#โควิททำพิษ จากมนุษย์เงินเดือน สู่พ่อค้า
วันแรกที่เริ่มขับรถพ่วงข้างขายลอดช่องสิงค์โปร์และเฉาก๋วยนมสด
ขับรถพ่วงข้างเร่ขายวันแรกเป็นวันเลือกตั้งตรงกับวันอาทิตย์ ที่ 28 มีนาคม 64
แฟนหยุดจึงมาช่วยขายและเป็นคนขี่รถพ่วง เพราะเราขี่ไม่กระชับ เพิ่งหัดขี่ได้ 2 - 3 วัน วันแรก ขายได้เพราะพี่ป้าน้าอา ช่วยอุดหนุน ยอดขายน่าพอใจมาก ได้ 1,510 บาท
วันที่ 2 เป็นวันที่ต้องขายคนเดียว ตื่นมา 6 โมงเช้า ไปตลาดซื้อขนุน กลับมาลวกเส้นลอดช่อง เตรียมของขาย ใช้เวลา เกือบ 2 ชั่วโมง วันนี้ ฝนตกแต่เช้า ใจคอไม่ดี เพราะดูกรมอุตุแล้วว่าฝนจะตกเที่ยง ถึงบ่ายโมง 40% เอาเข้าจริงตกตั้งแต่ 8 โมงเช้า เริ่มขี่รถไปบ้านพี่สาว ประเดิมให้ 2 ขวด น้ำกระเจี๊ยบ แล้วก็ขับรถไปจอดที่ รพ วชิระ สาขาหยี่เต้ง เริ่มขอจอดข้างรถกาแฟ บอกป้าว่าผมขอจอดด้วยนะครับ ป้าก็โอเคเลยลูก ตามสบาย
หลังจากที่ขายได้แล้ว 2-3 แก้ว ก็เริ่มมั่นใจขึ้น หมดความประหม่าการหยิบจับอะไรต่างๆดูจะไม่เก้ๆกังๆแล้ว และกล้าที่จะเรียกลูกค้าขับรถตระเวนไปก็ตะโกนไปพร้อมกับบีบแตร “ลอดช่องสิงค์โปร์มั้ยครับ เฉาก๋วยนมสดมั้ยครับ ปิ๊นๆ” ไปเรื่อยๆ ทำให้คนหันมาสนใจ บางคนเห็นพ่อค้าหน้าใหม่ๆ คิดว่าเป็นมือใหม่ก็ลองซื้อชิมดูว่าเป็นยังไง มีบางคนชมว่าอร่อยหวานมัน หอมกะทิอบควันเทียน เส้นเหนียวนุ่ม ไม่เหมือนเส้นที่ภูเก็ต ชมแบบนี้พ่อค้าก็ยิ้มหน้าบานครับ จริงๆก็เป็นพื้นฐานทางการตลาดให้เกิดเป็นแบบปากต่อปาก ที่ใช้ได้ดีเสมอและไม่มีค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ถ้าคุณภาพสินค้าเราดีจริงก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทีเดียว คิดอยู่ในใจมีทางรอดแล้วเรา
อาจจะเป็นเพราะยังจับทางไม่ค่อยถูกเรื่องการขับรถพ่วงข้าง เพราะเมื่อใส่ของไปแล้วทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีก ทำให้บังคับทิศทางค่อนข้างลำบาก ต้องคอยเกร็งมือตลอดเวลาทำให้ล้าเหมือนกัน บางทีมีรถใหญ่วิ่งแซงขึ้นไปแรงลมที่พัดมาส่งให้รถพ่วงข้างของเราเกือบไถลลงข้างทางไปเลยทีเดียวถ้าบังคับแฮนด์รถไม่ดี มีหลายครั้งที่เห็นท่าไม่ดีต้องแวะหลบข้างทางให้รถผ่านไปก่อน เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ขับรถไปทำงานเคยนึกรำคาญรถประเภทพ่วงข้างมาก มองว่าเกะกะการจราจร โดยเฉพาะช่วงบนที่ถนนแคบที่รถสวนกันได้อย่างเดียวต้องคอยขับตามเพราะแซงไม่ได้ถึงกับบีบแตรไล่และมองด้วยความหงุดหงิด แล้วตอนนี้เป็นยังไงคงจะมีคนที่ขับรถอยู่และตำหนิเราเหมือนกันแน่ๆ เวรกรรมมันมีจริงนะตามมาเร็วด้วย ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก
