเขาอีก (ตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบใหม่ๆละมาทำงานทีนี่ที่แรกได้แค่ 1 ปีเองค่ะ)
จนมีวันหนึ่ง ช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ เขาทะเลาะกับแฟนหนักมาก ประกาศเลิกกันหน้าเฟสว่าเลิกกันแล้วเสียใจมาก บลาๆ .... ช่วงคืนวันอาทิตย์เราเลยทักไปถามเขาค่ะว่า “ พี่จอย พี่ไหวป่าว วันจันทร์พี่จะมาทำงานไหวไหม “ เขาก็ไม่ตอบจนมาช่วงสายวันจันทร์เขาตอบกลับมาว่า “ พี่ว่าพี่จะลาออกว่าเกตุ แต่เอาเป็นว่าวันนี้พี่ลานะ เดี่ยวกลางวันจะโทรไปคุยด้วย ” เราก็ตกใจค่ะแบบเอ้า เกิดอะไรขึ้นวะ หรือว่าตรอมใจที่เลิกกับแฟนแล้วไม่มีกำลังใจจะทำอะไรเลยลาออกไปงั้นเหรอ เราก็เลยทั้งโทรทั้งแชทไปหาเขาประมาน 20 กว่ารอบได้แต่เขาก็ไม่ติดต่อ พอช่วงกลางวันเราลองโทรหาเขาๆโทรกี่สายๆก็ไม่ติด แถมก่อนหน้านี้เขาบอกจะโทรมาหาเราด้วยซ้ำ เราเลยร้องไห้ ไหนจะงานที่จากเดิมปริมาณมันต้องทำ 2 คน ต้องรวบมาทำคนเดียวอีกคือรู้สึกดิ่งมากๆ แต่มันรู้สึกก่ำกึ่งไม่อยากโทษพี่เขาเพราะที่ผ่านมาพี่เขาก็โปรมากจริงๆ เวลาทำงาน
....
แต่ยอมรับค่ะ ว่าข้างในลึกๆจริงๆในใจ เรารู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่พี่จอยทำเลย คือ 1. เราอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ณ ตอนนั้น 2. เขาจะลาออกทำไม 3. ถ้าเขาใจเย็นๆลงแล้วลองคุยดู เราจะสามารถบอกให้เขาอยู่ต่อได้หรือไม่ .... ทีนี้เราก็เลยลองโทรหาเพื่อนเขา (เราขอสมมติชื่อเพื่อนเขาว่า ชื่อบีมนะคะ ที่เรามีเบอร์พี่บีม เพราะว่าเราเคยไปเที่ยวด้วยกันกับเขาพร้อมกับพี่จอยค่ะ) ทีนี้เพื่อนเขาก็บอกที่อยู่เขามาค่ะ แต่มันเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่มีบ้านคล้ายกันหลายหลังมากๆ เราหาไม่เจอ โทรหาพี่จอยถี่ๆซ้ำๆ อีก 10 สายก็ไม่ติด + ตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน สุดท้ายเราก็ได้แต่เขียนโน๊ตกับซื้ออาหารเล็กๆ น้อยไปฝากเขาไว้ที่หน้าป้อมยามหน้าหมู่บ้าน เนื้อหาโน้ตมันประมาณว่า “ จะมาจะไปยังไงก็บอกหนูได้นะพี่ หนูไม่ว่าพี่หรอก