หลังร่างของผู้วายชนถูกมอดไหม้ด้วยไฟที่ล้างพลาญเส้นผม เนื้อหนัง อวัยวะ กระดูก ยาวนานตลอดคืน ในเช้ามืดเป็นช่วงเวลาที่ญาติมิตรของผู้วายชนกลับมาเก็บเถ้ากระดูกที่หลงเหลืออยู่ ชาวไทยนิยมทั้งการเก็บเถ้ากระดูกใส่อัฐิไว้บูชา หรือไม่ก็นำไปฝังไว้กับพระแม่ธรณี และมีอีกหลายคนก็นิยมในการลอยอังคารในแม่น้ำและทะเลด้วยเช่นกัน ซึ่งอาม่าของผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผ่านมากี่ปีแล้วนะ? หลังจากงานศพ ผมจำได้คับคล้ายคับคลาว่าเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนในปีหนึ่ง ในตอนนั้นทางครอบครัวเห็นตรงกันว่าจะเอาเถ้ากระดูกทั้งหมดมาลอยอังคารตรงที่เป็นปากร่องน้ำลึกออกสู่ทะเลภายนอก ซึ่งจุดนั้นเป็นจุดที่เหล่าชาวตกปลานิยมมาตกปลากันมาก เพราะไม่ไกลจากชายฝั่ง อีกทั้งปลายังชุกชุมตกเท่าไหร่ก็ไม่หมด เหมือนปลาฝูงเก่าโดนตกขึ้นมาจนหมด ก็จะมีปลาฝูงใหม่เข้ามาอาศัยแทน อีกทั้งลักษณะพื้นที่เป็นปากอ่าวสามารถใช้หลบลมมรสุมได้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่เด็กผมจะเห็นพ่อเรือออกไปตกปลาในวันหยุดสุดสัปดาห์เสมอ เมื่อถึงวัยที่พอจะรู้ประสา ผมก็ขอพ่อตามไปตกปลาด้วยบ่อยๆ จริงๆ แล้วผมชอบไปเที่ยวทะเลหน่ะ มันทั้งเงียบสงบ ไม่มีเสียงสิ่งมีชีวิตรบกวนมากเท่าใด แต่ถ้าวันไหนไปเจอลมมรสุมเข้า บรรยากาศของทะเลจะเปลี่ยนจากภาพผิวน้ำที่กระทบแสงแดดระยืบระยับไปเป็นดั่งจุดดำดิ่งใต้ท้องมหาสมุทรที่มืดมน ทั้งลมที่กรรโชก ทั้งคลื่นสูงหลายเมตรที่วิ่งผ่านเรือไป มันทำให้คนที่ไม่เคยประสบอาจกลัวและขยาดทะเลไปเลย
ทางแล่นเรือของชาวบ้านแทบทุกลำมักจำเป็นต้องวิ่งผ่านปากร่องน้ำลึกนี้เพื่อผ่านออกไปทะเลภายนอก เรือของผมกับพ่อก็เช่นกัน เวลาเราสองคนจะออกไปตกปลาตามหมายตกปลาภายนอกก็ต้องผ่านร่องน้ำลึกทุกครั้ง สมัยที่อาม่ายังมีชีวิตอยู่การนั่งเรือผ่านจุดนั้นเป็นเรื่องเฉยๆ แต่หลังจากที่นำเถ้ากระดูกของอาม่ามาลอยอังคารแล้ว การผ่านจุดนั้นก็ไม่เหมือนอย่างเคยอีกต่อไป ทุกครั้งจะมีความคิดแว้บมาในหัวว่า เราเคยมาลอยอังคารตรงนี้ อาม่าจะยังอยู่ตรงนี้ไหมนะ หลายคนที่ตายไปแล้วญาตินำเถ่ากระดูกมาลอยอังคารตรงนี้เช่นกัน เขาจะอยู่กันแออัดไหม ในหัวผมตอนนั้นคิดเป็นเรื่องตลก และน่าขัน และแอบคิดว่าถ้าให้มาตกปลาตรงนี้ สักวันคงตกได้ปลาที่กินเถ้ากระดูกเข้าไปแน่ๆ ไม่ใช่ผมคนเดียว พ่อก็คิดเช่นนั้นด้วย เราสองคนจึงเลี่ยงที่จะไม่ตกปลาในจุดนั้นถึงแม้ปลาจะชุกชุมขนาดไหนก็ตาม
