สวัสดีค่า แอ้มไม่ค่อยได้เข้ามาตั้งกระทู้อะไรเท่าไหร่เลย ติดแหงกอยู่แพลตฟอร์มอื่น 🤣🤣 วันนี้มีความอยากมาเล่าเรื่องของตัวเองให้เพื่อน สมช. ได้ฟังเพื่อเป็นความรู้ และวิทยาทานแด่ท่านที่ตกที่นั่งเดียวกับแอ้มขณะนี้ค่ะ
เอาหล่ะ เริ่มนะคะ
เมื่อสักปลาย พ.ย. 2564 แมย้ายตัวเองกลับมาเปิดร้านที่บ้านแม่อีกครั้ง ก็เตรียมเปิดร้านไป มีวันนึงแอ้มใส่รองเท้าแตะแบบเก่า ๆ คู่นึงที่มันเป็นแบบมีปุ่ม ๆ กลม ๆ นิ่มรับฝ่าเท้า ก็ใส่ไปค่ะ ไม่คิดอะไร พอคืนนั้นอาบน้ำ เช็ดตัว และซอกเท้า (แอ้มเป็นเบาหวาน) ตามปกติ แอ้มเจอถุงน้ำนูน ๆ ใส ๆ ตรงฝ่าเท้าด้านล่างของนิ้วนางแต่ค่อนมาทางนิ้วก้อยก้อย ซึ่งแอ้มไม่เจ็บเลยค่ะเพราะเท้าชาเนื่องจากเบาหวาน เลยเจาะแตกลอกหนังออกจนเป็นแผลเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวคัตต้อนบัตค่ะ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรคิดว่าทายาก็หาย
พอเช้ามาอาบน้ำ ก็ลืมเรื่องแผลไปเลย ยังคงใส่รองเท้าคู่เดิม ขายของให้ลค. ปกติ คราวนี้ตกกลางคืนอาบ้ำเสร็จก็เช็ดซอกนิ้วพบว่าแผลเป็นรอยบุ๋มลงไปนิดนึง ไม่เจ็บ ก็ปล่อยไปข้ามเดือนข้ามปี แปะพลาสเตอร์มั่งไม่แปะมั่งจนแผลปิด แต่รู้สึกด้านในมันดำ ก็ไม่คิดไรเพราะไม่เจ็บเนาะ
พอผ่านมาสักเดือนมกราคม มีคืนนึงเรามีความรู้สึกว่าด้านในแผลมันมีน้ำอะไรอยู่นะ เลยลองเอามือไปสะกิดๆ หนังเท้าที่มันด้าน ปรากฎว่า
"มีน้ำสีดำ ๆ ไหลออกมาตามแผลที่เราเปิดออก แต่ที่สำคัญคือมัน "เหม็นเน่ามากกกก" แอ้มเลยลุกมาบีบน้ำ และเลือดกะหนองก็ไหลตามมา เลยเอาคัตต้อนบัตแหย่ เอากรรไกรตัดเนื้อดำ ๆ ขูดมันออกมาให้หมด แล้วใส่เบตาดีน แล้วนอน เลาไปไหนก็เอาพลาสเตอร์กันน้ำมาปิดไว้ ทำแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งมีนาคม เราสังเกตุว่าแผลรูใหญ่ขึ้นนิดนึงเลยทำแผลแลพเอาสำลียัดเข้าไปอุด และดึงออกมาล้างทุกวัน ก็ไม่มีอะไร
จนมาถึงวันที่ 29 มีนาคม เราเปิดคาเฟ่ใหม่อีกที่นึง วันนั้นคงเดินเยอะ พลาสเตอร์ปิดแผลเปิดออก สำลีที่ยัดอุดด้านดำเชียว เมื่อกลับไปบ้านพบว่าปวดที่แผลม่กเวลาเดิน ทั้งที่ผ่านมาหลายเดือนไม่เคยปวดเลย เดินแทบไม่ไหว และจับไข้เป็นเวลา หนาวสั่น จากประสบการณ์ เราคิดว่าเราติดเชื้อในกระแสเลือดแน่นอน ก็อดทนจนวันพฤหัสที่ 1 เม.ย. เลยตัดสินใจขับรถไปคลีนิค หมอดูแผล แจ้งว่าแผลดล็กมาก แต่เหมือนก้อนอะไรด้านใน เลยใช้เครื่องคีบแบบสเตอไลท์คีบออกมา ปรากฎว่าเป็นสำลีเล็ก ๆ ที่เราเอาออกไม่หมดไปตกค้าง และกลัดหนอง หมอเลยทำแผลใหม่ และให้ไปอนามัยทุกวันห้ามล้างเอง เราก็เริ่มไปอนามัยตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. แต่ระหว่างนั้นก็จับไข้ทุกวันนะคะ ทำงานทถกวันแบบกะเผลก ๆ จนวันอาทิตย?มันไม่ไหวคืนนั้นเราไข้สูงมาก แม่เราเลยจ้างญาติมาขับรถพาเราไปหาหมอตอนเช้ามืดเข้าห่องฉุกเ