การขับรถตระเวนขายของ จะต้องหูตาไวคอยมองว่าจะมีใครเรียกซื้อหรือไม่ จึงต้องขับไปช้าๆมองซ้ายมองขวาใครเรียกก็จะได้หยุดทันที เข้าไปในตรอกซอกซอย ทำให้เราเห็นสภาพแวดล้อมต่างๆตามทางที่เราผ่านไป ตรงไหนมีวัด มีโรงเรียน โรงงาน มีอะไรตรงไหนบ้าง อะไรที่เราไม่คิดว่าจะมีแถวละแวกที่อยู่ก็ได้เห็น บางทีได้พูดคุยกับลูกค้าที่ซื้อของทำให้เราได้รู้เรื่องราวใหม่ๆ บางคนแนะนำให้ลองไปขายตรงโน้นตรงนี้ ทำให้ได้ความรู้กว้างขึ้นสำหรับที่จะใช้ในการทำมาหากินต่อไป ผิดกับในช่วงที่ทำงานวันๆก็มีแต่ที่บ้านกับที่ทำงาน แวดล้อมด้วยสังคมฟุ้งเฟ้อ ใส่หน้ากากแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แย่งกันทำตัวเด่นใครมีอะไรมากกว่ากัน นึกถึงแต่ตัวเอง ชีวิตมีแต่ความรีบเร่ง พอกลับมาทำชีวิตให้ช้าลงมีเวลามองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวพิจารณาดูอย่างจริงจัง จะเห็นว่ามีสิ่งดีๆอีกมากที่เราไม่เคยรู้
ตระเวนขายไปเรื่อยๆ จนประมาณเกือบบ่าย 3 โมง ของๆ เราก็เหลือเยอะ นึกถึงป้ารถพ่วงขายกาแฟ บอกให้ไปจอดหน้า ร้านท็อปซุปเปอร์มาเก็ต ข้างโรงเรียน ตอนแรกก็จอด แต่รถยนต์บังเราหมด และ รถขายขนมน้ำ ชากาแฟ รถพ่วงเป็น 10 คันหน้าโรงเรียน เด็กที่เลิกเรียน ก็ซื้อหมด ก็ท้อนะ แต่สักพัก เด็ก ๆ และผู้ปกครอง ก็ซื้อเฉาก๋วยนมสด และลอดช่องสิงค์โปร์ของเรา จนทำแทบไม่ทัน เพราะมือใหม่ ก็เก้เก้กัง ๆ อยู่ จน ถึง 5 โมงเย็น สรุป ขายลอดช่องสิงค์โปร์ ได้ 24 แก้ว เฉาก๋วยนมสด ได้ 28 แก้ว น้ำเก็กฮวย และกระเจี๊ยบ 6 ขวด ยอดรวม 1,300 บาท ก็ยิ้มแก้มปริเลย สรุปลอดช่องยังเหลือประมาณ 15-20 แก้ว แต่ก็ไม่ไหวแล้ว กลับมา แจกให้พี่วินมอเตอร์ไซด์หน้า 7-11 จำนวน 3 คน 3 แก้ว และพม่าที่อยู่ใกล้ที่พัก ให้น้อง ๆ เขาหมดเลย ดีกว่าทิ้ง
สรุปแล้วในวันแรกที่ตระเวนขายได้เงินมาทั้งหมด 1,510 บาท วันที่ 2 ได้ 1,300 บาทไม่ได้มากมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับรายได้เมื่อตอนทำงาน แต่กลับมีความภูมิใจ อิ่มอกอิ่มใจมากกับเงินก้อนนี้ เพราะมันเป็นความเหนื่อยยากกับวิธีที่ได้มันมา และไม่ใช่การขายแรงงาน แต่มาจากการลงทุนของเราเอง (นึกถึงหนังสือก่อร่างสร้างธุรกิจ ของคุณวิกรม ที่มีส่วนผลักดันให้ผมได้เริ่มต้นหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว) และมันจะต้องเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะดูแล้วการขายของที่เข้าไปถึงตัวผู้บริโภคเลยทำให้มีโอกาสขายได้มากกว่าอยู่กับที่แน่นอน แต่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนและด้วยวิธีไหนบ้าง จะมาเล่าต่อครับ สนุกปนน้ำตา (เหมือนละครเลย)
#ขอบคุณคนของหัวใจนะที่ไม่ทิ้งกัน
#ขอบคุณครอบครัวและญาติๆเพื่อนฝูงที่ไม่ทิ้งกันรวมถึงคำแนะนำดีๆที่มีให้กันโดยตลอด
#ขอบคุณตัวเองที่เป็นคนสู้ชีวิต
