(มีการเปิดเผยเนื้อหาช่วงท้ายบทความ หลังข้อความแจ้งเตือน ใครยังไม่ได้ดูให้หยุดอ่านแค่นั้นครับ)
.
ในฐานะที่ไม่ได้เป็นแฟนหนังทั้ง Godzilla และ Kong ในเวอร์ชั่นที่ทาง Legendary Studio หยิบมาสร้าง (ผลลัพธ์คือ พอสนุกไปกับ Godzilla ปี 2014 และ Kong: Skull Island แต่เกือบหลับกับ Godzilla: King of the monsters) การเข้าไปดู Godzilla vs. Kong จึงไม่ได้มีความคาดหวังใดๆ
.
ในภาคใหม่นี้ ผู้กำกับ Adam Wingard รู้ดีว่าอะไรคือจุดแข็งที่ควรนำเสนอ อะไรคือจุดอ่อน และที่สำคัญก็คือ อะไรคือสิ่งที่ตรงกับชื่อเรื่อง
ด้วยความที่หนังขายเรื่องราวการปะทะของ Godzilla กับ Kong หนังจึงจัดให้ 2 fight ใหญ่ๆ ยาวๆ สมกับชื่อเรื่อง โดยเริ่มตั้งแต่กลางเรื่องกันเลย
ส่วนจุดอ่อนของหนังตระกูลนี้ก็คือเรื่องราวในส่วนของตัวละครมนุษย์ ที่ถ้ามีมากไปมันก็ยิ่งเพิ่มความไม่สมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น (มีหนัง Godzilla เรื่องเดียวที่เคยดู ที่ทำตัวละครฝ่ายมนุษย์ได้อย่างสมเหตุสมผลก็คือ Shin Godzilla)
เรื่องราวในส่วนของมนุษย์ในหนังจึงมีหน้าที่เป็นแค่เครื่องมือนำพาเรื่องราวไปสู่การปะทะกันของ Godzilla และ Kong รวมถึงมีหน้าที่ในการอธิบายปูมหลังและที่มาที่ไปพอให้ผู้ชมเข้าใจโดยคร่าวๆ เรื่องราวส่วนของมนุษย์จึงดูแบนราบไร้มิติ
.
.
.
แต่ถึงขนาดไม่เน้นตัวละครฝั่งมนุษย์แล้ว หนังก็ยังไม่วายใส่ตัวละครที่ไม่จำเป็นเข้ามาอยู่ดี อย่างบทลูกสาวของเจ้าของบริษัท Apex ที่สามารถตัดออกไปเลยก็ได้
การมีอยู่ของตัวละครนี้ทำให้หนังดูแย่ลงเพราะการยัดเยียดบทตัวร้ายไร้มิติให้อย่างไม่จำเป็น
.
อีกเรื่องที่คิดว่ายังทำได้ไม่ดีก็คือการโหมประโคมดนตรีประกอบขณะทั้งสองปะทะกันจนเกินพอดี นี่ถ้าผู้ชมได้ยินเสียงการปะทะกัน เสียงบ้านเรือนพังทลาย หรือ sound effect การระเบิด เสียงปืนใหญ่ มันน่าจะดูน่ากลัวและน่าตื่นเต้นมากกว่าเสียง score ของหนัง
.
.
.
สุดท้ายหนังก็ยังมาในมุขแบบเดิมๆของหนังสัตว์ประหลาดปะทะกัน ที่ต้องหาวิธีคลี่คลายแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ให้กับเหล่าแฟนคลับของทั้งคู่
.
.
.
โดยรวมแล้วหนังดูได้เพลิดเพลินดี หนังขายจุดที่ต้องการขายได้อย่างชัดเจน และให้มาเต็มๆแบบไม่โกงแฟนๆ
แต่หนังยังมีจุดบอดมากมายแม้เห็นได้ว่าพยายามจะกำจัดมันแล้วอย่างความไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ
แถมหนังยังเล่นง่ายกับการคลี่คลายสถานการณ์ที่ดูไร้ตรรกะเกินไป
.
.
.
นี่คือหนังที่ตัวละครอันยิ่งใหญ่ (ทั้งชื่อเสียงและขนาดตัว) ได้มาปะทะกัน การดูจอเล็กๆ รายละเอียดต่างๆจะกลายเป็นของเล็กๆไปในทันที
แม้หนังจะไม่ได้ดีเยี่ยมมากมาย แต่นี่คือหนังที่ควรต้องดูในโรงหนัง (หรือถ้าบ้านใครมีจอขนาดใหญ่พอก็ไม่ว่ากัน)
[CR] <<<วิเคราะห์-วิจารณ์ *** Godzilla vs. Kong *** ธรรมชาติ vs. มนุษย์ >>>(เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)
.