ขอแค่บอกกันนะ เป็นห่วงนะพี่ “ อะไรทำนองนี้ค่ะ หลังจากนั้นพอเรากลับบ้านมาตอนกลางคืน เราลองแชทเฟสไปหาพี่จอยดูอีกครั้ง สักพักเขาถึงตอบกลับมา ว่า “ เดี๋ยววันพรุ่งนี้ (วันอังคาร) พี่จะไปทำงานแน่นอน แต่จะไปเขียนใบลาออกนะ พี่จะลาออกจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะพี่เลิกกับแฟนนะ แต่เป็นเพราะพี่รู้สึกว่าเบื่องานที่นี่ งานมันจุกจิกวุ่นวายไปหมด เดี๋ยวจะไปลาผู้ใหญ่ ลาหัวหน้างานด้วย “ แต่สุดท้ายพอถึงวันอังคารนะคะ เขาก็ไม่มา เราก็ใจเสีย คือวันนั้นเราน้ำตาซึมเรื่อยๆเลยว่าสัญญาว่าจะมาหากันก็ไม่มา ทำไมกันนะ หายไปไหน .. (คือเราเป็นคนไม่โอเคกับคนพูดลอยๆแล้วทำจริงไม่ได้ค่ะมันเฟล) จากนั้นเราก็ทักแชทเฟสไปหาพี่จอยค่ะ ว่า “ พี่มาไม่ไหวเหรอไม่เป็นไรนะ แต่หนูอยากเจอพี่จริงๆนะ .” พี่จอยเขาก็พิมพ์ตอบมาว่า “ มาหาพี่แทนสิ มาบ้านบีมเพื่อนพี่ตอนกลางวันได้เลย แล้วเรามาเจอกัน มากินข้าวกัน “ เราก็พิมพ์ถามเขาไปว่า “ ok พี่ ว่าแต่ของพี่ที่เหลืออยู่ ในลิ้นชัก พี่ไม่มาเอาเหรอ ? ของมันเยอะนะ ” ที่นี้ พี่เขาก็ไม่ตอบ แต่โทรเฟสมาหาเราแทน ว่า “ เกตุพี่ฝาก หยิบยา หมอน แล้วก็ขนมในลิ้นชักเขาออกมาหน่อย แล้วรีบไปหาเขาที่บ้านพี่บีม แล้วมาคุยกัน “ (ตอนนั้นเราก็รีบๆค่ะ เพราะงานเยอะ + ใกล้ถึงเวลาพักแล้วด้วยเลยไม่ได้ถามอะไรต่อ) ที่นี้พอช่วงพักกลางวันแล้วก็รีบไปหาพี่จอยทันทีเลยค่ะ พร้อมกับหอบของทั้งหมดที่เขาขอมาไปให้เขาเพราะว่ารีบมากเวลามีแค่ ชั่วโมงเดียว พอไปถึงปุ๊บพี่จอยเขาก็อธิบายให้เราฟัง ประมาณว่า ... ที่เขาลาออกอ่ะ ไม่ใช่ก็เสียใจเรื่องแฟนนะ คิดมานานแล้วว่าจะออกเพราะรู้สึกว่า บริษัทนี้ มันไม่โอเค ระบบงานมันไม่ดี เราก็เข้าใจนะ เพราะเขาเคยทำงานบริษัทใหญ่ๆ มาก่อนที่มันมีมาตรฐาน แต่พอมาเจอบริษัทที่มันโรงงานและไม่เป็นระบบ เขาก็รับไม่ได้เป็นธรรมดาเขาก็เลยอยากออก ... จากนั้นเราก็พูดคุยร่ำลากันเชาค่ะว่าแบบ ... งั้นวันหลังขอให้ได้เจอกันอีกนะพี่ โชคดีนะพี่ ดูแลตัวเองดีๆนะ ...อะไรทำนองนี้แล้วก็แยกจากกันตั้งแต่ตรงนั้นด้วยดีค่ะ ...
