ผมเป็นคุณพ่อคนหนึ่ง อายุ 35 ปี กลางวันไปทำงาน กลับบ้านก็เล่นกับลูก วันๆ ผ่านไปแบบปกติ ถ้ามีเวลาว่างก็เข้าเน็ตเล่นเฟส หรือไม่ก็ดู youtube เฉยๆ
ประมาณหกเดือนที่แล้ว ผมนั่งค้นหาวิธีการเรียนภาษาอังกฤษและฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อสอบ TOEIC เพราะอยากมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งงานเป็นหัวหน้าฝ่ายตลาด
ผมใช้เวลานั่งค้นหาวิธีการเรียนที่เหมาะสมกับตัวเอง มีวันหนึ่งพบกับโขษณาเรียนภาษาอังกฤษของ Eng Breaking ช่วงแรกผมไม่ค่อยชอบกด skip และ report ตลอดเพราะมันเยอะเกินไปและน่ารำคาญ เพราะบางทีมันขึ้นมาในตอนที่ผมกำลังดูหนังหรือฟังเพลง
สำหรับภาษาอังกฤษของผมก็แย่มากเพราะสมัยเรียนผมไมไม่ค่อยเรียนจริงจังสักวัน ส่วนหนึ่งเพราะผมติดเกม สอบให้ผ่านก็พอไม่ได้สนใจคะแนน ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผมนะครับบอกตรงๆ
ตอนนี้นั่งคิดกลับไป รู้สึกเสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนในช่วงเวลานั้น เพราะไม่คิดว่าภาษาอังกฤษจะสำคัญมากขนาดนี้ ตอนนี้ทั้งงานที่บริษัท และงานเสริมช่วยเมีย (เมียผมทำงานด้านการท่องเทียว) ต่างก็ใช้ภาษาอังกฤษทั้งนั้น เห็นเพื่อน ๆ ผมใครที่ตั้งใจเรียนและเก่งภาษาอังกฤษตอนนี้ก็มีรถขับไปหมดแล้ว ไม่ก็ทำงานเงินเดือนสูง ๆ เพราะได้ทำงานที่บริษัทต่างชาติที่มั่นคงและสวัสดิการดี
รู้ว่าช้าแต่ผมก็คิดว่ายังไม่สายเกินไป ผมเริ่มลงทุนกับการเรียน ตอนแรกเรียนออนไลน์ผ่าน Youtube และเว็บไซต์เรียนภาษาอังกฤษต่าง ๆ เรียนแบบฟรีเลยครับ แต่มันก็ยากจริงๆ เพราะมันต้องเรียนด้วยตัวเองและต้องจัดแพลนเอง แล้วผมก็มีพื้นฐานที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำให้วุ่นวายมากเรียนกับการเรียนแบบนี้ บางทีก็คิดท้อแท้ กลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่เมื่อถึงเป้าหมายว่าจะไปหัวหน้าฝ่ายการตลาดก็กลับมาฮึดอีกครั้ง แต่ก็ท้อแท้หมดกำลังใจสลับกันไปอยู่ดี เพราะมันยากจริง ๆ สำหรับผม
มีอยู่วันหนึ่งเกิดเบื่อขึ้นมา เลยมาเปิดเฟซเล่น แล้วก็ไปเห็นโฆษณาเรียนภาษาอังกฤษของ Eng Breaking อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมกดสั่งซื้อ เพราะเห็นราคาไม่แพง เลยอยากลองดูสักตั้ง เสี่ยงเป็นเสี่ยง
ตอนนั้นไม่ได้คิดลังเลอะไรแล้ว แม้จะมองว่าเวลาสำหรับการเรียนหกเดือนมันจะดูสั้นไป แต่ก็อยากจะลงทุนมัน เพราะโอกาสของตำแหน่งงานมันรอไม่ได้ และผมก็ต้องเร่งตัวเองให้เรียนให้ได้
Eng Breaking ให้หนังสือเล่มหนึ่ง และแผนการเรียนที่เป็นแผ่นกระดาษสีสดใสว่ามันเหมาะกับนักศึกษามากกว่า ผมเลยไม่ค่อยชอบ 5555 มาพร้อมบัญชีผู้ใช้เพื่อเข้าเรียนออนไลน์ เข้าสู่ระบบผ่านทางเมล์
