กัปตันวันชนะและชาวคณะ พร้อมกับกลุ่มบุคคลชาวแอตแลนติสเหนือ หนีจากที่ทำการศาลทวีปกลับมาสู่เกาะนิรนาม บ้านเก่าของผู้เฒ่าไดโอเซนัสอีกครั้งเพื่อถอยมาตั้งหลักกันใหม่ หลังจากผลการตัดสินชี้ขาดองค์จักรพรรดิได้ถูกตัดสินในท้ายที่สุดโดยการเลือกของเทพพยากรณ์ออเรเคิลเอง สร้างความแค้นใจแก่แทบทุกคน และทันทีที่ออเรเคิลประกาศคำตัดสินอันเป็นเหมือนคำตัดสินชะตาตัวเองและคนอื่นๆ ไปด้วยพร้อมกัน เหล่าทหารฝ่ายใต้ก็ได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิตัวปลอมซึ่งร่างจริงเป็นอสูรต่างดาวเร็พไทเลี่ยนและออเรเคิลเองด้วยให้เข่นฆ่าทุกคนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์หรือยอมจำนน แอนดี้ซึ่งขับยาน THE FUGITIVE คอยดูสถานการณ์อยู่แล้วจึงใช้เทคโนโลยีเทเลพอร์ตดูดทุกคนขึ้นยานแล้วหนีมา...
ปล่อยให้ชาวแอตแลนติสเหนือคนอื่นๆ ถูกจับกุมคุมขัง พวกที่ขัดขืนต่อสู้ก็ถูกสังหารโดยเหล่าทหารฝ่ายใต้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นชาวเร็พไทเลี่ยนแปลงตัวมา!!
เป็นสถานการณ์คับขัน! ที่กัปตันและเหล่าสหายไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้ เพราะขืนสู้ก็มีแต่จะพ่ายแพ้ โอกาสชนะแทบจะไม่มีเพราะพวกตนถูกล้อมไว้หมดแล้ว จึงจำเป็นต้องหนีมาตั้งหลักก่อนแล้วค่อยหาหนทางแก้ในภายหลัง...ซึ่งกัปตันและทุกๆ คนหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องกลับไปแก้ไขแน่นอน อิสรภาพและเสรีภาพของชาวแอตแลนติสต้องได้กลับมา อย่างน้อยที่สุดก็คือชาวเหนือ
เมื่อมาถึงเกาะนิรนามกันแล้ว กัปตันวันชนะแสดงความเห็นว่า ถึงแม้ว่าที่นี่คือเกาะนิรนาม แต่ว่า ออเรเคิลเป็นผู้รู้พิกัดที่ตั้งของเกาะนี้และนางอาจส่งกองกำลังตามมาเพื่อกำจัดเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ควรพักอยู่ ณ ที่ใดๆ บนเกาะ ซึ่งอาจถูกค้นหาจนพบได้ สมควรจะมีสถานที่ลับสักแห่งหนึ่ง
"ข้าเห็นว่ามีที่หนึ่ง ซึ่งเหมาะสมที่สุด และเป็นที่ลับมากที่สุด ซึ่งพวกนั้นไม่ล่วงรู้แน่นอน ต่อให้รู้ ก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปเป็นแน่!!" ไดโอเซนัสกล่าว
"อาจารย์ปู่คงหมายถึง...ที่เก็บยานของท่านแอตลาสกระมังขอรับ ?" กัปตันถาม
"ใช่แล้ว ท่านวันชนะ" ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าหงึก
"จริงด้วยเจ้าค่ะ" แม่หมอฟรีด้ากล่าวเสริม "พวกเราเคยเข้าไปเยี่ยมท่านถึงที่นั่นมาแล้วในตอนที่เจ้าปุยเมฆไม่สบายแล้วมันช่วยพาเราไปจนเจอที่นั่น จึงได้พบและรู้จักกับท่านเทพ"
"แน่นอนที่สุดว่า พวกกะปอมต่างดาวนรกเหล่านั้น ไม่กล้ามาบุกรุกแน่นอน! เพราะพวกมันมาจากคนละดาว คนละจักรวาล!" หนุ่มแซมกล่าว
"คนละแกแล็กซี่ด้วยซ้ำ!" มหาเอกเสริม "ไอ้พวกนั้นมันอยู่ร่วมกับพวกเราในแกแล็กซี่ทางช้างเผือกนี่แหละ แต่ท่านแอตลาส โพเซดอน และเซอุส มาจากแกแลคซี่แอนโดรเมด้า!"
