เรื่องสั้น....เรื่อง...ครูใหม่

กระทู้สนทนา


เรื่องสั้น เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจ จากเรื่อง 
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......เพื่อนใหม่........@@ โดย ลุงแผน
https://ppantip.com/topic/40606493

คำขู่
ไม่ต้องใช้วิจารณญาณใด ๆ ในการอ่าน อ่านได้ทุกอิริยาบถ

...........

          ......ผมชื่อ ไปนะ  เรียนจบครูมาแห้ง ๆ  และได้เป็นครูอัตราจ้างหลังจากนั้นอีกห้าปี บางคนอาจคิดว่าผมใช้เส้นถึงได้งานทำเร็วทั้งที่เพิ่งจบมาไม่กี่ปี แต่จริง ๆ แล้วเพื่อน ๆ ผมเขาไม่เลือกที่นี่กัน เพราะบ้านนอก-บ้านนอกซุมเดอะแมนคันทรี่...โลโซไซตี้กินแต่วิสกี้ขาว พวกเขาจึงพากันไปสมัครในโรงเรียนที่มีความเจริญงอกงามกว่า ผมจึงรีบรับด้วยความเต็มใจ  
 
          เหลืออีกหนึ่งปีจะเปิดเทอม ตอนเข้ามืด ผมจึงลาพ่อลาแม่เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาบ้านเก่า ดินแดนที่เราจากมา  โดยใช้เวลาไม่นานเพราะเดินทางคนเดียวจนชิน  พ่อแม่ให้ศีลให้พรด้วยความดีใจ ยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่วมหัว อย่างทุกครั้งที่ผมจะต้องไปอยู่ที่อื่นนาน ๆ เสร็จแล้วผมก็กราบท่านก่อนลงเรือน ด้วยความรู้สึกเหมือนพวกท่านอยากให้ผมไปพ้นหน้าพ้นตาอย่างไรชอบกล

           ผมยืนรอรถประจำทาง หนึ่งเดือนผ่านไป ผมเห็นรถโดยสารสีส้มเก่ามอซอแล่นโคลงเคลงผ่านหน้ามาแบบ สอใจเย็น ไม่รอช้า ผมรีบกระโดดขึ้นท้ายรถทันที โอ ภาพฝันของผมกำลังจะเป็นจริง อาชีพพ่อพิมพ์แห่งชาติกำลังจะเป็นจริง อาชีพครูผู้สอนที่แสนหวาน รอมาตั้งแต่ฃาติปางก่อน โอกาสที่จะได้ล้างแค้นเด็ก ๆ กำลังจะมาถึง

           มองเห็นภาพตัวเอง กำลังมูนวอล์กไปยังประตูโรงเรียน  แต่มูนวอร์กอย่างไรก็ไม่ถึงเสียที นั่นผมจึงเริ่มคิดได้ว่า มูนวอร์กนี่แสดงอากัปกิริยาเหมือนกำลังเดินไปข้างหน้า แต่ความจริงแล้วกำลังเดินถอยไปข้างหลัง ดูคล้ายกับกำลังเดินไปข้างหน้า บนพื้นสายพานที่กำลังหมุนไปอีกทางหนึ่ง  ทำให้ไม่ถึงจุดหมายเสียที  นั่นทำให้เด็กนับร้อยคน ที่ยืนเข้าแถวรอต้อนรับพากันส่งเสียงเชียร์เป็นการใหญ่ คงดีใจที่มีครูคนใหม่ แต่สังเกตเห็นว่าพวกเขาถือก้อนอิฐ ไม้หน้าสาม กันแทบทุกคน นี่ละ ผมถึงไม่ชอบเด็ก

           “คุณครูมาแล้ว แต่เดินเหมือนผีบ้า ไม่มาถึงเสียที พวกเราไปต้อนและรับกันเร็ว!!!”

           เสียงใครคนหนึ่งตะโกนลั่น แล้วพากันวิ่งตรงมาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ผมใจหายวาบ  รีบหันหลังกลับ ออกแรงมูนวอล์กสุดกำลัง แต่ลืมไปว่า การหันหลังกลับแล้วมุนวอล์กแบบไม่ทันคิด ทำให้ร่างของผมลื่นไถลเข้าไปหาเด็กกลุ่มนั้นทันที นี่มันขัดกฏฟิสิกส์ชัด ๆ ผมวิ่งหนี แต่กลับถอยหลังเข้าหา!

           “ไม่.......”    ผมร้องสุดเสียง ยอมรับว่ากลัวปิ่มว่าจะขาดใจ  “ไม่นะ โอ โน....มันบ่อใช่ บ่อถูกต้อง แมนรับบ่อด้ายยยย!!!!”