ปากร่องน้ำลึกนั้นยังมีความพิเศษอีกประการคือ เวลาที่น้ำลงต่ำสุด ร่องน้ำนั้นเป็นเพียงร่องเดียวที่เรือวางท้องขนาด 20 ฟุตยังแล่นได้ โดยมีความลึกเฉลี่ย 2-3 เมตร แต่รอบๆ บริเวณนั้นน้ำจะตื้นเขินมาก จนคนสามารถลงเดินหาหอย หาปูได้ คนขับเรือที่ชำนาญเท่านั้นถึงจะสามารถขับไปตามร่องน้ำได้ เหล่ามือใหม่หลายคนขับเรือขึ้นเกยตื้น หมดปัญญาที่จะไปต่อต้องรอจนน้ำขึ้นอีกครั้งถึงจะไปต่อได้
เย็นวันเสาร์แรม15ค่ำ ในเดือนพฤศจิกายน ผมกับพ่อกำลังขับเรือมุ่งหน้าเข้าฝั่งให้เร็วที่สุด เพราะหนีพายุฝนที่เห็นตั้งเค้าอยู่ทางทิศตะวันตกใกล้เกาะขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง พายุฝนเป็นสิ่งที่ชาวเรือกลัวที่สุดเพราะมันนำพาความบ้าคลั่งเหมือนน้ำทะเลเดือดตามมาด้วย ใกล้6โมงเย็นเข้าไปทุกที ท้องฟ้าก็อ่อนแสงลงด้วยความดำทมิฬของเมฆฝนที่กำลังไล่ตามมา เหลือระยะทางอีกประมาณ 15 กิโลเมตรจะถึงฝั่ง ด้วยอัตราเร่งที่ใช้เต็มกำลังทำให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันมากขึ้น อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันที่น้ำลงต่ำที่สุด เรียกได้ว่าตรงร่องน้ำลึก เรือขนาดใหญ่กว่า10ฟุต อาจไม่สามารถแล่นผ่านได้ ยังไงก็ตามพ่อบอกว่าเราต้องเสี่ยงไปให้ถึงก่อน โดยไม่แวะเติมน้ำมันกับเรือขายน้ำมันเถื่อนที่จอดหลบลมอยู่ข้างเกาะ เพราะจะทำให้เสียเวลาก่อนที่น้ำจะลงต่ำสุดและจะทำให้เราเข้าฝั่งไม่ได้ไปอีก 6 ชั่วโมง ร่องน้ำลึกอยู่ด้านหน้าห่างจากเราไปราว 10 กิโล ฟ้าเริ่มมืด ลมที่พัดตามมาเหมือนจะเพิ่มกำลังเร็วขึ้น นำพาพายุฝนห่าใหญ่เข้าใกล้มาทุกที
อีกราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเราแล่นเรือมาถึงปากร่องน้ำลึก แต่เรามาสายไป น้ำแห้งลงจนเห็นเนินหาดที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเป็นแนวยาว เป็นสัญญาณที่บอกว่าน้ำในร่องน้ำลดต่ำจนเรือไม่สามารถผ่านไปได้แล้ว เรือของเราลอยอยู่บนขอบรอยต่อที่เป็นแอ่งกะทะจึงทำให้เรือยังไม่เกยตื้น พ่อเอ่ยขึ้นว่า
"เรายังมีอีกทาง แต่ต้องอ้อมเกาะป่าชายเลยไปราว 3-4 กิโลเมตร ทางนั้นน้ำยังพอมี แต่น้ำมันในเรือเราอาจไม่พอแล้วเพราะเร่งเครื่องกลับมาจนน้ำมันแทบหมด ถ้าเสี่ยงไปเราอาจติดอยู่ข้างเกาะป่าชายเลน ซึ่งยุงชุมมาก" ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปาก พ่อก็พูดต่อว่า
"เราคงต้องรอตรงนี้จนน้ำขึ้น แล้วถ้าเรือขายน้ำมันผ่านมาเรียกให้เข้ามาเติมด้วยนะ"
พร้อมออกคำสั่งให้ผมไปทอดสมอเรือลงในน้ำเพื่อยึดเรือไว้ เตรียมรับลมพายุฝนที่กำลังจะมาถึง