"วิทยาการของพวกเขาคงก้าวหน้าไปไกลสุดกู่ ถึงขนาดเดินทางข้ามแกแล็กซี่..." สาวจอยกล่าวเหมือนรำพึงกับตัวเอง
"ที่รัก...คุณคิดว่า วิทยาการของดาวเนโอโซรอสที่คุณจากมา พอจะเทียบเคียงกับดาวของสามคนนั่นในแกแล็กซี่แอนโดรเมด้าได้ไหม ?" กัปตันหันไปถามเอ็มม่า
"อืม...พวกเขาต้องไม่ด้อยกว่าพวกของเราแน่ค่ะที่รัก" คุณแม่ต่างดาวทำท่าขบคิดแล้วตอบ "ฉันรู้สึกว่าพวกเราตามหลังพวกเขาอยู่บ้างเหมือนกัน ดูจากการที่แอตลาส ซึ่งอันที่จริงไม่มีร่างกายแล้วเพราะตายไปตั้งแสนกว่าปี แต่สามารถผนวกจิตวิญญาณเข้ากลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับยานของเขาได้ ทำให้เขาเป็นอมตะ! จะว่าเขาตายไปแล้วก็ว่าไม่ได้ เพราะเขาสามารถมาปรากฏให้ทุกคนเห็นเมื่อไรก็ได้"
"อ่า...ยานของแอตลาส มันไม่ใช่เป็นแบบ Haunted Spacecraft หรือครับ ?" ยูไล เกลเลอร์ถามแบบงงๆ
"ไม่ใช่หรอก พี่ยูไล" สาวแอนนาตอบแย้งทันที "เพราะถ้าเป็นยานผีสิง ก็แปลว่า วิญญาณของแอตลาสสิงอยู่เฉยๆ และการปรากฏตัวของวิญญาณจะปรากฏตัวเองแบบชัดบ้างไม่ชัดบ้าง และวิญญาณต้องใช้พลังงานเป็นอันมากในการเคลื่อนย้ายวัตถุ แค่สิ่งของทั่วไปก็เหนื่อยแล้ว แต่นี่...ยานบินขนาดยักษ์ทั้งลำ! เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับยาน ยานคือเขา เขาคือยาน ยานบิน ก็คือเขาเองนั่นแหละบิน! และเวลาที่เขาสื่อสารกับพวกเราที่ผ่านมา เขาเลือกใช้การปล่อยเลเซอร์โฮโลแกรมมาคุยกับพวกเรา ซึ่งเป็นขั้นเทพสุดๆ "
"ผี หรือวิญญาณในโลกนี้ สร้างเลเซอร์โฮโลแกรมไม่ได้หรอกครับ" หนุ่มแซมพูดแล้วหัวเราะหึๆ
"โอเค!" กัปตันสรุป "งั้นพวกเรา ไปหาแอตลาสกัน แต่คงต้องให้เจ้าปุยเมฆนำทางไปแล้วสิ"
"ไม่ต้องลำบากถึงปานนั้นดอก!!" เสียงหนึ่งก้องกังวานลงมาจากฟ้าเบื้องบน ทำให้ทุกคนแหงนหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน
เป็นแอตลาส ผู้เป็นหนึ่งเดียวกับจานบินสีดำขนาดมหึมาลำเดิมนั่นเอง! ยานนั้นเปิดแสงสว่างจ้าออกมาสองดวงบริเวณข้างยาน มองดูเหมือนกับดวงตาคนขนาดยักษ์กำลังจ้องมองทุกคนอยู่ คนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนถึงกับผวาเฮือกขนลุกซู่ แม้คนที่เคยเห็นและรู้ว่านั่นคือแอตลาส บางคนก็ยังอดรู้สึกครั่นคร้ามหวั่นระทึกเสียมิได้ แม้กระทั่งกัปตันเองก็รู้สึกตื่นเต้นกับลักษณะการปรากฏตัวของแอตลาสในคราวนี้บ้างเหมือนกัน
"นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นท่านเทพแอตลาส ป่านนี้ พวกเราคงขวัญหนีดีฝ่อ โกยอ้าวกันป่าราบไปแล้วแน่ๆ!" สถาพรกล่าววิจารณ์ แล้วตะโกนทักทายขึ้นไป
"สวัสดีท่านแอตลาส ช่างมาได้พอเหมาะพอเจาะ สมควรแก่กาลแท้ !!"
"สวัสดี ทุกๆ ท่าน" แอตลาสตอบ แล้วฉับพลันนั้นบริเวณใกล้ขอบยานใต้ดวงตาคู่นั้นก็นูนขึ้นฟอร์มเป็นรูปริมฝีปากของมนุษย์อย่างชัดเจน ในขณะที่ดวงตาคู่นั้นก็ปรากฏมีส่วนขาวส่วนดำเยี่ยงตามนุษย์สามัญทั่วไป แถมมีขนตากะพริบเป็นครั้งคราวเสียด้วย!
"โอย...ท่านเทพเจ้าคะ..." แม่หมอฟรีด้ากล่าวพลางยกสองมือทาบอก "การปรากฏของท่านในครั้งนี้ ดูน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเสียเหลือเกิน! หากมิได้อยู่ร่วมกับเหล่าสหาย ข้าคงคิดว่าได้พบกับปีศาจเป็นแน่แท้ !!"