ผมเริ่มเรียนทุกวันหลังจากที่ลูกไปนอนแล้ว มานั่งเรียนกสัก 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เรียนตาม checklist ในแผนการเรียนที่ทางคอร์สเรียนจัดมาให้
จริง ๆ ผมมีเวลาแค่เรียนตอนที่ลูกกับเมียไปนอนหมดแล้ว ถ้าไม่งั้นก็ต้องใช้เวลาเพื่อเล่นกับลูก เรียนตอนนั้นไม่ได้แน่เพราะลูกสาวผมมันซนมากไม่แพ้เด็กผู้ชายเลย ไม่รู้ว่ามันเหมือนใครเนอะ 55555
ตอนแรกเรียนไปก็เห็นมันไม่ค่อยยากอะไรเลย ไวยากรณ์ก็ง่ายๆ คำศัพท์ก็จำได้ง่าย บทสทนาก็ช้า ๆ พอฟังได้บ้าง ผมก็เรียนหลายบทในช่วงแรกอย่างรวดเร็วเพราะคำศัพท์และเนื้อหาก็เคยเรียนมาบ้างแล้วตอนที่เคยฝึกเรียนด้วยตัวเองก็เลยพอจะจำได้บ้าง
ความสามารถในการฟังของผมมันแย่จริง ๆ แต่สำหรับบทเรียนแรก ๆ นี้ผมสามารถฟังและจับใจความมันได้ตอนนั้นก็คิดว่า ถ้าง่าย ๆ แบบนี้ผมคงไม่ได้พัฒนาอะไร หรือได้อะไรมาเพิ่มเลย อาจเสียเงินเปล่าอีกแล้ว
แต่คิดว่ายังไงก็ซื้อมาแล้ว เรียนก็เรียน ไม่คิดมากอีกแล้ว ไม่เรียนก็ไม่ได้ ถอยไม่ได้อีกแล้ว ผมเลยเรียนต่อตาม checklist ที่มีในแผนการเรียน แล้วก็มีอึ้งนิดนึง ตอนที่เห็นว่าแบบเรียนมันเพิ่มความยากขึ้น บทฟังมีความเร็วเพิ่มขึ้น ผมก็ต้องตั้งใจฟังมากขึ้น เวลาที่เรียนก็เพิ่มขึ้นจากเดิมใช้เวลา 45 นาที ก็เพิ่มมาเป็นชั่วโมง ชั่วโมงครึ่ง ทำให้ในบางวันที่เรียนผมต้องบอกลูกกับเมียว่าขอเวลาไปเดินข้างนอก พร้อมหูฟังเพื่อฝึกฟัง เพื่อให้เวลากับตัวเองในการเรียน
ตามแผนการเรียนเรื่องบทฟัง ผมพยายามฟังและพูดตาม หัดออกเสียงตาม คำไหนที่ยาก ไม่เข้าใจก็จะเข้าแอป เข้าดูพจนานุกรมของออกซ์ฟอร์ด ให้ออกเสียงได้ถูกต้อง และเป้าหมายของผมคือการสอบ Toeic เลยเลือกบทฟังเป็นแบบสำเนียงอเมริกา
บทเรียนต่อไป คือฝึกเรื่องการสื่อสาร หัดโต้ตอบ ผ่านคำถามตอบที่มีไว้ให้ในไฟล์บทเรียน ตอนแรก ๆ รู้สึกอึดอัดเพราะฟังไม่ทัน ตอบไม่ทัน บางทีก็ไม่เข้าใจคำถาม ตอบไม่ตรงคำถาม และรู้สึกว่ามันยากแอบท้อในบางที ทำให้ผมต้องใช้เวลาเรียนเพิ่มขึ้นมาในตอนเช้า เพื่อฝึกทักษะการฟังและการตอบคำถาม ตอนแรกก็กังวลว่ามันจะเสียเวลาก่อนเข้างาน แต่เราก็จัดเวลาได้ทัน ใช้เวลาใรการฝึกฟังอยู่ที่ประมาณ 45 นาที
ผมจัดเวลาการเรียนสองรอบ รอบค่ำ จะฝึกฟังและพูดตามสองครั้งต่อบทเรียนหนึ่งบท บทไหนยากจะฝึกซ้ำถึงสามครั้ง รวมเวลาเรียนต่อวันอยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งต่อหนึ่งวัน บางวันที่รู้สึกง่วงเวลาไม่พอ ตอนทำงานก็จะโด๊ปกาแฟไปสักแก้ว ถึงจะทำงานต่อได้ แต่ก็ไม่อยากให้ร่างกายเหนื่อยและฝืนเกินไป ในสัปดาห์นึง ผมจะมีเวลาให้ตัวเองเพื่อใช้พักผ่อนให้เต็มที่ด้วยคือกลางสัปดาห์วันพุธ และวันอาิทตย์เป็นวันไว้นอนพัก
แต่เหมือนว่าการจัดสรรเวลาที่ผมคิดว่าดีแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น พอเริ่มไปสัปดาห์ที่ห้าผมก็เริ่มเบื่อและท้อแท้ เพราะทั้งเวลาไม่พอ งานก็เยอะ กลับบ้านก็ต้องดูแลลูกเมียอีก ผมต้องการเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้น และเริ่มเข้าใจว่าปัญหามาจากการที่ Eng Breaking ให้เนื้อหาการเรียนที่หนักเกินไป จึงได้เขียนอีเมลส่งไปยังสถาบันในเชิงตำหนิ ว่าไม่โอเคกับบทเรียน รู้สึกเสียเวลาและไม่คุ้มกับเงินที่จ่าย
ตอนที่ผมส่งอีเมลไป ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการแก้ปัญหาอะไร แต่ผิดคาดเพราะผมได้รับการติดต่อจากทางสถาบันในทันที ทางสถาบันรับฟังปัญหาของผมอย่างใจเย็นและให้คำปรึกษาแก่ผม กินเวลาประมาณเกือบชั่วโมง ให้คำแนะนำเรื่องแผนการเรียน และให้กำลังใจให้ผมเรียนต่อให้จบคอร์ส ซึ่งความจริงใจ ความใส่ใจของสถาบัน ทำให้ผมรู้สึกใจเย็นลงและเข้าใจแล้วว่าปัญหามันอยู่ที่ผมนั่นเอง ที่ใจร้อนและรีบจะเรียนให้จบในระยะเวลาที่สั้นเกินไป
ตามคำปรึกษาของทางสถาบัน ผมจะเริ่มใหม่กับการทดลองทำข้อสอบฟัง Toeic ผมค้นหาในเน็ตข้อสอบฟังและสอบฟรีที่ toeic4u.com
ผลการสอบทำให้ผมแปลกใจมาก ๆ เพราะก่อนหน้านั้นผมก็เคยทำได้ 25/100 แต่คราวนี้ผลออกมาดีกว่าที่คิด ผมทำคะแนนเกือบครึ่งอยู่ที่ 48 เต็ม 100 มีบางคำถามที่ยาวไป ผมฟังตามไม่ทันแต่ก็ลองทบทวนตามคำตอบก็ตอบได้บ้าง
ทักษะการฟังของผมดีขึ้นจริง ๆ โดยที่ผมไม่รู้ตัว แล้วมานึกถึงคอร์สเรียนที่ซื้อเลยผมพยายามจะเรียนต่อตามแผนเรียนและตามคำแนะนำจากสถาบัน เลยลองจัดเวลาเรียนภายในหนึ่งวันให้ตัวเองแบ่งเป็นหลายช่วงเวลาเรียน ว่างตอนไหนก็เรียนตอนนั้น ผมเรียนหนึ่งบทในสองวัน จากที่เคยเรียนวันละบทเหมือนก่อนหน้านั้น และใช้เวลาเพื่อฟังละเอียดมากขึ้น ฟังหลายรอบให้คุ้นหูก่อนที่จะฝึกการโต้ตอบ
เพราะเป้าหมายของเราคือฝึกทักษะการฟังเพื่อสอบ TOEIC เลยยังไม่เน้นเรื่องโต้ตอบมากเท่าไหร่ แต่ว่าหลังๆ ผมก็เข้าใจว่าเรื่องฝึกทักษะการโต้ตอบก็สำคัญไม่แพ้กันเพราะมันจะช่วยให้ผมได้คะแนนสูงได้
ถึงตอนนี้ก็สี่เดือนครึ่งแล้ว ผมเรียนตามแผนของ Eng Breaking ได้ 80% ผมฝึกทำข้อสอบ TOEIC ครั้งล่าสุด และพบว่าคะแนนดีขึ้น เข้าใจมากว่ากว่า 70% ซึ่งผมโคตรดีใจเลย และภูมิใจที่ตัวเองสามารถทำได้
บทสดสอบต่อไปที่ผมจะต้องทำคือข้อสอบ TOEIC ที่จัดมาทดสอบในบริษัท ตอนนี้ผมมั่นใจมาก รอวันสอบให้เข้ามาเร็วๆ เพราะมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะทักษะของผมดีขึ้นเยอะเลย
ก่อนที่จะรู้จักกับ Eng Breaking ผมไม่เคยเชื่อหรือไว้ใจกับการเรียนออนไลน์ที่ไหนเลย ตอนที่กำลังเรียนกับ Eng Breaking ก็ยังมีความคิดแบบนี้ จนได้ผ่านไปสักพักถึงได้รู้สึกวางใจและเชื่อใจมากขึ้น
ผมต้องยอมรับว่า Eng Breaking เป็นคอร์สเรียนที่ช่วยผมผ่านความกลัวในการเรียนภาษาอังกฤษจริงๆ เหมือนชื่อของมันคือ Eng-ภาษาอังกฤษ และ Breaking-การแยก การทำให้แตก หมายถึงทำให้เราพิชิตความกลัวเรื่องภาษาได้นั่นเองครั