เวลา1 ทุ่มในทะเล หากเป็นสภาวะปกติพระอาทิตย์จะกำลังตก เรือกำลังวิ่งกันขวักไขว้บนท้องน้ำ ทั้งเรือประมงขนาดเล็กใหญ่ที่กำลังออกจากชายฝั่งไปจับสัตว์น้ำ และเรือที่นำนักท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกกลางทะเลก่อนเข้าฝั่ง แต่วันนี้ฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจ พายุที่ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหันไม่อยู่ในการพยากรณ์อากาศของสำนักใดๆ กำลังโหมเข้าสู่ชายฝั่ง ทำให้เรือน้อยใหญ่ต่างพากันหลบลมพายุทั้งที่เกาะต่างๆ และที่ท่าเรือชายฝั่ง ที่ปากร่องน้ำลึกมีเพียงเรือของเราลำเดียวที่จอดอยู่ เสื้อฝนทุกดึงออกมาจากกระเป๋ากันน้ำ และสวมใส่เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อเปียกและหนาวจนเกินไป เพราะในทะเลเวลาฟ้ามืดแล้ว หนาวเสียยิ่งกว่าเปิดแอร์ 20 องศาในห้องนอนเสียอีก ราว10นาทีต่อมา ทั้งลม ทั้งฝน ทั้งคลื่น ซัดใส่เรือของเรา เคราะห์ดีที่เราหลบอยู่ในอ่าวแล้วจึงช่วยลดความรุนแรงลงได้บ้าง แต่ก็เปียกปอนไปตามกัน ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาพายุลดกำลังลง เม็ดฝนซาเม็ดลงจนกลายเป็นละอองฝน ระหว่างนั้นเราสำรวจเหยื่อที่ยังเหลืออยู่ แน่นอนว่าการอยู่ในทะเล และให้นั่งเฉยๆ มันคงน่าเบื่อ บวกกับคืนนี้เป็นคืนเดือนดับที่ปลามักชุม ถึงแม้จะเป็นปากร่องน้ำลึกที่ชาวบ้านลอยอังคารรวมถึงอาม่าของผมด้วย และมีปลาที่กินเถ้ากระดูกเข้าไป แต่การตกปลาน่าจะดีกว่าการนั่งเฉยๆ อยู่บนเรือ
ไม่กี่อึดใจต่อมา เรา2คน ปาเหยื่อออกจากปลายคันเบ็ดลงในน้ำด้านข้างเรือไปทางฝั่งทะเลภายนอก ซึ่งใต้น้ำมีกองหินอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีปลาแน่ๆ แล้วนั่งรอกันเงียบๆ ผ่านไปนานเท่าใดไม่มั่นใจนัก ผมได้ยินเสียงดัง เฮือก!! คล้ายกับคนที่หายใจไม่ออก มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ และดูเหมือนพ่อจะได้ยินด้วย ผมกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่พ่อยกมือจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้ผมห้ามปากไม่ให้เปร่งเสียงใดๆ ออกไปก่อน ทันใดนั้นเสียงสายเอ็นวิ่งผ่านรอกไปยังปลายคันที่กำลังโค้งงอลง เป็นสัญญาณบอกว่าปลากินเบ็ดคันของผมแล้ว การเย้อกับปลาทำให้ผมลืมเรื่องเสียงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะ แต่โสตประสาทของผมกลับได้ยินเสียงอื่นแทรกเข้ามาอีก "เอา กู ขึ้น ปายย ด้วยย" เสียงนั้นทั้งเบา และยาน แต่แน่ชัดว่าคล้ายเสียงผู้ชายกำลังขอความช่วยเหลือ
ไม่ทันที่จะได้คิดอะไร เสียงรอกที่ติดกับคันเบ็ดอีก3 คันดังขึ้นพร้อมกัน
"ปลากินทีเดียวเลยเหรอเนี่ย แล้วจะเอายังไงทัน" พ่อผมอุทาน ไม่ช้าพ่อก็คว้าคันเบ็ดมาเย้อปลา ขณะนั้นผมได้ยินเสียงอีกหลายเสียงดังขึ้น อย่างกับว่ามันดังไปทั่วผืนน้ำสีดำ
"เห้ย ช่วยที"
"หนูอยากกลับบ้าน"
"คิดถึงบ้าน"
"พ่อจ๋าา แม่จ๋าา"
เสียงบางเสียงก็เป็นภาษาอะไรไม่รู้ที่ผมแปลไม่ออก แม้กระทั่งเสียงสวดมนต์
"นะโม ตัดสะ..."