"หึหึ.." แอตลาสส่งเสียงหัวเราะ ซึ่งฟังดูทั้งนุ่มนวลทั้งน่ากลัวพิลึกในยามนี้! "ถึงขนาดนั้นเทียวรึ ? ฟรีด้า และท่านทั้งหลาย...ข้านึกไม่ถึงเลยว่า การปรากฏของข้าพร้อมกับยานในลักษณะนี้ จะน่ากลัวสำหรับพวกท่าน!"
"นี่เป็นสุดยอดวิทยาการจริงๆ ขอรับ คงยากมากๆ สำหรับพวกเราชาวโลกที่จะเข้าใจและเจริญรอยตามได้!" สถาพรว่า
"มันก็...ไม่ถึงขนาดนั้นดอก...ท่านวิศวกร.." แอตลาสตอบแล้วยิ้ม "...พวกท่านที่มาจากอนาคตของเวลาแห่งแอตแลนติส จากหมื่นกว่าปีนับจากนี้ ก็ได้เคยศึกษาวิทยาการ...ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ หลักการของนักปราชญ์อัจฉริยะผู้หาได้ยากคนหนึ่ง ผู้เคยกล่าวว่า สสาร และพลังงาน สามารถแปรผันสลับกันได้ ซึ่งเขียนบันทึกเป็นสูตรให้พวกท่านได้เรียนมาแล้วว่า อี เท่ากับ เอ็มซี ยกกำลังสอง!"
"อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ !!" หลายคนอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตื่นเต้น
"ท่าน...ท่านรู้จักเขาด้วยหรือเจ้าคะ ?" รัชนีสาวแฝดผู้พี่ถามด้วยความสุดทึ่ง คนอื่นก็รู้สึกไม่ต่างกัน
"รู้จักซี่..."
"ท่านแอตลาส...ท่านคงจะ...ได้ท่องไปในกาลเวลาแห่งอนาคตมา และคงได้บันทึกสิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นมาแน่ๆ" กัปตันพูดเป็นเชิงถาม
"ใช่แล้ว ท่านวันชนะ" จานบินยักษ์ทำท่าพยักหน้า คือขยับตัวลงแล้วขึ้น "หลักการนั้นแหละ...ที่ข้าปรับใช้กับยานลำนี้ โดยตั้งระบบคำสั่ง หรือที่ท่านใช้คำว่า 'โปรแกรม' ไว้ล่วงหน้า ทันทีที่ร่างกายของข้าหมดลมหายใจ จิตวิญญาณก็พุ่งเข้าสู่ระบบคำสั่งที่ตั้งไว้รอท่าทันที วิญญาณซึ่งนับเป็นพลังงานจึงแปรสภาพเป็นสสารอย่างหนึ่งแทรกซึมซับทุกส่วนของยานลำนี้แล้วกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงสามารถบังคับยานลำนี้ให้เปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะใดๆ ก็ได้ตามความปรารถนา และเรียกใช้งานมันได้ทุกอย่าง!!"
"สุดยอดวิทยาการจริงๆ ขอรับ!!" สถาพรกล่าวแล้วยกนิ้วหัวแม่มือชูขึ้น
"ขอบคุณที่ชม ท่านวิศวกร...เอาละ! อย่ามัวเสียเวลา!!" แอตลาสกล่าวตัดบท "ตอนนี้ พวกท่านทุกคนไปขึ้นยาน ทั้งสามลำที่มากันนั่นแหละ! แล้วอีกสักครู่..ข้าจะดูดพวกท่านเข้ามาในยาน..ก็คือในตัวข้านี่แหละ จากนั้นก็จะพาไปยังที่กบดานของข้า ซึ่งพวกท่านบางคนเคยไปมาแล้ว"
ครั้นพูดจบ แอตลาสก็หยุดนิ่งรอคอยอยู่ ส่วนดวงตาและริมฝีปากที่ปรากฏสลายหายไป ผิวยานปรากฏเป็นผิวเรียบของโลหะมันวาววับตามเดิม!
"ไปครับ ทุกคน ไปขึ้นยานกัน" กัปตันบอกกับทุกคนโดยกล่าวทั้งภาษาไทยและภาษาแอตแลนเชี่ยน ก่อนที่ตนเองจะเดินนำหน้าตรงไปยังยาน THE FUGITIVE สมาชิกส่วนใหญ่ตามเขาขึ้นยานไป มีบางส่วนขึ้นยาน SAVIOR FALCON ของสถาพร ส่วนพวกคนฝ่ายเหนือนำโดยอิบิคัสก็ขึ้นยานที่ท่านเจ้าเมืองขับมาเองลำนั้น แล้วยานทั้งสามลำก็บินสูงขึ้นจากพื้นดิน ไปลอยตัวนิ่งเรียงกันอยู่ใต้ท้องยานแอตลาส หรือจะกล่าวว่าใต้ตัวของแอตลาสก็ไม่ผิด จากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ยานทั้งสามก็ถูกดูดด้วยพลังเทเลพอร์เทชั่นหายวูบเข้าไปภายใน "ท้อง" ของแอตลาสจนหมด แล้วจานบินยักษ์ก็หายวับไปในพริบตา ไปปรากฏอีกทีหนึ่งภายในถ้ำมืดมิด อันเป็นแหล่งกบดานอย่างลับๆของแอตลาส ที่นางลิงเผือกปุยเมฆเคยพาสามชิกบางคนเข้าไปในครั้งก่อนนั่นเอง!