เรานอนไข้ขึ้นได้เกือนสองชม. กว่าจะได้รับการรักษ นอนครางเป็นหมาเลยจ้ะ พอหมอมาซักก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเลยบอกหมอไปว่ามีแผลเบาฟว่น สงสัยติดเชื้อในกะแสเลือด หมอเลยสั่งเจาะเบือด และเอ็กซเรย์ปอด รอผลชม.นึง ผลปรากฎว่าเชื้อไปที่ปอดแล้ว แถมมีออการน้ำท่วมปอดนิด ๆ จึงได้แดมิทที่อายุรกรรม
เรื่องมันน่าจะจบเนาะ แต่พอนอนไปสองคืนคือ 5, 6 เม.ย. ไข้ไม่ลดทั้ง ๆ ที่ได้ยาฆ่าเชื้อเข้าหลอดเลือดดำ หมอเลยสงสัยเรื่องแผลจึงเชิญ อ.หมอจากศัลฯ มาช่วยดูแผลแอ้ม พอเช้าพุธ 7 เม.ย. หมอดูแผลสั่งเอ็กซเรย์เท้าบ่าย ผลออกมาเราต้องเข้าห้องผ่าตัดตอนเย็นนั้นเลย
งงสิคะ งงไปเลย หมอแจ้งว่าจะตกแต่งแผล กรีดเอาหนองออก เราก็โอเค เย็นนั่นฟื้นจากยาสลบก็งงว่า ทำไมหมอเค้าพันแผลเราหนาขนาดนี้
มองแผลแบบงง ๆ ไม่คิดอะไร
เช้าอรกวันพยาบาลมาทำแผล "พระเจ้าช่วย!!!!" เชื่อมะคะวินาทีแรกที่เราเห็นแผลเรากรี้ดเลย เพราะไม่คิดว่าจะขนาดนี้ จากแค่รูเล็ก ๆ หมอว่าจำเป็นต้องเอาออกเพราะเนื้อตาย มาช้ากว่านี้นิ้วก้อยอาจไม่เหลือ 😭😭😭😭
เราก็ล้างแผลทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้งจนเมื่อวานคิอ วันศุกร์ ที่ 9 เม.ย. หมอจอดูแผล ถ้าแผลดีหมอจะให้กลับ แต่แอ้มเป็นเบาหวานไงไม่คาดว่าแผลจะดีหรอก (แต่เราคุมเบาหวานอยู่) พอหมอแกะมาหมอร้องเลย "อุ้ย แผลดี เนื้อแดงมาเร็วแฮะ ไม่เน่า กลับบ้านได้"
เท่านี้แหล่ะค่ะ สำหรับเรื่องของเรา มีอะไรแนะนำก็บอกได้เลนนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
จากแผลรูเท่าคัตต้อนบัต มาสู่การกรีดเนื้อตายออกเยอะมาก ๆ
เอาหล่ะ เริ่มนะคะ
เมื่อสักปลาย พ.ย. 2564 แมย้ายตัวเองกลับมาเปิดร้านที่บ้านแม่อีกครั้ง ก็เตรียมเปิดร้านไป มีวันนึงแอ้มใส่รองเท้าแตะแบบเก่า ๆ คู่นึงที่มันเป็นแบบมีปุ่ม ๆ กลม ๆ นิ่มรับฝ่าเท้า ก็ใส่ไปค่ะ ไม่คิดอะไร พอคืนนั้นอาบน้ำ เช็ดตัว และซอกเท้า (แอ้มเป็นเบาหวาน) ตามปกติ แอ้มเจอถุงน้ำนูน ๆ ใส ๆ ตรงฝ่าเท้าด้านล่างของนิ้วนางแต่ค่อนมาทางนิ้วก้อยก้อย ซึ่งแอ้มไม่เจ็บเลยค่ะเพราะเท้าชาเนื่องจากเบาหวาน เลยเจาะแตกลอกหนังออกจนเป็นแผลเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวคัตต้อนบัตค่ะ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรคิดว่าทายาก็หาย