และเสียงที่ผมคาดว่าจะเป็นเสียงจากข่าวฆาตกรรมที่น่าสยดสยองเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ที่ตำรวจจับผู้ร้ายได้ชื่อว่าบังชา และ
"ไอชามันฆ่ากู มันฆ่ากู !!!" เสียงนั้นดูโกรธเกรี้ยวและขื่นขมยิ่งกว่าเสียงใดๆ ที่เคยได้ยิน ทั้งผมและพ่อต่างมองตากัน ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หมุนรอกเพื่อกรอสายเอ็นเอาปลาขึ้นมาบนเรือเท่านั้น
ปลาที่ผมตกได้เมื่อโผล่พ้นน้ำขึ้นมาปรากฏว่าเป็นปลาเก๋า ไซส์กิโลกว่าๆ กำลังน่าอร่อย และที่มันชื่อเก๋าเพราะมันเก๋าจริงๆ ปลาเก๋าอยู่บนบกได้นานมาก ผมเคยเจอตัวหนึ่ง เอาขึ้นเรือมาแล้ว 2-3 ชั่วโมงก็ยังไม่ตาย และที่น่าพิศวงไปกว่านั้น เสียง "เฮือก" ที่ผมได้ยินในครั้งแรก มันดังมาจากปลาตัวนี้!! ในตอนแรกผมคิดว่าถุงลมของมันอาจพองตัวจนเกิดเสียงก็ได้ แต่ต่อมามันได้แสดงให้เห็นว่าถุงลมของมันยังปกติดี แต่เสียงที่พูดว่า
"เอา กู ขึ้น ปายย ด้วยย" ดังฟังถนัดขึ้นมาในทันที ขณะเดียวกัน พ่อเอาปลาอีกตัวขึ้นเรือมาได้ ปลาตัวนั้นเป็นปลาหางแข็งตัวเท่าแขนของผม มันก็มีเสียงออกมาเช่นกัน ปลาอีกหลายตัวที่พ่อผมเอาขึ้นมาบนเรือได้ ต่างส่งเสียงน่าหลอนหูจนผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งฟังเสียงที่ออกมาจากปลาเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีเสียงใดที่มีน้ำเสียงความสุขออกมาเลย มีแต่เสียงความเศร้าสร้อย หมดหวัง ขมขื่น อาลัย
"ปลาพวกนี้กินเถ้ากระดูกคนตายเข้าไปแน่ๆ อย่างที่เขาว่ากันว่าคืนเดือนดับ ปลาในปากร่องน้ำจะโหยหาชีวิตเมื่อชาติที่แล้ว แต่มาคิดๆ แล้วมันไม่น่าจะเป็นชาติที่แล้ว แต่วิญญาณที่มากับเถ้ากระดูก คงเข้าสิงปลามากนี้มากกว่า !! " ผมอึ้งไปชั่วขณะกับคำอธิบายของพ่อต่อสิ่งที่เห็น หูที่ได้ยิน กับสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ทั้งผืนน้ำโดยรอบยังดังระงมไปด้วยเสียงพูดที่มั่วไปหมด จนแยกไม่ออกว่าเสียงไหนพูดว่าอะไรบ้าง บนเรือก็ด้วยเช่นกัน ดูเหมือนเสียงเหล่านั้นจะพูดวนอยู่แต่ประโยคเดิมๆ เหมือนจิตใต้สำนึกครั้งสุดท้ายคนของเรา
ผ่านไปราว 2 ชั่วโมง เสียงเหล่านั่นเริ่มเงียบลง น้ำกำลังเริ่มขึ้น ยังมีเสียงพูดจากทะเลอยู่บ้าง แต่ฟังไม่ถนัดเสียแล้ว แต่เสียงที่ยังดังอยู่คือเสียงปลาเก๋าที่ตกขึ้นมาได้ที่พูดว่า
"เอา กู ขึ้น ปายย ด้วยย"
เราลืมปล่อยมันกลับไปในทะเลพร้อมกับปลาตัวอื่นที่ตกขึ้นมาได้ เมื่อจับที่ข้างเหงือกจะปล่อยมันกลับไปในทะเล เสียงนั้นยิ่งดังขึ้น ดังขึ้น จนกลายเป็นเสียงตะโกน จนผมลืมตัวด้วยความตกใจ เขวี้ยงมันกระทบกับรั้วสแตนเลสบนขอบเรือ มันกระแทกกับรั้วอย่างแรง เสียงนั้นเริ่มเบาลงๆ จนในที่สุดก็เงียบไป เหงื่อกไม่ขยับ ตัวแน่นิ่งไม่ดิ้น ซึ่งผมกับพ่อเห็นตรงกันว่ามันคงตายแล้ว ผมจึงถามพ่อว่า
"แล้วเสียงนั้นตายไปกับมันด้วยงั้นหรือ ?"
เสียงจากทะเลเริ่มน้อยเสียงลงจนแทบจะเงียบเป็นปกติ ราวเวลา 3 ทุ่มเกือบ4 ทุ่ม มีเรือขายน้ำมันแล่นเข้ามาเพื่อรอเข้าฝั่ง เราจึงได้เติมน้ำมันเรือให้เต็ม ผมกับพ่อไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนบนเรือลำนั้นฟัง เพราะกลัวเขาจะหาว่าบ้า อีกทั้งเราสองคนยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเหมือนตกอยู่ในภวังตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ราว5ทุ่ม น้ำขึ้นได้ระดับแล้ว เรือขายน้ำมันแล่นออกไปก่อน เรือของเราก็กำลังสตาร์ทเครื่องตามไปเพื่อเข้าฝั่ง ผมไปถอนสมอกลับมาบนเรือ พ่อเริ่มขับเรือออกไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นมีเสียงเรียกชื่อพ่อ และชื่อผมดังขึ้น
เสียงนั้นจับทิศทางได้ไม่ยากว่ามาจากไหน มันดังมาจากข้างเรือ เราสองคนก้มลงมองในผืนน้ำที่ดำมืด แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดของท้องน้ำในคืนเดือนดับ
ใช่ นั่นเป็นเสียงอาม่า และคงเป็นเสียงที่ดังมาจากปลาที่กินเถ้ากระดูกของอาม่าเข้าไป ...