"พวกท่าน คิดจะทำประการใดต่อไป หลังจากนี้ ?" แอตลาสถามหลังจากส่งร่างซึ่งเป็นเลเซอร์โฮโลแกรมออกมาจากศูนย์กลางส่วนควบคุมสมองกลภายในยานเพื่อพูดคุยกับทุกๆ คนโดยสะดวก แล้วเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องใหญ่ห้องหนึ่งภายในยานเพื่อประชุมปรึกษาหารือกัน กลางห้องมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่พร้อมที่นั่งรองรับคนได้ทั้งหมด มีช่องทางเดินเข้าไปสู่บริเวณตรงกลางโต๊ะซึ่งถูกออกแบบไว้เป็นพื้นที่ว่างรูปวงกลม และทุกคนนั่งลงพร้อมเพรียงกันเรียบร้อยดีแล้ว
"ข้าคิดว่า พวกเราต้องรวบรวมสมัครพรรคพวกให้ได้มากที่สุดก่อน จากนั้นช่วยกันเร่งสร้างยานรบ และวางแผนกลับเข้าเมืองโลโคเทีย เพื่อบุกยึดเอาเมืองของเราคืนมาให้ได้ก่อน" ผู้เฒ่าไดโอเซนัสเริ่มกล่าววางแผน
"ถัดจากนั้น...เราจะบุกยึดรัฐทางเหนือทุกรัฐกลับคืนมา เมื่อได้รัฐทางเหนือครบหมดแล้ว ก็ส่งทัพใหญ่บุกทางใต้" จักรพรรดิเนรอสกล่าวต่อ
"ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจำต้องเปลี่ยนที่นี่ ให้เป็นฐานปฏิบัติการลับ" แอตลาสกล่าว
"ใช่ขอรับ ท่านเทพ" ไดโอเซนัสก้มศีรษะตอบ
"งานนี้งานใหญ่ คงต้องใช้เวลาหน่อย ภายในถ้ำนี้เป็นที่เร้นลับดีมาก และมีท่านแอตลาสอยู่ด้วย พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกศัตรู ไม่ว่าจะหน้าไหนทั้งนั้น ไม่มีใครกล้าบุกมาท้าทายถึงถิ่นของท่านเทพแอตลาสแน่นอน!" สถาพรว่า
"ข้าปกป้องพวกท่านได้อยู่ ไม่มีปัญหา...เพื่อนๆ ของข้าก็เหมือนกัน" แอตลาสกล่าวอย่างมีเลศนัย "..เพียงเป็นยามรักษาการ ไม่ให้พวกท่านได้รับภยันตรายใดๆ เท่านั้นนะ...สิ่งที่ข้าและพวกข้าจะทำ มีเพียงเท่านี้"
"ความหมายของท่านคือ..." กัปตันกล่าว เว้นระยะนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป "...ในส่วนของการรวบรวมผู้คนก็ดี การสร้างยานรบเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมการรบก็ดี พวกเราต้องช่วยตัวเอง! อย่างนั้น ใช่ไหมขอรับ ?"
"ถูกต้อง!" เสียงห้าวๆ ของชายอีกผู้หนึ่งดังมาจากมุมหนึ่งภายในห้อง แล้วเขาก็เดินเข้ามาตรงกลางโต๊ะเพื่ออยู่ร่วมกับแอตลาส เป็นผู้มีร่างกายกำยำล่ำสันแต่งตัวเหมือนนักรบ และสหายผู้หนึ่งซึ่งมีรูปร่างแบบเดียวกัน แต่งกายในชุดเหมือนนักรบเช่นกัน เดินตามมาด้วย
"ท่านโพเซดอน! ท่านเซอุส !" หลายคนเปล่งเสียงทักทาย
"สวัสดี ทุกๆ คน" โพเซดอนกล่าวตอบพลางขยับด้ามอาวุธตรีศูลส่งประกายแสงตลอดเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ประจำกายไปมา
"สวัสดี ชาวโลก และชาวเนโอโซรอสด้วย!" เซอุสกล่าวตามมา ประโยคหลังกล่าวพลางแลมองเอ็มม่า "ท่านคงคุ้นเคยกับการใช้ร่างมนุษย์แล้วสินะ!"