จากกระทู้ก่อนที่ถามว่าจะขายลอดช่องสิงค์โปร์และเฉาก๋วยนมสด วันนี้จะมารีวิววันแรกและวันที่สองให้ฟังครับ
วันแรกที่เริ่มขับรถพ่วงข้างขายลอดช่องสิงค์โปร์และเฉาก๋วยนมสด
ขับรถพ่วงข้างเร่ขายวันแรกเป็นวันเลือกตั้งตรงกับวันอาทิตย์ ที่ 28 มีนาคม 64
แฟนหยุดจึงมาช่วยขายและเป็นคนขี่รถพ่วง เพราะเราขี่ไม่กระชับ เพิ่งหัดขี่ได้ 2 - 3 วัน วันแรก ขายได้เพราะพี่ป้าน้าอา ช่วยอุดหนุน ยอดขายน่าพอใจมาก ได้ 1,510 บาท
วันที่ 2 เป็นวันที่ต้องขายคนเดียว ตื่นมา 6 โมงเช้า ไปตลาดซื้อขนุน กลับมาลวกเส้นลอดช่อง เตรียมของขาย ใช้เวลา เกือบ 2 ชั่วโมง วันนี้ ฝนตกแต่เช้า ใจคอไม่ดี เพราะดูกรมอุตุแล้วว่าฝนจะตกเที่ยง ถึงบ่ายโมง 40% เอาเข้าจริงตกตั้งแต่ 8 โมงเช้า เริ่มขี่รถไปบ้านพี่สาว ประเดิมให้ 2 ขวด น้ำกระเจี๊ยบ แล้วก็ขับรถไปจอดที่ รพ วชิระ สาขาหยี่เต้ง เริ่มขอจอดข้างรถกาแฟ บอกป้าว่าผมขอจอดด้วยนะครับ ป้าก็โอเคเลยลูก ตามสบาย
หลังจากที่ขายได้แล้ว 2-3 แก้ว ก็เริ่มมั่นใจขึ้น หมดความประหม่าการหยิบจับอะไรต่างๆดูจะไม่เก้ๆกังๆแล้ว และกล้าที่จะเรียกลูกค้าขับรถตระเวนไปก็ตะโกนไปพร้อมกับบีบแตร “ลอดช่องสิงค์โปร์มั้ยครับ เฉาก๋วยนมสดมั้ยครับ ปิ๊นๆ” ไปเรื่อยๆ ทำให้คนหันมาสนใจ บางคนเห็นพ่อค้าหน้าใหม่ๆ คิดว่าเป็นมือใหม่ก็ลองซื้อชิมดูว่าเป็นยังไง มีบางคนชมว่าอร่อยหวานมัน หอมกะทิอบควันเทียน เส้นเหนียวนุ่ม ไม่เหมือนเส้นที่ภูเก็ต ชมแบบนี้พ่อค้าก็ยิ้มหน้าบานครับ จริงๆก็เป็นพื้นฐานทางการตลาดให้เกิดเป็นแบบปากต่อปาก ที่ใช้ได้ดีเสมอและไม่มีค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ถ้าคุณภาพสินค้าเราดีจริงก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทีเดียว คิดอยู่ในใจมีทางรอดแล้วเรา
อาจจะเป็นเพราะยังจับทางไม่ค่อยถูกเรื่องการขับรถพ่วงข้าง เพราะเมื่อใส่ของไปแล้วทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีก ทำให้บังคับทิศทางค่อนข้างลำบาก ต้องคอยเกร็งมือตลอดเวลาทำให้ล้าเหมือนกัน บางทีมีรถใหญ่วิ่งแซงขึ้นไปแรงลมที่พัดมาส่งให้รถพ่วงข้างของเราเกือบไถลลงข้างทางไปเลยทีเดียวถ้าบังคับแฮนด์รถไม่ดี มีหลายครั้งที่เห็นท่าไม่ดีต้องแวะหลบข้างทางให้รถผ่านไปก่อน เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ขับรถไปทำงานเคยนึกรำคาญรถประเภทพ่วงข้างมาก มองว่าเกะกะการจราจร โดยเฉพาะช่วงบนที่ถนนแคบที่รถสวนกันได้อย่างเดียวต้องคอยขับตามเพราะแซงไม่ได้ถึงกับบีบแตรไล่และมองด้วยความหงุดหงิด แล้วตอนนี้เป็นยังไงคงจะมีคนที่ขับรถอยู่และตำหนิเราเหมือนกันแน่ๆ เวรกรรมมันมีจริงนะตามมาเร็วด้วย ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก
การขับรถตระเวนขายของ จะต้องหูตาไวคอยมองว่าจะมีใครเรียกซื้อหรือไม่ จึงต้องขับไปช้าๆมองซ้ายมองขวาใครเรียกก็จะได้หยุดทันที เข้าไปในตรอกซอกซอย ทำให้เราเห็นสภาพแวดล้อมต่างๆตามทางที่เราผ่านไป ตรงไหนมีวัด มีโรงเรียน โรงงาน มีอะไรตรงไหนบ้าง อะไรที่เราไม่คิดว่าจะมีแถวละแวกที่อยู่ก็ได้เห็น บางทีได้พูดคุยกับลูกค้าที่ซื้อของทำให้เราได้รู้เรื่องราวใหม่ๆ บางคนแนะนำให้ลองไปขายตรงโน้นตรงนี้ ทำให้ได้ความรู้กว้างขึ้นสำหรับที่จะใช้ในการทำมาหากินต่อไป ผิดกับในช่วงที่ทำงานวันๆก็มีแต่ที่บ้านกับที่ทำงาน แวดล้อมด้วยสังคมฟุ้งเฟ้อ ใส่หน้ากากแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แย่งกันทำตัวเด่นใครมีอะไรมากกว่ากัน นึกถึงแต่ตัวเอง ชีวิตมีแต่ความรีบเร่ง พอกลับมาทำชีวิตให้ช้าลงมีเวลามองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวพิจารณาดูอย่างจริงจัง จะเห็นว่ามีสิ่งดีๆอีกมากที่เราไม่เคยรู้
ตระเวนขายไปเรื่อยๆ จนประมาณเกือบบ่าย 3 โมง ของๆ เราก็เหลือเยอะ นึกถึงป้ารถพ่วงขายกาแฟ บอกให้ไปจอดหน้า ร้านท็อปซุปเปอร์มาเก็ต ข้างโรงเรียน ตอนแรกก็จอด แต่รถยนต์บังเราหมด และ รถขายขนมน้ำ ชากาแฟ รถพ่วงเป็น 10 คันหน้าโรงเรียน เด็กที่เลิกเรียน ก็ซื้อหมด ก็ท้อนะ แต่สักพัก เด็ก ๆ และผู้ปกครอง ก็ซื้อเฉาก๋วยนมสด และลอดช่องสิงค์โปร์ของเรา จนทำแทบไม่ทัน เพราะมือใหม่ ก็เก้เก้กัง ๆ อยู่ จน ถึง 5 โมงเย็น สรุป ขายลอดช่องสิงค์โปร์ ได้ 24 แก้ว เฉาก๋วยนมสด ได้ 28 แก้ว น้ำเก็กฮวย และกระเจี๊ยบ 6 ขวด ยอดรวม 1,300 บาท ก็ยิ้มแก้มปริเลย สรุปลอดช่องยังเหลือประมาณ 15-20 แก้ว แต่ก็ไม่ไหวแล้ว กลับมา แจกให้พี่วินมอเตอร์ไซด์หน้า 7-11 จำนวน 3 คน 3 แก้ว และพม่าที่อยู่ใกล้ที่พัก ให้น้อง ๆ เขาหมดเลย ดีกว่าทิ้ง
สรุปแล้วในวันแรกที่ตระเวนขายได้เงินมาทั้งหมด 1,510 บาท วันที่ 2 ได้ 1,300 บาทไม่ได้มากมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับรายได้เมื่อตอนทำงาน แต่กลับมีความภูมิใจ อิ่มอกอิ่มใจมากกับเงินก้อนนี้ เพราะมันเป็นความเหนื่อยยากกับวิธีที่ได้มันมา และไม่ใช่การขายแรงงาน แต่มาจากการลงทุนของเราเอง (นึกถึงหนังสือก่อร่างสร้างธุรกิจ ของคุณวิกรม ที่มีส่วนผลักดันให้ผมได้เริ่มต้นหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว) และมันจะต้องเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะดูแล้วการขายของที่เข้าไปถึงตัวผู้บริโภคเลยทำให้มีโอกาสขายได้มากกว่าอยู่กับที่แน่นอน แต่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนและด้วยวิธีไหนบ้าง จะมาเล่าต่อครับ สนุกปนน้ำตา (เหมือนละครเลย)
#ขอบคุณคนของหัวใจนะที่ไม่ทิ้งกัน
#ขอบคุณครอบครัวและญาติๆเพื่อนฝูงที่ไม่ทิ้งกันรวมถึงคำแนะนำดีๆที่มีให้กันโดยตลอด
#ขอบคุณตัวเองที่เป็นคนสู้ชีวิต