แม้ตอนนี้ผมสื่อสารยังไม่คล่องเท่าไหร่เหมือนโฆษณาของทางสถาบัน แต่อย่างน้อยตอนไดเคุยกับต่างชาติผมก็ไม่กลัวเพราะพอรู้พอเข้าใจว่าเขาพูดอะไร ถ้าฟังไม่ทันก็กล้าที่บอกให้เขาพูดช้าลงเพื่อให้ผมจับใจความและตอบคำถามได้ถูกเหมือนวิธีการเรียนบทฟังของ Eng Breaking ที่ผมเรียนมา
เรื่องการออกเสียงก็สำคัญด้วย ผมก็ฝึกเลียนแบบตามบทฟังทุกวันเพื่อเรียนตามสำเนียงต่างชาติ ทักษะการฟังและพูดต้องฝึกไปพร้อมกันถึงจะได้ผล และอย่าเน้นไวยากรณ์มากไปเพราะเมื่อพูดผมก็พูดผิดเยอะเหมือนกันแต่ผมยังมีความมั่นใจในตัวเอง
ช่วงหลังๆ นี้เห็นเพื่อนที่บริษัทก็เริ่มคุยกันเรื่องคอร์สเรียนของ Eng Breaking ผมว่าเขาก็กำลังหาวิธีการเรียนเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ แต่ก็บ้างคนบอกว่าทางสถาบันแค่หลอกลวงเพื่อเอาเงิน จะเก่งได้ไงกับการเรียนคนเดียวแบบนั้น
ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะบอกว่ามันจริงก็ถูก จะบอกว่าไม่จริงมันก็ใช่เหมือนกัน
เพราะผมทำงานในฝ่านตลาดเลยเข้าใจเรื่องหนึ่งว่าเมื่อเราทำโฆษณาให้สินค้า ถ้าเราไม่พูดเกี่ยวกับข้อดีของสินค้าตัวนั้น หรือก็พูดเกินไปนิดนึงให้น่าเชื่อถือเราจะหาลูกค้ามาลองใช้สินค้าของเราอย่างไรได้ ถ้าทำโฆษณาแต่ไม่ทำให้ลูกค้าเห็นโฆษณานั้นบ่อย ลูกค้าจะจดจำสินค้าของเราไหมครับ ถ้าลูกค้าไม่เห็น ไม่จำ ทางคนขายจะแนะนำสินค้าได้อย่างไร จะขายได้ไง กำไรมาจากไหน นี่แหละครับเหตุผล
เช่นผมทำตลาด สินค้าคือน้ำหอมสำหรับผู้ชาย ในวิดีโอแน่นอนว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งใช้น้ำหอมของทางผมแล้วมีสาว ๆ ตามเยอะเป็นแถว ความจริงเราก็รู้กันดีว่าผลลัพธ์ไม่ถึงขนาดนั้นใช่ไหมครับ ผู้ชายไม่หล่อหน้าตาไม่ดีจะมีสาวตามไหม 55555
หลายคนว่า Eng Breaking หลอกลวงเพราะ marketing เกินไป แต่ก็ต้องมองในมุมของบริษัท ว่าทางสถาบันก็อยากจะสร้าง Branding ของตัวเอง ให้เข้าตาลูกค้า ทำไมหลายคนไม่มองเรื่องตัวสินค้า แต่กลับสนใจว่า Eng Breaking หลอกลวงหรือไม่หลอกลวง จริงหรือไม่จริง
ส่วนสำหรับผมเองผมก็ได้อะไรสักอย่างจากคอร์สเรียนนั้นจริง ไม่ได้พูดเกินไปแต่ผมมั่นใจในสิ่งที่ตัวผมเองทำได้และผมมาเพื่อแสดงความคิดเห็นของตัวเอง อาจจะมีคนเชื่อ อาจจะมีคนยังไม่เชื่อ เรื่องนั้นเราต้องทดลองนะครับผม
การเรียนออนไลน์จะสำเร็จหรือไม่ส่วนใหญ่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามของผู้เรียนเอง ถ้าขยันจะเห็นผลจริง ถ้าขี้เกียจจะทำอะไรก็ไม่ได้ผล อันนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าผมไม่อดทนเรียนจนจบผมก็จะว่าคอร์สเรียนนี้มันหลอกลวง
ไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้ ถ้าคุณเองไม่มีความคิดว่าจะเดินก้าวหน้าต่อไป
คุณว่าอย่างไรบ้างครับ มาแลกเปลี่ยนกันครับ
Eng Breaking หลอกลวง!!!! ความจริงคืออะไร???