under the deep groove
ผ่านมากี่ปีแล้วนะ? หลังจากงานศพ ผมจำได้คับคล้ายคับคลาว่าเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนในปีหนึ่ง ในตอนนั้นทางครอบครัวเห็นตรงกันว่าจะเอาเถ้ากระดูกทั้งหมดมาลอยอังคารตรงที่เป็นปากร่องน้ำลึกออกสู่ทะเลภายนอก ซึ่งจุดนั้นเป็นจุดที่เหล่าชาวตกปลานิยมมาตกปลากันมาก เพราะไม่ไกลจากชายฝั่ง อีกทั้งปลายังชุกชุมตกเท่าไหร่ก็ไม่หมด เหมือนปลาฝูงเก่าโดนตกขึ้นมาจนหมด ก็จะมีปลาฝูงใหม่เข้ามาอาศัยแทน อีกทั้งลักษณะพื้นที่เป็นปากอ่าวสามารถใช้หลบลมมรสุมได้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่เด็กผมจะเห็นพ่อเรือออกไปตกปลาในวันหยุดสุดสัปดาห์เสมอ เมื่อถึงวัยที่พอจะรู้ประสา ผมก็ขอพ่อตามไปตกปลาด้วยบ่อยๆ จริงๆ แล้วผมชอบไปเที่ยวทะเลหน่ะ มันทั้งเงียบสงบ ไม่มีเสียงสิ่งมีชีวิตรบกวนมากเท่าใด แต่ถ้าวันไหนไปเจอลมมรสุมเข้า บรรยากาศของทะเลจะเปลี่ยนจากภาพผิวน้ำที่กระทบแสงแดดระยืบระยับไปเป็นดั่งจุดดำดิ่งใต้ท้องมหาสมุทรที่มืดมน ทั้งลมที่กรรโชก ทั้งคลื่นสูงหลายเมตรที่วิ่งผ่านเรือไป มันทำให้คนที่ไม่เคยประสบอาจกลัวและขยาดทะเลไปเลย
ทางแล่นเรือของชาวบ้านแทบทุกลำมักจำเป็นต้องวิ่งผ่านปากร่องน้ำลึกนี้เพื่อผ่านออกไปทะเลภายนอก เรือของผมกับพ่อก็เช่นกัน เวลาเราสองคนจะออกไปตกปลาตามหมายตกปลาภายนอกก็ต้องผ่านร่องน้ำลึกทุกครั้ง สมัยที่อาม่ายังมีชีวิตอยู่การนั่งเรือผ่านจุดนั้นเป็นเรื่องเฉยๆ แต่หลังจากที่นำเถ้ากระดูกของอาม่ามาลอยอังคารแล้ว การผ่านจุดนั้นก็ไม่เหมือนอย่างเคยอีกต่อไป ทุกครั้งจะมีความคิดแว้บมาในหัวว่า เราเคยมาลอยอังคารตรงนี้ อาม่าจะยังอยู่ตรงนี้ไหมนะ หลายคนที่ตายไปแล้วญาตินำเถ่ากระดูกมาลอยอังคารตรงนี้เช่นกัน เขาจะอยู่กันแออัดไหม ในหัวผมตอนนั้นคิดเป็นเรื่องตลก และน่าขัน และแอบคิดว่าถ้าให้มาตกปลาตรงนี้ สักวันคงตกได้ปลาที่กินเถ้ากระดูกเข้าไปแน่ๆ ไม่ใช่ผมคนเดียว พ่อก็คิดเช่นนั้นด้วย เราสองคนจึงเลี่ยงที่จะไม่ตกปลาในจุดนั้นถึงแม้ปลาจะชุกชุมขนาดไหนก็ตาม
ปากร่องน้ำลึกนั้นยังมีความพิเศษอีกประการคือ เวลาที่น้ำลงต่ำสุด ร่องน้ำนั้นเป็นเพียงร่องเดียวที่เรือวางท้องขนาด 20 ฟุตยังแล่นได้ โดยมีความลึกเฉลี่ย 2-3 เมตร แต่รอบๆ บริเวณนั้นน้ำจะตื้นเขินมาก จนคนสามารถลงเดินหาหอย หาปูได้ คนขับเรือที่ชำนาญเท่านั้นถึงจะสามารถขับไปตามร่องน้ำได้ เหล่ามือใหม่หลายคนขับเรือขึ้นเกยตื้น หมดปัญญาที่จะไปต่อต้องรอจนน้ำขึ้นอีกครั้งถึงจะไปต่อได้