"เอ้อ...ใช่เจ้าค่ะ ท่านเซอุส" คุณแม่ต่างดาวพยักหน้า
"ได้แปลงกลับร่างเดิมบ้างไหมเนี่ย ?" โพเซดอนถาม
"นานๆ ครั้งเจ้าค่ะ แต่ร่างนั้นไม่สะดวกหลายอย่าง ร่างมนุษย์เยี่ยงนี้ สะดวกกว่ากันเยอะเลยเจ้าค่ะ"
"ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น..." แอตลาสกล่าวบ้าง "ขืนให้ท่าน ผ.บ.หญิงแห่งกองทัพอวกาศจากเนโอโซรอสใช้ร่างจริงอยู่กับวันชนะ คงลำบากในยามที่จะทำการปรนนิบัติเขา...เยี่ยงภรรยา!"
คุณแม่ต่างดาวยิ้มแป้น กัปตันและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกขำกับการเล่นมุกของแอตลาสจนอดยิ้มไม่ได้ แต่สถาพรออกอาการมากกว่าเพื่อนคือหลุดเสียงขำดังพรืดออกจากลำคอ! พลางนึกในใจ " แอตลาสนี่ ไม่ธรรมดาว่ะ! พอได้เลย !!!" แล้วก็ถึงกาลสุดจะกลั้นจนต้องรีบยกมือปิดปาก! เมื่อได้ยินคำโต้ตอบด้วยหน้าเปื้อนยิ้มของเอ็มม่า
"ลำบากแน่นอนเจ้าค่ะ! เพราะช่องทางแห่งกระบวนการเพื่อการข้ามสายพันธ์ุโดยธรรมชาติ คงจะคับแคบเกินไป !!"
(ต่อครับ) ^^
💫🕛💫🚀 แดนศิวิไลซ์ ( หลงกาล ภาค 2 ) ตอนที่ 52 🚀💫🕛💫
กัปตันวันชนะและชาวคณะ พร้อมกับกลุ่มบุคคลชาวแอตแลนติสเหนือ หนีจากที่ทำการศาลทวีปกลับมาสู่เกาะนิรนาม บ้านเก่าของผู้เฒ่าไดโอเซนัสอีกครั้งเพื่อถอยมาตั้งหลักกันใหม่ หลังจากผลการตัดสินชี้ขาดองค์จักรพรรดิได้ถูกตัดสินในท้ายที่สุดโดยการเลือกของเทพพยากรณ์ออเรเคิลเอง สร้างความแค้นใจแก่แทบทุกคน และทันทีที่ออเรเคิลประกาศคำตัดสินอันเป็นเหมือนคำตัดสินชะตาตัวเองและคนอื่นๆ ไปด้วยพร้อมกัน เหล่าทหารฝ่ายใต้ก็ได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิตัวปลอมซึ่งร่างจริงเป็นอสูรต่างดาวเร็พไทเลี่ยนและออเรเคิลเองด้วยให้เข่นฆ่าทุกคนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์หรือยอมจำนน แอนดี้ซึ่งขับยาน THE FUGITIVE คอยดูสถานการณ์อยู่แล้วจึงใช้เทคโนโลยีเทเลพอร์ตดูดทุกคนขึ้นยานแล้วหนีมา...
ปล่อยให้ชาวแอตแลนติสเหนือคนอื่นๆ ถูกจับกุมคุมขัง พวกที่ขัดขืนต่อสู้ก็ถูกสังหารโดยเหล่าทหารฝ่ายใต้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นชาวเร็พไทเลี่ยนแปลงตัวมา!!