ที่นี้หลังจากนี้เราจะเริ่มเล่าถึงปัญหาจริงๆที่มันเกิดขึ้นแล้วนะคะ ( หลังจากที่ปูเรื่องมาเยอะม๊ากก ) คือนับตั้งแต่ ที่เขาลาออกไป เราก็มีทักไปหาเขาบ้าง รวมทั้งหมดโดยประมาณก็เดือนละ 1-2 ครั้ง ทีแรกเขาก็ตอบปกตินะคะ บางทียังมาเม้นแซวอะไรในเฟสเราอยู่เลย แต่พอมาประมาณครั้งที่ 3 เราทักแชทเฟสไปหาพี่จอยเขาเพื่อที่จะทวงเงิน ที่เขาเคยติดเราไว้ก่อนที่เขาจะลาออกจำนวน 120 บาท เพราะก่อนหน้านี้เขาบอกว่าเดี๋ยวว่างๆเขาจะโอนคืนให้ คือที่เราเพิ่งทวงอ่ะ มันเป็นเพราะว่าเราเพิ่งนึกขึ้นได้ + ตอนนั้นเราไม่มีเงินพอดี คือเราจะเอาเงินไปซื้อข้าวกินอะค่ะ แต่พอเราทักไปหาพี่จอยปุ๊บเขาก็ไม่อ่านไม่ตอบแต่เห็นอัพอะไรในเฟสปกติ ที่นี้เราก็เลยลองโทรไปหาเขา เขาก็ไม่โทรกลับ (นิสัยจริงๆเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบโทรกลับหาใครอยู่แล้วค่ะ เห็นเป็นแบบนี้ทุกคนเลยไม่รู้ทำไมเหมือนกัน สงสัยจะขี้เกียจ) แต่มุมนึงเราก็นึกโทษตัวเองนะคะว่าเงินแค่ 120 บาทยังจะไปทวงเขาอีก เสียมารยาทจังเรา 😂 ... ที่นี้หลังจากนั้นพอเวลาผ่านไปสัก 1 เดือน มันเริ่มมีแม่บ้าน + พนักงานสายแรงงาน ในบริษัทมาพูดให้เราฟังประมาณว่า ... เกตุ ระวังจะมีคนยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกตุทะเลาะกับคนอื่นหรือมีคนไม่หวังดีกับเกตุนะ เราก็เลยถามกับคนที่มาบอกเราว่าใคร เขาก็บอกว่ามันมีเยอะมากจริงๆมันมี คนที่เอาเราไปนินมาและไม่หวังดีกับเรา พร้อมจ้องจะแทงข้างหลังเราตลอดเวลาเลยนะ ... มาถึงตอนนี้เราก็เริ่มตะหงิดๆใจละค่ะ ว่า ... มันอาจจะเป็นจริงหรือเปล่าที่มีคนพูดแบบนั้น แล้วเอาเราไปพูดไม่ดีให้พี่จอยฟังพอดีพี่จอยเลยไม่ตอบเรา ... เราก็เลยลองทักพี่จอยไปประมานรอบที่ 4 ว่า .. พี่จอยเห็นเที่ยวเพลินเลยนะ สบายดีไหมคะพี่ ... พี่จอยก็ไม่ตอบกลับมาอีก คราวนี้เราก็เริ่มกังวลแล้วค่ะ .... ที่นี้เราก็เลยใช้วิธีขอตัวช่วย ให้พี่คนที่เคยทำงานอยู่บริษัทเดียวกับพี่จอยและเรา แต่ลาออกไปแล้ว (สมมติให้ว่าเขาชื่อพี่นิแล้วกันนะคะ) เราให้เขาช่วยคุยให้ประมาณว่าพี่จอยเขาโกรธอะไรเราหรือเปล่า << ซึ่งสิ่งที่พี่นิบอกกับเรามาคือ " พี่จอยบอกว่าไม่ได้โกรธอะไรเรา แต่พอดีกำลังมีปัญหา