เย็นวันเสาร์แรม15ค่ำ ในเดือนพฤศจิกายน ผมกับพ่อกำลังขับเรือมุ่งหน้าเข้าฝั่งให้เร็วที่สุด เพราะหนีพายุฝนที่เห็นตั้งเค้าอยู่ทางทิศตะวันตกใกล้เกาะขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง พายุฝนเป็นสิ่งที่ชาวเรือกลัวที่สุดเพราะมันนำพาความบ้าคลั่งเหมือนน้ำทะเลเดือดตามมาด้วย ใกล้6โมงเย็นเข้าไปทุกที ท้องฟ้าก็อ่อนแสงลงด้วยความดำทมิฬของเมฆฝนที่กำลังไล่ตามมา เหลือระยะทางอีกประมาณ 15 กิโลเมตรจะถึงฝั่ง ด้วยอัตราเร่งที่ใช้เต็มกำลังทำให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันมากขึ้น อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันที่น้ำลงต่ำที่สุด เรียกได้ว่าตรงร่องน้ำลึก เรือขนาดใหญ่กว่า10ฟุต อาจไม่สามารถแล่นผ่านได้ ยังไงก็ตามพ่อบอกว่าเราต้องเสี่ยงไปให้ถึงก่อน โดยไม่แวะเติมน้ำมันกับเรือขายน้ำมันเถื่อนที่จอดหลบลมอยู่ข้างเกาะ เพราะจะทำให้เสียเวลาก่อนที่น้ำจะลงต่ำสุดและจะทำให้เราเข้าฝั่งไม่ได้ไปอีก 6 ชั่วโมง ร่องน้ำลึกอยู่ด้านหน้าห่างจากเราไปราว 10 กิโล ฟ้าเริ่มมืด ลมที่พัดตามมาเหมือนจะเพิ่มกำลังเร็วขึ้น นำพาพายุฝนห่าใหญ่เข้าใกล้มาทุกที
อีกราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเราแล่นเรือมาถึงปากร่องน้ำลึก แต่เรามาสายไป น้ำแห้งลงจนเห็นเนินหาดที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเป็นแนวยาว เป็นสัญญาณที่บอกว่าน้ำในร่องน้ำลดต่ำจนเรือไม่สามารถผ่านไปได้แล้ว เรือของเราลอยอยู่บนขอบรอยต่อที่เป็นแอ่งกะทะจึงทำให้เรือยังไม่เกยตื้น พ่อเอ่ยขึ้นว่า
"เรายังมีอีกทาง แต่ต้องอ้อมเกาะป่าชายเลยไปราว 3-4 กิโลเมตร ทางนั้นน้ำยังพอมี แต่น้ำมันในเรือเราอาจไม่พอแล้วเพราะเร่งเครื่องกลับมาจนน้ำมันแทบหมด ถ้าเสี่ยงไปเราอาจติดอยู่ข้างเกาะป่าชายเลน ซึ่งยุงชุมมาก" ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปาก พ่อก็พูดต่อว่า
"เราคงต้องรอตรงนี้จนน้ำขึ้น แล้วถ้าเรือขายน้ำมันผ่านมาเรียกให้เข้ามาเติมด้วยนะ"
พร้อมออกคำสั่งให้ผมไปทอดสมอเรือลงในน้ำเพื่อยึดเรือไว้ เตรียมรับลมพายุฝนที่กำลังจะมาถึง
เวลา1 ทุ่มในทะเล หากเป็นสภาวะปกติพระอาทิตย์จะกำลังตก เรือกำลังวิ่งกันขวักไขว้บนท้องน้ำ ทั้งเรือประมงขนาดเล็กใหญ่ที่กำลังออกจากชายฝั่งไปจับสัตว์น้ำ และเรือที่นำนักท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกกลางทะเลก่อนเข้าฝั่ง แต่วันนี้ฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจ พายุที่ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหันไม่อยู่ในการพยากรณ์อากาศของสำนักใดๆ กำลังโหมเข้าสู่ชายฝั่ง ทำให้เรือน้อยใหญ่ต่างพากันหลบลมพายุทั้งที่เกาะต่างๆ และที่ท่าเรือชายฝั่ง ที่ปากร่องน้ำลึกมีเพียงเรือของเราลำเดียวที่จอดอยู่ เสื้อฝนทุกดึงออกมาจากกระเป๋ากันน้ำ และสวมใส่เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อเปียกและหนาวจนเกินไป เพราะในทะเลเวลาฟ้ามืดแล้ว หนาวเสียยิ่งกว่าเปิดแอร์ 20 องศาในห้องนอนเสียอีก ราว10นาทีต่อมา ทั้งลม ทั้งฝน ทั้งคลื่น ซัดใส่เรือของเรา เคราะห์ดีที่เราหลบอยู่ในอ่าวแล้วจึงช่วยลดความรุนแรงลงได้บ้าง แต่ก็เปียกปอนไปตามกัน ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาพายุลดกำลังลง เม็ดฝนซาเม็ดลงจนกลายเป็นละอองฝน ระหว่างนั้นเราสำรวจเหยื่อที่ยังเหลืออยู่ แน่นอนว่าการอยู่ในทะเล และให้นั่งเฉยๆ มันคงน่าเบื่อ บวกกับคืนนี้เป็นคืนเดือนดับที่ปลามักชุม ถึงแม้จะเป็นปากร่องน้ำลึกที่ชาวบ้านลอยอังคารรวมถึงอาม่าของผมด้วย และมีปลาที่กินเถ้ากระดูกเข้าไป แต่การตกปลาน่าจะดีกว่าการนั่งเฉยๆ อยู่บนเรือ