เป็นสถานการณ์คับขัน! ที่กัปตันและเหล่าสหายไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้ เพราะขืนสู้ก็มีแต่จะพ่ายแพ้ โอกาสชนะแทบจะไม่มีเพราะพวกตนถูกล้อมไว้หมดแล้ว จึงจำเป็นต้องหนีมาตั้งหลักก่อนแล้วค่อยหาหนทางแก้ในภายหลัง...ซึ่งกัปตันและทุกๆ คนหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องกลับไปแก้ไขแน่นอน อิสรภาพและเสรีภาพของชาวแอตแลนติสต้องได้กลับมา อย่างน้อยที่สุดก็คือชาวเหนือ
เมื่อมาถึงเกาะนิรนามกันแล้ว กัปตันวันชนะแสดงความเห็นว่า ถึงแม้ว่าที่นี่คือเกาะนิรนาม แต่ว่า ออเรเคิลเป็นผู้รู้พิกัดที่ตั้งของเกาะนี้และนางอาจส่งกองกำลังตามมาเพื่อกำจัดเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ควรพักอยู่ ณ ที่ใดๆ บนเกาะ ซึ่งอาจถูกค้นหาจนพบได้ สมควรจะมีสถานที่ลับสักแห่งหนึ่ง
"ข้าเห็นว่ามีที่หนึ่ง ซึ่งเหมาะสมที่สุด และเป็นที่ลับมากที่สุด ซึ่งพวกนั้นไม่ล่วงรู้แน่นอน ต่อให้รู้ ก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปเป็นแน่!!" ไดโอเซนัสกล่าว
"อาจารย์ปู่คงหมายถึง...ที่เก็บยานของท่านแอตลาสกระมังขอรับ ?" กัปตันถาม
"ใช่แล้ว ท่านวันชนะ" ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าหงึก
"จริงด้วยเจ้าค่ะ" แม่หมอฟรีด้ากล่าวเสริม "พวกเราเคยเข้าไปเยี่ยมท่านถึงที่นั่นมาแล้วในตอนที่เจ้าปุยเมฆไม่สบายแล้วมันช่วยพาเราไปจนเจอที่นั่น จึงได้พบและรู้จักกับท่านเทพ"
"แน่นอนที่สุดว่า พวกกะปอมต่างดาวนรกเหล่านั้น ไม่กล้ามาบุกรุกแน่นอน! เพราะพวกมันมาจากคนละดาว คนละจักรวาล!" หนุ่มแซมกล่าว
"คนละแกแล็กซี่ด้วยซ้ำ!" มหาเอกเสริม "ไอ้พวกนั้นมันอยู่ร่วมกับพวกเราในแกแล็กซี่ทางช้างเผือกนี่แหละ แต่ท่านแอตลาส โพเซดอน และเซอุส มาจากแกแลคซี่แอนโดรเมด้า!"
"วิทยาการของพวกเขาคงก้าวหน้าไปไกลสุดกู่ ถึงขนาดเดินทางข้ามแกแล็กซี่..." สาวจอยกล่าวเหมือนรำพึงกับตัวเอง
"ที่รัก...คุณคิดว่า วิทยาการของดาวเนโอโซรอสที่คุณจากมา พอจะเทียบเคียงกับดาวของสามคนนั่นในแกแล็กซี่แอนโดรเมด้าได้ไหม ?" กัปตันหันไปถามเอ็มม่า
"อืม...พวกเขาต้องไม่ด้อยกว่าพวกของเราแน่ค่ะที่รัก" คุณแม่ต่างดาวทำท่าขบคิดแล้วตอบ "ฉันรู้สึกว่าพวกเราตามหลังพวกเขาอยู่บ้างเหมือนกัน ดูจากการที่แอตลาส ซึ่งอันที่จริงไม่มีร่างกายแล้วเพราะตายไปตั้งแสนกว่าปี แต่สามารถผนวกจิตวิญญาณเข้ากลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับยานของเขาได้ ทำให้เขาเป็นอมตะ! จะว่าเขาตายไปแล้วก็ว่าไม่ได้ เพราะเขาสามารถมาปรากฏให้ทุกคนเห็นเมื่อไรก็ได้"
"อ่า...ยานของแอตลาส มันไม่ใช่เป็นแบบ Haunted Spacecraft หรือครับ ?" ยูไล เกลเลอร์ถามแบบงงๆ
"ไม่ใช่หรอก พี่ยูไล" สาวแอนนาตอบแย้งทันที "เพราะถ้าเป็นยานผีสิง ก็แปลว่า วิญญาณของแอตลาสสิงอยู่เฉยๆ และการปรากฏตัวของวิญญาณจะปรากฏตัวเองแบบชัดบ้างไม่ชัดบ้าง และวิญญาณต้องใช้พลังงานเป็นอันมากในการเคลื่อนย้ายวัตถุ แค่สิ่งของทั่วไปก็เหนื่อยแล้ว แต่นี่...ยานบินขนาดยักษ์ทั้งลำ! เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับยาน ยานคือเขา เขาคือยาน ยานบิน ก็คือเขาเองนั่นแหละบิน! และเวลาที่เขาสื่อสารกับพวกเราที่ผ่านมา เขาเลือกใช้การปล่อยเลเซอร์โฮโลแกรมมาคุยกับพวกเรา ซึ่งเป็นขั้นเทพสุดๆ "
"ผี หรือวิญญาณในโลกนี้ สร้างเลเซอร์โฮโลแกรมไม่ได้หรอกครับ" หนุ่มแซมพูดแล้วหัวเราะหึๆ
"โอเค!" กัปตันสรุป "งั้นพวกเรา ไปหาแอตลาสกัน แต่คงต้องให้เจ้าปุยเมฆนำทางไปแล้วสิ"
"ไม่ต้องลำบากถึงปานนั้นดอก!!" เสียงหนึ่งก้องกังวานลงมาจากฟ้าเบื้องบน ทำให้ทุกคนแหงนหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน
เป็นแอตลาส ผู้เป็นหนึ่งเดียวกับจานบินสีดำขนาดมหึมาลำเดิมนั่นเอง! ยานนั้นเปิดแสงสว่างจ้าออกมาสองดวงบริเวณข้างยาน มองดูเหมือนกับดวงตาคนขนาดยักษ์กำลังจ้องมองทุกคนอยู่ คนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนถึงกับผวาเฮือกขนลุกซู่ แม้คนที่เคยเห็นและรู้ว่านั่นคือแอตลาส บางคนก็ยังอดรู้สึกครั่นคร้ามหวั่นระทึกเสียมิได้ แม้กระทั่งกัปตันเองก็รู้สึกตื่นเต้นกับลักษณะการปรากฏตัวของแอตลาสในคราวนี้บ้างเหมือนกัน
"นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นท่านเทพแอตลาส ป่านนี้ พวกเราคงขวัญหนีดีฝ่อ โกยอ้าวกันป่าราบไปแล้วแน่ๆ!" สถาพรกล่าววิจารณ์ แล้วตะโกนทักทายขึ้นไป
"สวัสดีท่านแอตลาส ช่างมาได้พอเหมาะพอเจาะ สมควรแก่กาลแท้ !!"