เพราะตอนนี้เขาเลิกกับแฟนเก่าและกำลังคบแฟนใหม่อยู่ ทีแรกก็เหมือนแฟนใหม่จะโอเค พี่จอยเลยตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่บ้านแฟนใหม่ แต่พอมาอยู่ด้วยกันแฟนเขาไม่ดีแบบที่คิด ทั้งหวงพูดไม่ดีใส่เขา บังคับไม่ให้เขาทำนู่นทำนี้ และที่สำคัญคือแฟนเขาไม่ชอบให้เขามีสังคมไม่ชอบให้คุยกับใคร แม้แต่เพื่อน ผญ. ด้วยกันเอง แฟนเขายังแทบไม่อยากให้คุย อารมณ์แบบต้องอยู่กันสองต่อสองเท่านั้นไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวาย แต่ที่ตอนนั้นพี่จอยตอบพี่นิได้ก็เพราะว่าแฟนใหม่ไม่อยู่พอดีเลยแอบคุยได้ "
(มี่ต่อนะคะ)
รู้สึกเสียใจที่มิตรภาพเก่าๆไม่เหมือนเดิมและรู้สึกอึดอัดกับปัญหาที่ไม่มีวันสามารถพิสูจน์ได้จังเลยค่ะ
.... เรื่องมันเริ่มมาจากที่ช่วงนั้นคนที่ทำงานกับเราคนเก่าเขาลาออกไปพอดี ... บริษัทก็เลยประกาศหาคนใหม่มาช่วยเรา จนกระทั้งได้พี่คนนี้เข้ามาค่ะ (เราขอเรียกชื่อเขาว่าพี่จอยนะคะ) ซึ่งช่วงระหว่างที่เราทำงานกับพี่จอยโดยรวมก็โอเคนะคะ คือเขาเป็นคนที่ทำงานมาหลายที่พอสมควร รวมๆแล้วทั้งบริษัทเล็กกับใหญ่ที่เขาทำมาก็น่าจะประมาณ เกือบ 10 ที่ได้
... แต่พอทำงานด้วยกันจริงๆมันก็มีปัญหากันบ้างค่ะ คือเราต้องบอกก่อนว่าเมื่อก่อนเราเป็นโรควิตกกังวลต้องกินยารักษา (เรื่องนี้คนนี้บริษัทบางคนก็รู้ค่ะเพราะเราเคยต่อยกำแพงจนมือช้ำแล้วคนเห็นจนเอาไปเม้ากัน + เราเคยโทรคุยกับหมอที่ รพ.. แล้วมีคนมาแอบฟัง) แต่ช่วงที่เรากับพี่จอยทำงานด้วยกันช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเพิ่งกินยาใหม่ๆ มันก็มีอาการสวิงบ้าง เช่น บางทีเราจะหงุดหงิดเพราะโดนด่ามาจนหน้ามุ่ย จนดูเขาเกร็งๆกับเราไป , บางทีเราจะพูดกับเขาเสียงดังเพราะที่ตรงนั้นงานมันต้องทำไวๆ เร็วๆ แต่มันมักจะมีคน พูดแข่งหรือพูดแทรกระหว่างนั้นทำให้งานมันวุ่นวายอยู่บ่อยๆ ... แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องอะไรแนวๆนี้เราจะพูดกับพี่เขาตลอดว่าเอ้อ “ หนูขอโทษนะพี่จอยที่ ..... (อะไรก็ว่าไป) ..... ถ้าพี่ไม่สบายใจหรือไม่โอเคตรงไหนพี่บอกหนูได้ตลอดเลยนะ “ ซึ่งเขาก็บอกกับเรามาว่า “ โอเคพี่ไม่ได้คิดอะไรเลยเกตุ (เราขอใช้ชื่อเกตุเป็นนามสมมติเรานะคะ) สบายๆ ไว้ถ้าพี่ไม่โอเคจริงๆเดี๋ยวพี่บอกทันทีเลยโอเคป่ะ “ คือท่าทางเขาดูเฟรนลี่และเป็น Comfort Zone ให้เราได้มากพอสมควร (เขาเป็นคนที่ดูเฟรนลี่ ยิ้มแย้ม แจ่มใส ร่าเริง คุยเก่ง อาจจะเพราะเขาเคยทำงานเป็นเซลล์มาด้วยมั้งค่ะ ภายนอกเลยมีนิสัยแนวๆนี้) จนมีวันนึงเราเจอปัญหาเรื่องงานแล้วเราร้องไห้หนักมากเขาก็ปลอบเรา เราก็เลยพูดออกไปว่า “ เอ่อพี่เอาจริงๆหนูเป็นโรควิตกกังวลอะพี่แล้วก็กินยาอยู่ แต่ตอนนี้หนูเพิ่งกินใหม่ๆมันก็อาจจะยังไม่เข้าที่ หนูกลัวพี่รังเกียจหนูจังที่หนูเป็นแบบนี้ “ พี่เขาก็ตอบมาว่า “ ไม่หรอกพี่เข้าใจ กินยาไม่เห็นแปลกเลย จะได้รักษาตัวเองด้วย สู้ๆเดี๋ยวก็ดีขึ้น พี่อยู่ตรงนี้แล้ว “ (ต้องบอกก่อนค่ะว่าที่ผ่านมาที่มีคนรู้ว่าเรากินยาคนที่นั้นส่วนใหญ่มองเราในแง่ลบตลอดมองว่าเราป่วย หรือเป็นบ้าหรือป่าวที่กินยาแบบนี้ไปเลย + ส่วนตัวเราเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูงไม่จับกลุ่มเม้าใคร บางทีใครขออะไรเราช่วยได้เราช่วยจนบางทีมีคนพูดแซะเราว่าทำไมต้องช่วยคนอื่นด้วยอะงานตัวเองก็ไม่ใช่ แล้วเราก็คุยกับใครก็ได้ไม่ได้ถือตัวจนบางทีคนในโรงงานมั่นไส้ ร้ายสุดๆเลยคือโดนคนใส่ร้ายว่าเราพูดไม่ดีทำไม่ดีทำให้คนที่หูเบามองเราในแง่ลบไปเลยก็มี ... แต่พี่จอยเขากลับไม่พูดหรือแย่ๆแบบนั้น + เวลาเราร้องไห้เขาก็คอยกอดคอยปลอบ เราเลยรู้สึกดีขึ้นมากๆ หรืออย่างเวลาที่เราทำงานผิดเขาก็จะช่วยคิดวิธีพูด แล้วเน้นย้ำกับเราเสมอว่ามีอะไรอะพูดออกมาเลยจะได้ไม่อึดอัด) แล้วหลังจากนั้นเราก็ทำงานกับเขามาเรื่อยๆ ก็มีพูดขัดหรือสื่อสารกันผิดบ้างแต่เราจะเอ่ยปากขอโทษกับเขาตลอดในฐานะที่เราเป็นน้องเขาก็ยิ้มรับแล้วบอกว่าไม่เป็นไรทุกครั้ง “ จนเราเริ่มสังเกตุนิสัยแปลกๆของเขาที่ไม่ใช้ข้อดีตามที่ด้านบนกล่าวไปค่ะ
1. เขามาทำงานได้ 1 เดือนครึ่งแต่เขาลาหยุดบ่อยมากประมาน 5 ครั้งได้ มีป่วยบ้าง, ลาไปช่วยเพื่อนขึ้นศาลบ้าง, แฟนมารับมาส่งไม่ได้เลยหยุดไปดื้อๆ ก็มี
2. เวลาเขาทะเลาะกับแฟนเขาจะบล็อกและลบแฟนออกจากเฟสทุกครั้ง เราเห็นมาประมาน 2 – 3 ครั้งได้ในรอบที่รู้จักกัน 3 เดือน