ไม่กี่อึดใจต่อมา เรา2คน ปาเหยื่อออกจากปลายคันเบ็ดลงในน้ำด้านข้างเรือไปทางฝั่งทะเลภายนอก ซึ่งใต้น้ำมีกองหินอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีปลาแน่ๆ แล้วนั่งรอกันเงียบๆ ผ่านไปนานเท่าใดไม่มั่นใจนัก ผมได้ยินเสียงดัง เฮือก!! คล้ายกับคนที่หายใจไม่ออก มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ และดูเหมือนพ่อจะได้ยินด้วย ผมกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่พ่อยกมือจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้ผมห้ามปากไม่ให้เปร่งเสียงใดๆ ออกไปก่อน ทันใดนั้นเสียงสายเอ็นวิ่งผ่านรอกไปยังปลายคันที่กำลังโค้งงอลง เป็นสัญญาณบอกว่าปลากินเบ็ดคันของผมแล้ว การเย้อกับปลาทำให้ผมลืมเรื่องเสียงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะ แต่โสตประสาทของผมกลับได้ยินเสียงอื่นแทรกเข้ามาอีก "เอา กู ขึ้น ปายย ด้วยย" เสียงนั้นทั้งเบา และยาน แต่แน่ชัดว่าคล้ายเสียงผู้ชายกำลังขอความช่วยเหลือ
ไม่ทันที่จะได้คิดอะไร เสียงรอกที่ติดกับคันเบ็ดอีก3 คันดังขึ้นพร้อมกัน
"ปลากินทีเดียวเลยเหรอเนี่ย แล้วจะเอายังไงทัน" พ่อผมอุทาน ไม่ช้าพ่อก็คว้าคันเบ็ดมาเย้อปลา ขณะนั้นผมได้ยินเสียงอีกหลายเสียงดังขึ้น อย่างกับว่ามันดังไปทั่วผืนน้ำสีดำ
"เห้ย ช่วยที"
"หนูอยากกลับบ้าน"
"คิดถึงบ้าน"
"พ่อจ๋าา แม่จ๋าา"
เสียงบางเสียงก็เป็นภาษาอะไรไม่รู้ที่ผมแปลไม่ออก แม้กระทั่งเสียงสวดมนต์
"นะโม ตัดสะ..."
และเสียงที่ผมคาดว่าจะเป็นเสียงจากข่าวฆาตกรรมที่น่าสยดสยองเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ที่ตำรวจจับผู้ร้ายได้ชื่อว่าบังชา และ
"ไอชามันฆ่ากู มันฆ่ากู !!!" เสียงนั้นดูโกรธเกรี้ยวและขื่นขมยิ่งกว่าเสียงใดๆ ที่เคยได้ยิน ทั้งผมและพ่อต่างมองตากัน ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หมุนรอกเพื่อกรอสายเอ็นเอาปลาขึ้นมาบนเรือเท่านั้น
ปลาที่ผมตกได้เมื่อโผล่พ้นน้ำขึ้นมาปรากฏว่าเป็นปลาเก๋า ไซส์กิโลกว่าๆ กำลังน่าอร่อย และที่มันชื่อเก๋าเพราะมันเก๋าจริงๆ ปลาเก๋าอยู่บนบกได้นานมาก ผมเคยเจอตัวหนึ่ง เอาขึ้นเรือมาแล้ว 2-3 ชั่วโมงก็ยังไม่ตาย และที่น่าพิศวงไปกว่านั้น เสียง "เฮือก" ที่ผมได้ยินในครั้งแรก มันดังมาจากปลาตัวนี้!! ในตอนแรกผมคิดว่าถุงลมของมันอาจพองตัวจนเกิดเสียงก็ได้ แต่ต่อมามันได้แสดงให้เห็นว่าถุงลมของมันยังปกติดี แต่เสียงที่พูดว่า