           “เพ่ ๆ”  เสียงร้องดังข้างหู ผมสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลง ตื่นจากจินตนาการ เห็นเด็กหนุ่มในชุดมอมแมมคนหนึ่ง ยืนเกาะท้ายรถอยู่ใกล้ ๆ กลิ่นโคลนชัด ทำให้รู้สึกแปลกใจแน่นอน (ตั้งใจใช้คำนี้ ถึงจะผิดหลักทางภาษาก็เถอะ)   “ เพ่ ขึ้นมาทำไมบนนี้”

           “หา....”  ผมอุทาน มองไปรอบกาย แต่สมองยังคิดอะไรไม่ออก เพราะเป็นคนคิดช้า แว่วเสียงเด็กคนนั้นพูดต่อไป

           “เพ่ ขึ้นมาทำไม นี่มันรถขยะ ไม่ใช่รถประจำทางนะครับ”

           “หา...”  ผมอุทานอีกครั้ง มองรอบกายอีกครั้ง ใช่แล้ว!  นี่มันรถเก็บขยะชัด ๆ กลิ่นหอมหึ่งกำลังอบอวลได้ที่  นี่ผมตาลายถึงขนาดนี้เชียว ขนาดไม่ทันสังเกตว่านี่มันรถเก็บขยะประจำทาง  โอ ให้ตายเถอะ โรบินสัน ครูโซ โลตัส นี่มัน....!! วินาทีนั้น น้ำลายของผมแทบหลั่งไหลด้วยความอับอาย   แต่ไม่มีวันเสียละ ที่คนอย่างผมจะหลั่งน้ำลาย ลูกผู้ชายต้องยอมหลั่งโลหิตมิยอมหลั่งน้ำลาย จึงฝืนใจปั้นหน้าฉีกกระชากยิ้มสุดชีวิต วางท่าหล่อ หันไปทำเสียงหล่อ บอกกับเด็กหนุ่มคนนั้น

           “อะเห้ย...มิใช่อะไร พี่เพียงแต่ทดลองทำตัวเป็นคนเก็บข้อมูลขยะสังคม เท่านั้น อะเห้ย....และทดลองขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมหวนชวนดมของขยะสังคม มันเป็นงานทดลองเชิงปฏิบัติการเก็บข้อมูลเบื้องต้นของพี่เท่านั้น ว่ากลิ่นขยะมันแตกต่างจากนักการเมืองบางกลุ่มตรงไหน อะเห้ย”

           พูดจบผมก็รีบกระโดดลงมาจากรถขยะทันที ก่อนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะอ้าปากโต้เถียงซักถามอะไรให้มากเรื่องหลายความ เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะการไม่อธิบายก็คือการอธิบายชนิดหนึ่งนั่นเอง  หันไปมองรถเก็บขยะ เห็นเด็กท้ายรถคนนั้นยืนทำหน้าแบบอธิบายยาก (ทำหน้ายาก) คงจะนึกว่าตัวเองเป็นบุญตา ที่ได้เห็นงานทดลองเชิงปฏิบัติการเก็บข้อมูลขยะสังคมของผมนั่นเอง

           รถเก็บขยะคันนั้น วิ่งต่อไปไม่เท่าไรก็หยุดลง คนเก็บขยะเลิกทำหน้ายาก เพราะการทำหน้ายากมันยาก แต่กระโดดลงไปเก็บถังขยะมาเทเข้าไปท้ายรถอย่างคล่องแคล่วชัดเจน ท่วงท่าการพลิ้วกาย ยกถังขยะ  เทถังขยะ เปี่ยมล้นไปด้วยความหมดจดงดงามชำนาญ 

           นี่ละ ฮีโร่ตัวจริง ความคิดปะทุวาบ  สิ่งที่รถขยะทำคือการนำขยะสังคมที่คนเราไม่ต้องการไปทิ้งทำลายห่างไกลผู้คน มันเป็นหน้าที่สุดแสนเท่ในสายตาของผม ทำเอาเกือบจะเลิกล้มความตั้งใจจะเป็นครู มาเป็นคนเก็บขยะเลยเชียว ทำงานอะไรก็ได้ ที่ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ขัดศีลธรรม มโนธรรม ของตัวเอง ก็ถือว่าดีทั้งนั้น ดีกว่าบางคนบางกลุ่มที่เป็นเหลือบสังคม สิ่งสวยงามไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจ

           ผมเกือบจะวิ่งตามรถเก็บขยะ เพื่อสมัครงาน แต่นึกได้ว่าตัวเองไม่ได้เรียนจบมาทางนี้   ไม่ได้มีวุฒิจบการศึกษาประกาศนียบัตรเก็บขยะวิชาชีพชั้นสูง  เขาคงไม่รับเข้าทำงานเป็นแน่แท้