ประมาณหกเดือนที่แล้ว ผมนั่งค้นหาวิธีการเรียนภาษาอังกฤษและฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อสอบ TOEIC เพราะอยากมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งงานเป็นหัวหน้าฝ่ายตลาด
ผมใช้เวลานั่งค้นหาวิธีการเรียนที่เหมาะสมกับตัวเอง มีวันหนึ่งพบกับโขษณาเรียนภาษาอังกฤษของ Eng Breaking ช่วงแรกผมไม่ค่อยชอบกด skip และ report ตลอดเพราะมันเยอะเกินไปและน่ารำคาญ เพราะบางทีมันขึ้นมาในตอนที่ผมกำลังดูหนังหรือฟังเพลง
สำหรับภาษาอังกฤษของผมก็แย่มากเพราะสมัยเรียนผมไมไม่ค่อยเรียนจริงจังสักวัน ส่วนหนึ่งเพราะผมติดเกม สอบให้ผ่านก็พอไม่ได้สนใจคะแนน ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผมนะครับบอกตรงๆ
ตอนนี้นั่งคิดกลับไป รู้สึกเสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนในช่วงเวลานั้น เพราะไม่คิดว่าภาษาอังกฤษจะสำคัญมากขนาดนี้ ตอนนี้ทั้งงานที่บริษัท และงานเสริมช่วยเมีย (เมียผมทำงานด้านการท่องเทียว) ต่างก็ใช้ภาษาอังกฤษทั้งนั้น เห็นเพื่อน ๆ ผมใครที่ตั้งใจเรียนและเก่งภาษาอังกฤษตอนนี้ก็มีรถขับไปหมดแล้ว ไม่ก็ทำงานเงินเดือนสูง ๆ เพราะได้ทำงานที่บริษัทต่างชาติที่มั่นคงและสวัสดิการดี
รู้ว่าช้าแต่ผมก็คิดว่ายังไม่สายเกินไป ผมเริ่มลงทุนกับการเรียน ตอนแรกเรียนออนไลน์ผ่าน Youtube และเว็บไซต์เรียนภาษาอังกฤษต่าง ๆ เรียนแบบฟรีเลยครับ แต่มันก็ยากจริงๆ เพราะมันต้องเรียนด้วยตัวเองและต้องจัดแพลนเอง แล้วผมก็มีพื้นฐานที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำให้วุ่นวายมากเรียนกับการเรียนแบบนี้ บางทีก็คิดท้อแท้ กลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่เมื่อถึงเป้าหมายว่าจะไปหัวหน้าฝ่ายการตลาดก็กลับมาฮึดอีกครั้ง แต่ก็ท้อแท้หมดกำลังใจสลับกันไปอยู่ดี เพราะมันยากจริง ๆ สำหรับผม
มีอยู่วันหนึ่งเกิดเบื่อขึ้นมา เลยมาเปิดเฟซเล่น แล้วก็ไปเห็นโฆษณาเรียนภาษาอังกฤษของ Eng Breaking อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมกดสั่งซื้อ เพราะเห็นราคาไม่แพง เลยอยากลองดูสักตั้ง เสี่ยงเป็นเสี่ยง
ตอนนั้นไม่ได้คิดลังเลอะไรแล้ว แม้จะมองว่าเวลาสำหรับการเรียนหกเดือนมันจะดูสั้นไป แต่ก็อยากจะลงทุนมัน เพราะโอกาสของตำแหน่งงานมันรอไม่ได้ และผมก็ต้องเร่งตัวเองให้เรียนให้ได้
Eng Breaking ให้หนังสือเล่มหนึ่ง และแผนการเรียนที่เป็นแผ่นกระดาษสีสดใสว่ามันเหมาะกับนักศึกษามากกว่า ผมเลยไม่ค่อยชอบ 5555 มาพร้อมบัญชีผู้ใช้เพื่อเข้าเรียนออนไลน์ เข้าสู่ระบบผ่านทางเมล์
ผมเริ่มเรียนทุกวันหลังจากที่ลูกไปนอนแล้ว มานั่งเรียนกสัก 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เรียนตาม checklist ในแผนการเรียนที่ทางคอร์สเรียนจัดมาให้