"สวัสดี ทุกๆ ท่าน" แอตลาสตอบ แล้วฉับพลันนั้นบริเวณใกล้ขอบยานใต้ดวงตาคู่นั้นก็นูนขึ้นฟอร์มเป็นรูปริมฝีปากของมนุษย์อย่างชัดเจน ในขณะที่ดวงตาคู่นั้นก็ปรากฏมีส่วนขาวส่วนดำเยี่ยงตามนุษย์สามัญทั่วไป แถมมีขนตากะพริบเป็นครั้งคราวเสียด้วย!
"โอย...ท่านเทพเจ้าคะ..." แม่หมอฟรีด้ากล่าวพลางยกสองมือทาบอก "การปรากฏของท่านในครั้งนี้ ดูน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเสียเหลือเกิน! หากมิได้อยู่ร่วมกับเหล่าสหาย ข้าคงคิดว่าได้พบกับปีศาจเป็นแน่แท้ !!"
"หึหึ.." แอตลาสส่งเสียงหัวเราะ ซึ่งฟังดูทั้งนุ่มนวลทั้งน่ากลัวพิลึกในยามนี้! "ถึงขนาดนั้นเทียวรึ ? ฟรีด้า และท่านทั้งหลาย...ข้านึกไม่ถึงเลยว่า การปรากฏของข้าพร้อมกับยานในลักษณะนี้ จะน่ากลัวสำหรับพวกท่าน!"
"นี่เป็นสุดยอดวิทยาการจริงๆ ขอรับ คงยากมากๆ สำหรับพวกเราชาวโลกที่จะเข้าใจและเจริญรอยตามได้!" สถาพรว่า
"มันก็...ไม่ถึงขนาดนั้นดอก...ท่านวิศวกร.." แอตลาสตอบแล้วยิ้ม "...พวกท่านที่มาจากอนาคตของเวลาแห่งแอตแลนติส จากหมื่นกว่าปีนับจากนี้ ก็ได้เคยศึกษาวิทยาการ...ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ หลักการของนักปราชญ์อัจฉริยะผู้หาได้ยากคนหนึ่ง ผู้เคยกล่าวว่า สสาร และพลังงาน สามารถแปรผันสลับกันได้ ซึ่งเขียนบันทึกเป็นสูตรให้พวกท่านได้เรียนมาแล้วว่า อี เท่ากับ เอ็มซี ยกกำลังสอง!"
"อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ !!" หลายคนอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตื่นเต้น
"ท่าน...ท่านรู้จักเขาด้วยหรือเจ้าคะ ?" รัชนีสาวแฝดผู้พี่ถามด้วยความสุดทึ่ง คนอื่นก็รู้สึกไม่ต่างกัน
"รู้จักซี่..."
"ท่านแอตลาส...ท่านคงจะ...ได้ท่องไปในกาลเวลาแห่งอนาคตมา และคงได้บันทึกสิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นมาแน่ๆ" กัปตันพูดเป็นเชิงถาม
"ใช่แล้ว ท่านวันชนะ" จานบินยักษ์ทำท่าพยักหน้า คือขยับตัวลงแล้วขึ้น "หลักการนั้นแหละ...ที่ข้าปรับใช้กับยานลำนี้ โดยตั้งระบบคำสั่ง หรือที่ท่านใช้คำว่า 'โปรแกรม' ไว้ล่วงหน้า ทันทีที่ร่างกายของข้าหมดลมหายใจ จิตวิญญาณก็พุ่งเข้าสู่ระบบคำสั่งที่ตั้งไว้รอท่าทันที วิญญาณซึ่งนับเป็นพลังงานจึงแปรสภาพเป็นสสารอย่างหนึ่งแทรกซึมซับทุกส่วนของยานลำนี้แล้วกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงสามารถบังคับยานลำนี้ให้เปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะใดๆ ก็ได้ตามความปรารถนา และเรียกใช้งานมันได้ทุกอย่าง!!"