3. เขามาสายบ่อยประมาน 4 ครั้งได้ (สำหรับเราถือว่าเยอะค่ะ สำหรับคนที่มาทำงานแค่ 1 เดือนครึ่งและยังไม่ผ่านโปร)
แต่เราก็ไม่ว่าอะไรพี่เขานะคะ เพราะเขาเป็นคนที่ทำงานค่อนข้างเก่งเรายอมรับเลย บางอย่างเก่งกว่าเราทั้งที่เรามาทำมาทำงานที่นี้ก่อนเขาอีก (ตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบใหม่ๆละมาทำงานทีนี่ที่แรกได้แค่ 1 ปีเองค่ะ)
จนมีวันหนึ่ง ช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ เขาทะเลาะกับแฟนหนักมาก ประกาศเลิกกันหน้าเฟสว่าเลิกกันแล้วเสียใจมาก บลาๆ .... ช่วงคืนวันอาทิตย์เราเลยทักไปถามเขาค่ะว่า “ พี่จอย พี่ไหวป่าว วันจันทร์พี่จะมาทำงานไหวไหม “ เขาก็ไม่ตอบจนมาช่วงสายวันจันทร์เขาตอบกลับมาว่า “ พี่ว่าพี่จะลาออกว่าเกตุ แต่เอาเป็นว่าวันนี้พี่ลานะ เดี่ยวกลางวันจะโทรไปคุยด้วย ” เราก็ตกใจค่ะแบบเอ้า เกิดอะไรขึ้นวะ หรือว่าตรอมใจที่เลิกกับแฟนแล้วไม่มีกำลังใจจะทำอะไรเลยลาออกไปงั้นเหรอ เราก็เลยทั้งโทรทั้งแชทไปหาเขาประมาน 20 กว่ารอบได้แต่เขาก็ไม่ติดต่อ พอช่วงกลางวันเราลองโทรหาเขาๆโทรกี่สายๆก็ไม่ติด แถมก่อนหน้านี้เขาบอกจะโทรมาหาเราด้วยซ้ำ เราเลยร้องไห้ ไหนจะงานที่จากเดิมปริมาณมันต้องทำ 2 คน ต้องรวบมาทำคนเดียวอีกคือรู้สึกดิ่งมากๆ แต่มันรู้สึกก่ำกึ่งไม่อยากโทษพี่เขาเพราะที่ผ่านมาพี่เขาก็โปรมากจริงๆ เวลาทำงาน
....
แต่ยอมรับค่ะ ว่าข้างในลึกๆจริงๆในใจ เรารู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่พี่จอยทำเลย คือ 1. เราอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ณ ตอนนั้น 2. เขาจะลาออกทำไม 3. ถ้าเขาใจเย็นๆลงแล้วลองคุยดู เราจะสามารถบอกให้เขาอยู่ต่อได้หรือไม่ .... ทีนี้เราก็เลยลองโทรหาเพื่อนเขา (เราขอสมมติชื่อเพื่อนเขาว่า ชื่อบีมนะคะ ที่เรามีเบอร์พี่บีม เพราะว่าเราเคยไปเที่ยวด้วยกันกับเขาพร้อมกับพี่จอยค่ะ) ทีนี้เพื่อนเขาก็บอกที่อยู่เขามาค่ะ แต่มันเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่มีบ้านคล้ายกันหลายหลังมากๆ เราหาไม่เจอ โทรหาพี่จอยถี่ๆซ้ำๆ อีก 10 สายก็ไม่ติด + ตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน สุดท้ายเราก็ได้แต่เขียนโน๊ตกับซื้ออาหารเล็กๆ น้อยไปฝากเขาไว้ที่หน้าป้อมยามหน้าหมู่บ้าน เนื้อหาโน้ตมันประมาณว่า “ จะมาจะไปยังไงก็บอกหนูได้นะพี่ หนูไม่ว่าพี่หรอก ขอแค่บอกกันนะ เป็นห่วงนะพี่ “ อะไรทำนองนี้ค่ะ หลังจากนั้นพอเรากลับบ้านมาตอนกลางคืน เราลองแชทเฟสไปหาพี่จอยดูอีกครั้ง สักพักเขาถึงตอบกลับมา ว่า “ เดี๋ยววันพรุ่งนี้ (วันอังคาร) พี่จะไปทำงานแน่นอน แต่จะไปเขียนใบลาออกนะ พี่จะลาออกจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะพี่เลิกกับแฟนนะ แต่เป็นเพราะพี่รู้สึกว่าเบื่องานที่นี่ งานมันจุกจิกวุ่นวายไปหมด เดี๋ยวจะไปลาผู้ใหญ่ ลาหัวหน้างานด้วย “ แต่สุดท้ายพอถึงวันอังคารนะคะ เขาก็ไม่มา เราก็ใจเสีย คือวันนั้นเราน้ำตาซึมเรื่อยๆเลยว่าสัญญาว่าจะมาหากันก็ไม่มา ทำไมกันนะ หายไปไหน .. (คือเราเป็นคนไม่โอเคกับคนพูดลอยๆแล้วทำจริงไม่ได้ค่ะมันเฟล) จากนั้นเราก็ทักแชทเฟสไปหาพี่จอยค่ะ ว่า “ พี่มาไม่ไหวเหรอไม่เป็นไรนะ แต่หนูอยากเจอพี่จริงๆนะ .” พี่จอยเขาก็พิมพ์ตอบมาว่า “ มาหาพี่แทนสิ มาบ้านบีมเพื่อนพี่ตอนกลางวันได้เลย แล้วเรามาเจอกัน มากินข้าวกัน “ เราก็พิมพ์ถามเขาไปว่า “ ok พี่ ว่าแต่ของพี่ที่เหลืออยู่ ในลิ้นชัก พี่ไม่มาเอาเหรอ ? ของมันเยอะนะ ” ที่นี้ พี่เขาก็ไม่ตอบ แต่โทรเฟสมาหาเราแทน ว่า “ เกตุพี่ฝาก หยิบยา หมอน แล้วก็ขนมในลิ้นชักเขาออกมาหน่อย แล้วรีบไปหาเขาที่บ้านพี่บีม แล้วมาคุยกัน “ (ตอนนั้นเราก็รีบๆค่ะ เพราะงานเยอะ + ใกล้ถึงเวลาพักแล้วด้วยเลยไม่ได้ถามอะไรต่อ) ที่นี้พอช่วงพักกลางวันแล้วก็รีบไปหาพี่จอยทันทีเลยค่ะ พร้อมกับหอบของทั้งหมดที่เขาขอมาไปให้เขาเพราะว่ารีบมากเวลามีแค่ ชั่วโมงเดียว พอไปถึงปุ๊บพี่จอยเขาก็อธิบายให้เราฟัง ประมาณว่า ... ที่เขาลาออกอ่ะ ไม่ใช่ก็เสียใจเรื่องแฟนนะ คิดมานานแล้วว่าจะออกเพราะรู้สึกว่า บริษัทนี้ มันไม่โอเค ระบบงานมันไม่ดี เราก็เข้าใจนะ เพราะเขาเคยทำงานบริษัทใหญ่ๆ มาก่อนที่มันมีมาตรฐาน แต่พอมาเจอบริษัทที่มันโรงงานและไม่เป็นระบบ เขาก็รับไม่ได้เป็นธรรมดาเขาก็เลยอยากออก ... จากนั้นเราก็พูดคุยร่ำลากันเชาค่ะว่าแบบ ... งั้นวันหลังขอให้ได้เจอกันอีกนะพี่ โชคดีนะพี่ ดูแลตัวเองดีๆนะ ...อะไรทำนองนี้แล้วก็แยกจากกันตั้งแต่ตรงนั้นด้วยดีค่ะ ...