จริง ๆ ผมมีเวลาแค่เรียนตอนที่ลูกกับเมียไปนอนหมดแล้ว ถ้าไม่งั้นก็ต้องใช้เวลาเพื่อเล่นกับลูก เรียนตอนนั้นไม่ได้แน่เพราะลูกสาวผมมันซนมากไม่แพ้เด็กผู้ชายเลย ไม่รู้ว่ามันเหมือนใครเนอะ 55555
ตอนแรกเรียนไปก็เห็นมันไม่ค่อยยากอะไรเลย ไวยากรณ์ก็ง่ายๆ คำศัพท์ก็จำได้ง่าย บทสทนาก็ช้า ๆ พอฟังได้บ้าง ผมก็เรียนหลายบทในช่วงแรกอย่างรวดเร็วเพราะคำศัพท์และเนื้อหาก็เคยเรียนมาบ้างแล้วตอนที่เคยฝึกเรียนด้วยตัวเองก็เลยพอจะจำได้บ้าง
ความสามารถในการฟังของผมมันแย่จริง ๆ แต่สำหรับบทเรียนแรก ๆ นี้ผมสามารถฟังและจับใจความมันได้ตอนนั้นก็คิดว่า ถ้าง่าย ๆ แบบนี้ผมคงไม่ได้พัฒนาอะไร หรือได้อะไรมาเพิ่มเลย อาจเสียเงินเปล่าอีกแล้ว
แต่คิดว่ายังไงก็ซื้อมาแล้ว เรียนก็เรียน ไม่คิดมากอีกแล้ว ไม่เรียนก็ไม่ได้ ถอยไม่ได้อีกแล้ว ผมเลยเรียนต่อตาม checklist ที่มีในแผนการเรียน แล้วก็มีอึ้งนิดนึง ตอนที่เห็นว่าแบบเรียนมันเพิ่มความยากขึ้น บทฟังมีความเร็วเพิ่มขึ้น ผมก็ต้องตั้งใจฟังมากขึ้น เวลาที่เรียนก็เพิ่มขึ้นจากเดิมใช้เวลา 45 นาที ก็เพิ่มมาเป็นชั่วโมง ชั่วโมงครึ่ง ทำให้ในบางวันที่เรียนผมต้องบอกลูกกับเมียว่าขอเวลาไปเดินข้างนอก พร้อมหูฟังเพื่อฝึกฟัง เพื่อให้เวลากับตัวเองในการเรียน
ตามแผนการเรียนเรื่องบทฟัง ผมพยายามฟังและพูดตาม หัดออกเสียงตาม คำไหนที่ยาก ไม่เข้าใจก็จะเข้าแอป เข้าดูพจนานุกรมของออกซ์ฟอร์ด ให้ออกเสียงได้ถูกต้อง และเป้าหมายของผมคือการสอบ Toeic เลยเลือกบทฟังเป็นแบบสำเนียงอเมริกา
บทเรียนต่อไป คือฝึกเรื่องการสื่อสาร หัดโต้ตอบ ผ่านคำถามตอบที่มีไว้ให้ในไฟล์บทเรียน ตอนแรก ๆ รู้สึกอึดอัดเพราะฟังไม่ทัน ตอบไม่ทัน บางทีก็ไม่เข้าใจคำถาม ตอบไม่ตรงคำถาม และรู้สึกว่ามันยากแอบท้อในบางที ทำให้ผมต้องใช้เวลาเรียนเพิ่มขึ้นมาในตอนเช้า เพื่อฝึกทักษะการฟังและการตอบคำถาม ตอนแรกก็กังวลว่ามันจะเสียเวลาก่อนเข้างาน แต่เราก็จัดเวลาได้ทัน ใช้เวลาใรการฝึกฟังอยู่ที่ประมาณ 45 นาที
ผมจัดเวลาการเรียนสองรอบ รอบค่ำ จะฝึกฟังและพูดตามสองครั้งต่อบทเรียนหนึ่งบท บทไหนยากจะฝึกซ้ำถึงสามครั้ง รวมเวลาเรียนต่อวันอยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งต่อหนึ่งวัน บางวันที่รู้สึกง่วงเวลาไม่พอ ตอนทำงานก็จะโด๊ปกาแฟไปสักแก้ว ถึงจะทำงานต่อได้ แต่ก็ไม่อยากให้ร่างกายเหนื่อยและฝืนเกินไป ในสัปดาห์นึง ผมจะมีเวลาให้ตัวเองเพื่อใช้พักผ่อนให้เต็มที่ด้วยคือกลางสัปดาห์วันพุธ และวันอาิทตย์เป็นวันไว้นอนพัก
แต่เหมือนว่าการจัดสรรเวลาที่ผมคิดว่าดีแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น พอเริ่มไปสัปดาห์ที่ห้าผมก็เริ่มเบื่อและท้อแท้ เพราะทั้งเวลาไม่พอ งานก็เยอะ กลับบ้านก็ต้องดูแลลูกเมียอีก ผมต้องการเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้น และเริ่มเข้าใจว่าปัญหามาจากการที่ Eng Breaking ให้เนื้อหาการเรียนที่หนักเกินไป จึงได้เขียนอีเมลส่งไปยังสถาบันในเชิงตำหนิ ว่าไม่โอเคกับบทเรียน รู้สึกเสียเวลาและไม่คุ้มกับเงินที่จ่าย