ในฐานะที่ไม่ได้เป็นแฟนหนังทั้ง Godzilla และ Kong ในเวอร์ชั่นที่ทาง Legendary Studio หยิบมาสร้าง (ผลลัพธ์คือ พอสนุกไปกับ Godzilla ปี 2014 และ Kong: Skull Island แต่เกือบหลับกับ Godzilla: King of the monsters) การเข้าไปดู Godzilla vs. Kong จึงไม่ได้มีความคาดหวังใดๆ
.
ในภาคใหม่นี้ ผู้กำกับ Adam Wingard รู้ดีว่าอะไรคือจุดแข็งที่ควรนำเสนอ อะไรคือจุดอ่อน และที่สำคัญก็คือ อะไรคือสิ่งที่ตรงกับชื่อเรื่อง
ด้วยความที่หนังขายเรื่องราวการปะทะของ Godzilla กับ Kong หนังจึงจัดให้ 2 fight ใหญ่ๆ ยาวๆ สมกับชื่อเรื่อง โดยเริ่มตั้งแต่กลางเรื่องกันเลย
ส่วนจุดอ่อนของหนังตระกูลนี้ก็คือเรื่องราวในส่วนของตัวละครมนุษย์ ที่ถ้ามีมากไปมันก็ยิ่งเพิ่มความไม่สมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น (มีหนัง Godzilla เรื่องเดียวที่เคยดู ที่ทำตัวละครฝ่ายมนุษย์ได้อย่างสมเหตุสมผลก็คือ Shin Godzilla)
เรื่องราวในส่วนของมนุษย์ในหนังจึงมีหน้าที่เป็นแค่เครื่องมือนำพาเรื่องราวไปสู่การปะทะกันของ Godzilla และ Kong รวมถึงมีหน้าที่ในการอธิบายปูมหลังและที่มาที่ไปพอให้ผู้ชมเข้าใจโดยคร่าวๆ เรื่องราวส่วนของมนุษย์จึงดูแบนราบไร้มิติ
.
.
.
แต่ถึงขนาดไม่เน้นตัวละครฝั่งมนุษย์แล้ว หนังก็ยังไม่วายใส่ตัวละครที่ไม่จำเป็นเข้ามาอยู่ดี อย่างบทลูกสาวของเจ้าของบริษัท Apex ที่สามารถตัดออกไปเลยก็ได้
การมีอยู่ของตัวละครนี้ทำให้หนังดูแย่ลงเพราะการยัดเยียดบทตัวร้ายไร้มิติให้อย่างไม่จำเป็น
.
อีกเรื่องที่คิดว่ายังทำได้ไม่ดีก็คือการโหมประโคมดนตรีประกอบขณะทั้งสองปะทะกันจนเกินพอดี นี่ถ้าผู้ชมได้ยินเสียงการปะทะกัน เสียงบ้านเรือนพังทลาย หรือ sound effect การระเบิด เสียงปืนใหญ่ มันน่าจะดูน่ากลัวและน่าตื่นเต้นมากกว่าเสียง score ของหนัง
.
.
.
สุดท้ายหนังก็ยังมาในมุขแบบเดิมๆของหนังสัตว์ประหลาดปะทะกัน ที่ต้องหาวิธีคลี่คลายแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ให้กับเหล่าแฟนคลับของทั้งคู่
.
.
.
โดยรวมแล้วหนังดูได้เพลิดเพลินดี หนังขายจุดที่ต้องการขายได้อย่างชัดเจน และให้มาเต็มๆแบบไม่โกงแฟนๆ
แต่หนังยังมีจุดบอดมากมายแม้เห็นได้ว่าพยายามจะกำจัดมันแล้วอย่างความไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ
แถมหนังยังเล่นง่ายกับการคลี่คลายสถานการณ์ที่ดูไร้ตรรกะเกินไป
.
.
.
นี่คือหนังที่ตัวละครอันยิ่งใหญ่ (ทั้งชื่อเสียงและขนาดตัว) ได้มาปะทะกัน การดูจอเล็กๆ รายละเอียดต่างๆจะกลายเป็นของเล็กๆไปในทันที
แม้หนังจะไม่ได้ดีเยี่ยมมากมาย แต่นี่คือหนังที่ควรต้องดูในโรงหนัง (หรือถ้าบ้านใครมีจอขนาดใหญ่พอก็ไม่ว่ากัน)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้