ที่นี้หลังจากนี้เราจะเริ่มเล่าถึงปัญหาจริงๆที่มันเกิดขึ้นแล้วนะคะ ( หลังจากที่ปูเรื่องมาเยอะม๊ากก ) คือนับตั้งแต่ ที่เขาลาออกไป เราก็มีทักไปหาเขาบ้าง รวมทั้งหมดโดยประมาณก็เดือนละ 1-2 ครั้ง ทีแรกเขาก็ตอบปกตินะคะ บางทียังมาเม้นแซวอะไรในเฟสเราอยู่เลย แต่พอมาประมาณครั้งที่ 3 เราทักแชทเฟสไปหาพี่จอยเขาเพื่อที่จะทวงเงิน ที่เขาเคยติดเราไว้ก่อนที่เขาจะลาออกจำนวน 120 บาท เพราะก่อนหน้านี้เขาบอกว่าเดี๋ยวว่างๆเขาจะโอนคืนให้ คือที่เราเพิ่งทวงอ่ะ มันเป็นเพราะว่าเราเพิ่งนึกขึ้นได้ + ตอนนั้นเราไม่มีเงินพอดี คือเราจะเอาเงินไปซื้อข้าวกินอะค่ะ แต่พอเราทักไปหาพี่จอยปุ๊บเขาก็ไม่อ่านไม่ตอบแต่เห็นอัพอะไรในเฟสปกติ ที่นี้เราก็เลยลองโทรไปหาเขา เขาก็ไม่โทรกลับ (นิสัยจริงๆเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบโทรกลับหาใครอยู่แล้วค่ะ เห็นเป็นแบบนี้ทุกคนเลยไม่รู้ทำไมเหมือนกัน สงสัยจะขี้เกียจ) แต่มุมนึงเราก็นึกโทษตัวเองนะคะว่าเงินแค่ 120 บาทยังจะไปทวงเขาอีก เสียมารยาทจังเรา 😂 ... ที่นี้หลังจากนั้นพอเวลาผ่านไปสัก 1 เดือน มันเริ่มมีแม่บ้าน + พนักงานสายแรงงาน ในบริษัทมาพูดให้เราฟังประมาณว่า ... เกตุ ระวังจะมีคนยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกตุทะเลาะกับคนอื่นหรือมีคนไม่หวังดีกับเกตุนะ เราก็เลยถามกับคนที่มาบอกเราว่าใคร เขาก็บอกว่ามันมีเยอะมากจริงๆมันมี คนที่เอาเราไปนินมาและไม่หวังดีกับเรา พร้อมจ้องจะแทงข้างหลังเราตลอดเวลาเลยนะ ... มาถึงตอนนี้เราก็เริ่มตะหงิดๆใจละค่ะ ว่า ... มันอาจจะเป็นจริงหรือเปล่าที่มีคนพูดแบบนั้น แล้วเอาเราไปพูดไม่ดีให้พี่จอยฟังพอดีพี่จอยเลยไม่ตอบเรา ... เราก็เลยลองทักพี่จอยไปประมานรอบที่ 4 ว่า .. พี่จอยเห็นเที่ยวเพลินเลยนะ สบายดีไหมคะพี่ ... พี่จอยก็ไม่ตอบกลับมาอีก คราวนี้เราก็เริ่มกังวลแล้วค่ะ .... ที่นี้เราก็เลยใช้วิธีขอตัวช่วย ให้พี่คนที่เคยทำงานอยู่บริษัทเดียวกับพี่จอยและเรา แต่ลาออกไปแล้ว (สมมติให้ว่าเขาชื่อพี่นิแล้วกันนะคะ) เราให้เขาช่วยคุยให้ประมาณว่าพี่จอยเขาโกรธอะไรเราหรือเปล่า << ซึ่งสิ่งที่พี่นิบอกกับเรามาคือ " พี่จอยบอกว่าไม่ได้โกรธอะไรเรา แต่พอดีกำลังมีปัญหา เพราะตอนนี้เขาเลิกกับแฟนเก่าและกำลังคบแฟนใหม่อยู่ ทีแรกก็เหมือนแฟนใหม่จะโอเค พี่จอยเลยตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่บ้านแฟนใหม่ แต่พอมาอยู่ด้วยกันแฟนเขาไม่ดีแบบที่คิด ทั้งหวงพูดไม่ดีใส่เขา บังคับไม่ให้เขาทำนู่นทำนี้ และที่สำคัญคือแฟนเขาไม่ชอบให้เขามีสังคมไม่ชอบให้คุยกับใคร แม้แต่เพื่อน ผญ. ด้วยกันเอง แฟนเขายังแทบไม่อยากให้คุย อารมณ์แบบต้องอยู่กันสองต่อสองเท่านั้นไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวาย แต่ที่ตอนนั้นพี่จอยตอบพี่นิได้ก็เพราะว่าแฟนใหม่ไม่อยู่พอดีเลยแอบคุยได้ "
(มี่ต่อนะคะ)