ตอนที่ผมส่งอีเมลไป ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการแก้ปัญหาอะไร แต่ผิดคาดเพราะผมได้รับการติดต่อจากทางสถาบันในทันที ทางสถาบันรับฟังปัญหาของผมอย่างใจเย็นและให้คำปรึกษาแก่ผม กินเวลาประมาณเกือบชั่วโมง ให้คำแนะนำเรื่องแผนการเรียน และให้กำลังใจให้ผมเรียนต่อให้จบคอร์ส ซึ่งความจริงใจ ความใส่ใจของสถาบัน ทำให้ผมรู้สึกใจเย็นลงและเข้าใจแล้วว่าปัญหามันอยู่ที่ผมนั่นเอง ที่ใจร้อนและรีบจะเรียนให้จบในระยะเวลาที่สั้นเกินไป
ตามคำปรึกษาของทางสถาบัน ผมจะเริ่มใหม่กับการทดลองทำข้อสอบฟัง Toeic ผมค้นหาในเน็ตข้อสอบฟังและสอบฟรีที่ toeic4u.com
ผลการสอบทำให้ผมแปลกใจมาก ๆ เพราะก่อนหน้านั้นผมก็เคยทำได้ 25/100 แต่คราวนี้ผลออกมาดีกว่าที่คิด ผมทำคะแนนเกือบครึ่งอยู่ที่ 48 เต็ม 100 มีบางคำถามที่ยาวไป ผมฟังตามไม่ทันแต่ก็ลองทบทวนตามคำตอบก็ตอบได้บ้าง
ทักษะการฟังของผมดีขึ้นจริง ๆ โดยที่ผมไม่รู้ตัว แล้วมานึกถึงคอร์สเรียนที่ซื้อเลยผมพยายามจะเรียนต่อตามแผนเรียนและตามคำแนะนำจากสถาบัน เลยลองจัดเวลาเรียนภายในหนึ่งวันให้ตัวเองแบ่งเป็นหลายช่วงเวลาเรียน ว่างตอนไหนก็เรียนตอนนั้น ผมเรียนหนึ่งบทในสองวัน จากที่เคยเรียนวันละบทเหมือนก่อนหน้านั้น และใช้เวลาเพื่อฟังละเอียดมากขึ้น ฟังหลายรอบให้คุ้นหูก่อนที่จะฝึกการโต้ตอบ
เพราะเป้าหมายของเราคือฝึกทักษะการฟังเพื่อสอบ TOEIC เลยยังไม่เน้นเรื่องโต้ตอบมากเท่าไหร่ แต่ว่าหลังๆ ผมก็เข้าใจว่าเรื่องฝึกทักษะการโต้ตอบก็สำคัญไม่แพ้กันเพราะมันจะช่วยให้ผมได้คะแนนสูงได้
ถึงตอนนี้ก็สี่เดือนครึ่งแล้ว ผมเรียนตามแผนของ Eng Breaking ได้ 80% ผมฝึกทำข้อสอบ TOEIC ครั้งล่าสุด และพบว่าคะแนนดีขึ้น เข้าใจมากว่ากว่า 70% ซึ่งผมโคตรดีใจเลย และภูมิใจที่ตัวเองสามารถทำได้
บทสดสอบต่อไปที่ผมจะต้องทำคือข้อสอบ TOEIC ที่จัดมาทดสอบในบริษัท ตอนนี้ผมมั่นใจมาก รอวันสอบให้เข้ามาเร็วๆ เพราะมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะทักษะของผมดีขึ้นเยอะเลย
ก่อนที่จะรู้จักกับ Eng Breaking ผมไม่เคยเชื่อหรือไว้ใจกับการเรียนออนไลน์ที่ไหนเลย ตอนที่กำลังเรียนกับ Eng Breaking ก็ยังมีความคิดแบบนี้ จนได้ผ่านไปสักพักถึงได้รู้สึกวางใจและเชื่อใจมากขึ้น
ผมต้องยอมรับว่า Eng Breaking เป็นคอร์สเรียนที่ช่วยผมผ่านความกลัวในการเรียนภาษาอังกฤษจริงๆ เหมือนชื่อของมันคือ Eng-ภาษาอังกฤษ และ Breaking-การแยก การทำให้แตก หมายถึงทำให้เราพิชิตความกลัวเรื่องภาษาได้นั่นเองครั