"เอา กู ขึ้น ปายย ด้วยย" ดังฟังถนัดขึ้นมาในทันที ขณะเดียวกัน พ่อเอาปลาอีกตัวขึ้นเรือมาได้ ปลาตัวนั้นเป็นปลาหางแข็งตัวเท่าแขนของผม มันก็มีเสียงออกมาเช่นกัน ปลาอีกหลายตัวที่พ่อผมเอาขึ้นมาบนเรือได้ ต่างส่งเสียงน่าหลอนหูจนผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งฟังเสียงที่ออกมาจากปลาเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีเสียงใดที่มีน้ำเสียงความสุขออกมาเลย มีแต่เสียงความเศร้าสร้อย หมดหวัง ขมขื่น อาลัย
"ปลาพวกนี้กินเถ้ากระดูกคนตายเข้าไปแน่ๆ อย่างที่เขาว่ากันว่าคืนเดือนดับ ปลาในปากร่องน้ำจะโหยหาชีวิตเมื่อชาติที่แล้ว แต่มาคิดๆ แล้วมันไม่น่าจะเป็นชาติที่แล้ว แต่วิญญาณที่มากับเถ้ากระดูก คงเข้าสิงปลามากนี้มากกว่า !! " ผมอึ้งไปชั่วขณะกับคำอธิบายของพ่อต่อสิ่งที่เห็น หูที่ได้ยิน กับสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ทั้งผืนน้ำโดยรอบยังดังระงมไปด้วยเสียงพูดที่มั่วไปหมด จนแยกไม่ออกว่าเสียงไหนพูดว่าอะไรบ้าง บนเรือก็ด้วยเช่นกัน ดูเหมือนเสียงเหล่านั้นจะพูดวนอยู่แต่ประโยคเดิมๆ เหมือนจิตใต้สำนึกครั้งสุดท้ายคนของเรา
ผ่านไปราว 2 ชั่วโมง เสียงเหล่านั่นเริ่มเงียบลง น้ำกำลังเริ่มขึ้น ยังมีเสียงพูดจากทะเลอยู่บ้าง แต่ฟังไม่ถนัดเสียแล้ว แต่เสียงที่ยังดังอยู่คือเสียงปลาเก๋าที่ตกขึ้นมาได้ที่พูดว่า
"เอา กู ขึ้น ปายย ด้วยย"
เราลืมปล่อยมันกลับไปในทะเลพร้อมกับปลาตัวอื่นที่ตกขึ้นมาได้ เมื่อจับที่ข้างเหงือกจะปล่อยมันกลับไปในทะเล เสียงนั้นยิ่งดังขึ้น ดังขึ้น จนกลายเป็นเสียงตะโกน จนผมลืมตัวด้วยความตกใจ เขวี้ยงมันกระทบกับรั้วสแตนเลสบนขอบเรือ มันกระแทกกับรั้วอย่างแรง เสียงนั้นเริ่มเบาลงๆ จนในที่สุดก็เงียบไป เหงื่อกไม่ขยับ ตัวแน่นิ่งไม่ดิ้น ซึ่งผมกับพ่อเห็นตรงกันว่ามันคงตายแล้ว ผมจึงถามพ่อว่า
"แล้วเสียงนั้นตายไปกับมันด้วยงั้นหรือ ?"
เสียงจากทะเลเริ่มน้อยเสียงลงจนแทบจะเงียบเป็นปกติ ราวเวลา 3 ทุ่มเกือบ4 ทุ่ม มีเรือขายน้ำมันแล่นเข้ามาเพื่อรอเข้าฝั่ง เราจึงได้เติมน้ำมันเรือให้เต็ม ผมกับพ่อไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนบนเรือลำนั้นฟัง เพราะกลัวเขาจะหาว่าบ้า อีกทั้งเราสองคนยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเหมือนตกอยู่ในภวังตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ราว5ทุ่ม น้ำขึ้นได้ระดับแล้ว เรือขายน้ำมันแล่นออกไปก่อน เรือของเราก็กำลังสตาร์ทเครื่องตามไปเพื่อเข้าฝั่ง ผมไปถอนสมอกลับมาบนเรือ พ่อเริ่มขับเรือออกไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นมีเสียงเรียกชื่อพ่อ และชื่อผมดังขึ้น
เสียงนั้นจับทิศทางได้ไม่ยากว่ามาจากไหน มันดังมาจากข้างเรือ เราสองคนก้มลงมองในผืนน้ำที่ดำมืด แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดของท้องน้ำในคืนเดือนดับ
ใช่ นั่นเป็นเสียงอาม่า และคงเป็นเสียงที่ดังมาจากปลาที่กินเถ้ากระดูกของอาม่าเข้าไป ...