           ผมกลับมายืนข้างถนนเวิ้งว้างอีกครั้ง   ภาพฝันหายวับไปตั้งแต่ก่อนกระโดดลงจากท้ายรถเก็บขยะแล้ว อนิจจา  สิ่งที่ทำได้ ณ เวลานั้นคือ ก้มหน้าเดินไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน เพราะร้อนอยู่แล้วจากผลของปฏิกิริยาฟิวชันไฮโดรเจนแห่งดวงตะวัน 

           ป่านนี้ทางโรงเรียนคงกำลังรออยู่ เพราะได้ข่าวว่าโรงเรียนขาดแคลนครูอย่างยิ่ง ถนนสายยาวเหยียดราวไม่มีที่สิ้นสุด สายลมพัดผ่านมาและผ่านไป ขอเพียงก้าวไปข้างหน้าไม่ย่อท้อ ทำความฝันให้เป็นความหวัง ทำความหวังให้เป็นจริง ชีวิตไม่สิ้นต้องมุ่งหน้าต่อไป สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

           ได้ยินเสียงท่อไอเสียดัง แท่ด แท่ด แท่ด แท่ด มาแต่ไกล ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์  คราวนี้ผมตั้งสติ ตั้งใจมองอย่างวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ใช่รถเก็บขยะ เพราะกลัวตัวเองใจอ่อนหลงระเริงจนบรรลุอะไรสักอย่างไปกับรถขยะ  เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่รถขยะ จึงรีบกระโดดขึ้นรถทันที ชนิดรถไม่ทันได้จอดด้วยซ้ำ

            “รถคันนี้ไป บ้านปลายนา 4.6 กม ใช่ไหมครับ”   ผมถามคนขับเพื่อความแน่ใจว่าไม่ต้องหลงทางไปถึงเขาพระวิหาร หรือกำแพงเมืองจีน

           “ใช่ครับ แมนแล้ว”   คนขับหันมาตอบอย่างอารมณ์ดี “รถคันนี้ไปบ้านปลายนา 4.6 กม จริงแท้แน่นอนครับ”

           “ไชโยโห่ฮิ้ว...” ผมดีใจแทบกระโดด  ในที่สุดก็มาถูกทางเสียที มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป เป้าหมายแห่งความสำเร็จรอคอยอยู่ข้างหน้า อาชีพครูในฝันกำลังจะเป็นจริง ถึงอยากจะแกล้งเด็ก แต่ก็ตั้งใจว่าจะเป็นครูที่ดี ไม่ทำร้ายเด็กรุนแรง ไม่ผิดจริยธรรมแห่งความเป็นครู ไม่เสื่อมเสียอย่างเด็ดขาดให้จักรวาลรู้ว่ายังมีครูที่ล้นเอ่อด้วยจิตวิญญาณ 

            อาชีพครู เป็นอาชีพที่ดี ครูต้องทำตัวดีด้วย เพราะทั้งเด็กและผู้ปกครอง พร้อมที่จะรักนับถือเชื่อใจครูอยู่แล้ว ขนาดกล้าให้ลูกหลานของท่านเหล่านั้นมาอยู่ในโรงเรียนกับครูแทบทั้งวัน ทั้งที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แบบนี้หาได้ที่ไหน คนเป็นครูจึงควรให้ความรักความเมตตาต่อศิษย์อย่างบริสุทธิ์ใจ เสมือนลูกหลาน แม้จะมีการแกล้งบ้างก็ตาม แต่ก็เพื่อเชื่อมไมตรีที่ดีต่อกันนั่นเอง

           "ค่าโดยสารเท่าไรครับ” ผมไม่ลืมเรื่องสำคัญ

           “ไม่ต้องครับ ผมผ่านทางนั้นพอดี”  คนขับตอบอย่างมีน้ำใจ  แข่งกับเสียงแท่ด แท่ด แท่ด แท่ด  สม่ำเสมอ น้ำตาของผมแทบหยาดหยดเพราะความซึ้งใจ  นี่ละ คำว่าน้ำใจ ไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใด คนเราไม่เคยขาดน้ำใจ  

           “เราต้องไปกันอีกนานไหมครับ กว่าจะถึงบ้านปลายนา 4.6 กม”  

           “อ้อ...พรุ่งนี้บ่าย ๆ คงถึงละครับ”

           “หา...” ผมอุทานตามความเคยชิน “ไกลขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

           “มันก็ไม่เชิงหรอกครับ แต่กว่ารถคันนี้จะไปถึง ก็นานขนาดนั้นเลยละ”

           ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะแน่ใจว่าดูแผนที่มาแล้ว ระยะทางไม่ได้ไกลขนาดเดินทางข้ามวันข้ามคืน  แต่แล้วหลังจากพูดคุยกันเล่นแก้เหงาได้สักครึ่งชั่วโมง ผมก็เริ่มสังเกตว่าข้างทางด้านซ้ายมือ มีคุณยายนุ่งผ้าซิ่นเสื้อคอกระเช้าลายดอกคนหนึ่ง กำลังปั่นจักรยานสีแดง แซงพวกเราไปด้วยท่าทางไม่รีบร้อน 

           เหมือนจักรยาน ขี่เอง ไม่มี ใครลากไป
           ทางเดินของใคร..ของมัน 
           และฉันกับเธอ จะไปด้วยกัน 
           ขี่ไปพร้อมกัน จักรยานสีแดง

           เสียงเพลงเหมือนแว่วในโสตประสาท นั่นทำให้ผมต้องกวาดตามองไปโดยรอบอย่างตั้งใจ  ภาพวิวทิวทัศน์กำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวเวลายืดยาวไปในอวกาศหรือเข้าใกล้ขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำ

           นี่ไม่ใช่รถเก็บขยะ แต่เป็นรถบดถนน!!

           โอพระเจ้าจอห์จ มันแย่มาก...ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้  แล้วก็นึกรู้ทันทีว่าทำไมคนขับไม่เก็บค่าโดยสาร ทำไมไม่มีผู้โดยสารคนอื่นเลย ทำไมคุณยายคนนั้นถึงปั่นจักรยานแซงหน้าเราไปอย่างง่ายดาย  รถบดถนนกำลังทำงานบดอัดพื้นถนนอย่างเชื่องช้า ด้วยน้ำหนักมหาศาลตามหน้าที่ของมันนั่นเอง

           ให้ตายเถอะบิกซี โฮมโปร นี่มันวันสิ้นโลกหรืออย่างไร

           กระนั้น ผมก็ยังคงเก็บอาการ  หันไปขอบคุณคนขับอย่างแสนสุภาพ จากนั้นรีบกระโดดลงจากรถทันที ด้วยสีหน้านิ่งเรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะแสดงออกให้คนอื่นรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ว่าเราเขินอาย มาดอิมเมจเป็นสิ่งจะต้องรักษาเอาไว้ก่อน

           เมื่อเท้าถึงพื้น ผมจัดการสะพายกระเป๋าอย่างมั่นคง แล้วออกวิ่งไปข้างหน้าทันที วิ่งไปแบบไม่รู้เหตุผลแท้จริง รู้ว่าต้องวิ่งไปให้ไกล ให้ห่างจากรถบดถนนมากที่สุด  ร้องในใจ Run! Forrest Run! แบบเดียวกับสิ่งที่ฟอร์เรสท์ กัมป์ พยายามทำในภาพยนตร์  ซึ่งเนื้อหาจะมีการวิ่งมาแทรกเป็นระยะ  ไม่ว่าจะวิ่งสมัยเด็กแบบไม่คิดชีวิต จนขาเหล็กหลุดลุ่ยกระจายไม่มีชิ้นดี  วิ่งเพียงเพราะเชื่อในคำพูดของเพื่อนสาว วิ่งทำให้หลังที่งอคดของเขาหายดีเป็นปกติ วิ่งฝ่าห่ากระสุนและดงระเบิด เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนรัก  วิ่งเพื่อเยียวยาจิตใจ หรือวิ่งเพราะอะไรก็ตาม แต่ผมวิ่งไปคิดถึงฟอร์เรสท์ กัมป์ไป  และไม่หวังว่าตัวเองจะวิ่งไปได้ 3 ปี 2 เดือน 14 วัน 16 ชั่วโมง แบบเขาทำแน่นอน

           ในที่สุด ผมก็วิ่งแซงรถจักรยานของคุณยายไปได้ พลางหันไปมองคุณยายอย่างเห็นใจ โอ คุณยาย ขนาดมีเรื่องทุ่นแรง ยังปล่อยให้คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง (ผีบ้า?) อาศัยเท้าสองข้างและแรงใจล้วน ๆ  วิ่งแซงไปได้ แต่ก็นะ ...สงสารก็สงสาร  เห็นใจก็เห็นใจ แต่จะต้องไร้ความปรานี  ถึงอีกฝ่ายจะเป็นคนแก่ แต่มีจักรยาน ไม่สมควรอ่อนข้อให้  เพราะอ่อนข้อบางทีอาจกลายเป็นอ่อนแอ อโหสิกรรมให้นะครับ คุณยาย... อย่าได้จองเวรจองกรรมกันเลย  

           ให้ผมแซงโดยดีเถิดนะ ชาติหน้าถ้ามี ผมจะให้คุณยายแซง ผมนึกในใจ

มีต่อ---
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่