แม้ตอนนี้ผมสื่อสารยังไม่คล่องเท่าไหร่เหมือนโฆษณาของทางสถาบัน แต่อย่างน้อยตอนไดเคุยกับต่างชาติผมก็ไม่กลัวเพราะพอรู้พอเข้าใจว่าเขาพูดอะไร ถ้าฟังไม่ทันก็กล้าที่บอกให้เขาพูดช้าลงเพื่อให้ผมจับใจความและตอบคำถามได้ถูกเหมือนวิธีการเรียนบทฟังของ Eng Breaking ที่ผมเรียนมา
เรื่องการออกเสียงก็สำคัญด้วย ผมก็ฝึกเลียนแบบตามบทฟังทุกวันเพื่อเรียนตามสำเนียงต่างชาติ ทักษะการฟังและพูดต้องฝึกไปพร้อมกันถึงจะได้ผล และอย่าเน้นไวยากรณ์มากไปเพราะเมื่อพูดผมก็พูดผิดเยอะเหมือนกันแต่ผมยังมีความมั่นใจในตัวเอง
ช่วงหลังๆ นี้เห็นเพื่อนที่บริษัทก็เริ่มคุยกันเรื่องคอร์สเรียนของ Eng Breaking ผมว่าเขาก็กำลังหาวิธีการเรียนเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ แต่ก็บ้างคนบอกว่าทางสถาบันแค่หลอกลวงเพื่อเอาเงิน จะเก่งได้ไงกับการเรียนคนเดียวแบบนั้น
ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะบอกว่ามันจริงก็ถูก จะบอกว่าไม่จริงมันก็ใช่เหมือนกัน
เพราะผมทำงานในฝ่านตลาดเลยเข้าใจเรื่องหนึ่งว่าเมื่อเราทำโฆษณาให้สินค้า ถ้าเราไม่พูดเกี่ยวกับข้อดีของสินค้าตัวนั้น หรือก็พูดเกินไปนิดนึงให้น่าเชื่อถือเราจะหาลูกค้ามาลองใช้สินค้าของเราอย่างไรได้ ถ้าทำโฆษณาแต่ไม่ทำให้ลูกค้าเห็นโฆษณานั้นบ่อย ลูกค้าจะจดจำสินค้าของเราไหมครับ ถ้าลูกค้าไม่เห็น ไม่จำ ทางคนขายจะแนะนำสินค้าได้อย่างไร จะขายได้ไง กำไรมาจากไหน นี่แหละครับเหตุผล
เช่นผมทำตลาด สินค้าคือน้ำหอมสำหรับผู้ชาย ในวิดีโอแน่นอนว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งใช้น้ำหอมของทางผมแล้วมีสาว ๆ ตามเยอะเป็นแถว ความจริงเราก็รู้กันดีว่าผลลัพธ์ไม่ถึงขนาดนั้นใช่ไหมครับ ผู้ชายไม่หล่อหน้าตาไม่ดีจะมีสาวตามไหม 55555
หลายคนว่า Eng Breaking หลอกลวงเพราะ marketing เกินไป แต่ก็ต้องมองในมุมของบริษัท ว่าทางสถาบันก็อยากจะสร้าง Branding ของตัวเอง ให้เข้าตาลูกค้า ทำไมหลายคนไม่มองเรื่องตัวสินค้า แต่กลับสนใจว่า Eng Breaking หลอกลวงหรือไม่หลอกลวง จริงหรือไม่จริง
ส่วนสำหรับผมเองผมก็ได้อะไรสักอย่างจากคอร์สเรียนนั้นจริง ไม่ได้พูดเกินไปแต่ผมมั่นใจในสิ่งที่ตัวผมเองทำได้และผมมาเพื่อแสดงความคิดเห็นของตัวเอง อาจจะมีคนเชื่อ อาจจะมีคนยังไม่เชื่อ เรื่องนั้นเราต้องทดลองนะครับผม
การเรียนออนไลน์จะสำเร็จหรือไม่ส่วนใหญ่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามของผู้เรียนเอง ถ้าขยันจะเห็นผลจริง ถ้าขี้เกียจจะทำอะไรก็ไม่ได้ผล อันนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าผมไม่อดทนเรียนจนจบผมก็จะว่าคอร์สเรียนนี้มันหลอกลวง
ไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้ ถ้าคุณเองไม่มีความคิดว่าจะเดินก้าวหน้าต่อไป
คุณว่าอย่างไรบ้างครับ มาแลกเปลี่ยนกันครับ