"สุดยอดวิทยาการจริงๆ ขอรับ!!" สถาพรกล่าวแล้วยกนิ้วหัวแม่มือชูขึ้น
"ขอบคุณที่ชม ท่านวิศวกร...เอาละ! อย่ามัวเสียเวลา!!" แอตลาสกล่าวตัดบท "ตอนนี้ พวกท่านทุกคนไปขึ้นยาน ทั้งสามลำที่มากันนั่นแหละ! แล้วอีกสักครู่..ข้าจะดูดพวกท่านเข้ามาในยาน..ก็คือในตัวข้านี่แหละ จากนั้นก็จะพาไปยังที่กบดานของข้า ซึ่งพวกท่านบางคนเคยไปมาแล้ว"
ครั้นพูดจบ แอตลาสก็หยุดนิ่งรอคอยอยู่ ส่วนดวงตาและริมฝีปากที่ปรากฏสลายหายไป ผิวยานปรากฏเป็นผิวเรียบของโลหะมันวาววับตามเดิม!
"ไปครับ ทุกคน ไปขึ้นยานกัน" กัปตันบอกกับทุกคนโดยกล่าวทั้งภาษาไทยและภาษาแอตแลนเชี่ยน ก่อนที่ตนเองจะเดินนำหน้าตรงไปยังยาน THE FUGITIVE สมาชิกส่วนใหญ่ตามเขาขึ้นยานไป มีบางส่วนขึ้นยาน SAVIOR FALCON ของสถาพร ส่วนพวกคนฝ่ายเหนือนำโดยอิบิคัสก็ขึ้นยานที่ท่านเจ้าเมืองขับมาเองลำนั้น แล้วยานทั้งสามลำก็บินสูงขึ้นจากพื้นดิน ไปลอยตัวนิ่งเรียงกันอยู่ใต้ท้องยานแอตลาส หรือจะกล่าวว่าใต้ตัวของแอตลาสก็ไม่ผิด จากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ยานทั้งสามก็ถูกดูดด้วยพลังเทเลพอร์เทชั่นหายวูบเข้าไปภายใน "ท้อง" ของแอตลาสจนหมด แล้วจานบินยักษ์ก็หายวับไปในพริบตา ไปปรากฏอีกทีหนึ่งภายในถ้ำมืดมิด อันเป็นแหล่งกบดานอย่างลับๆของแอตลาส ที่นางลิงเผือกปุยเมฆเคยพาสามชิกบางคนเข้าไปในครั้งก่อนนั่นเอง!
"พวกท่าน คิดจะทำประการใดต่อไป หลังจากนี้ ?" แอตลาสถามหลังจากส่งร่างซึ่งเป็นเลเซอร์โฮโลแกรมออกมาจากศูนย์กลางส่วนควบคุมสมองกลภายในยานเพื่อพูดคุยกับทุกๆ คนโดยสะดวก แล้วเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องใหญ่ห้องหนึ่งภายในยานเพื่อประชุมปรึกษาหารือกัน กลางห้องมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่พร้อมที่นั่งรองรับคนได้ทั้งหมด มีช่องทางเดินเข้าไปสู่บริเวณตรงกลางโต๊ะซึ่งถูกออกแบบไว้เป็นพื้นที่ว่างรูปวงกลม และทุกคนนั่งลงพร้อมเพรียงกันเรียบร้อยดีแล้ว
"ข้าคิดว่า พวกเราต้องรวบรวมสมัครพรรคพวกให้ได้มากที่สุดก่อน จากนั้นช่วยกันเร่งสร้างยานรบ และวางแผนกลับเข้าเมืองโลโคเทีย เพื่อบุกยึดเอาเมืองของเราคืนมาให้ได้ก่อน" ผู้เฒ่าไดโอเซนัสเริ่มกล่าววางแผน
"ถัดจากนั้น...เราจะบุกยึดรัฐทางเหนือทุกรัฐกลับคืนมา เมื่อได้รัฐทางเหนือครบหมดแล้ว ก็ส่งทัพใหญ่บุกทางใต้" จักรพรรดิเนรอสกล่าวต่อ
"ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจำต้องเปลี่ยนที่นี่ ให้เป็นฐานปฏิบัติการลับ" แอตลาสกล่าว
"ใช่ขอรับ ท่านเทพ" ไดโอเซนัสก้มศีรษะตอบ
"งานนี้งานใหญ่ คงต้องใช้เวลาหน่อย ภายในถ้ำนี้เป็นที่เร้นลับดีมาก และมีท่านแอตลาสอยู่ด้วย พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกศัตรู ไม่ว่าจะหน้าไหนทั้งนั้น ไม่มีใครกล้าบุกมาท้าทายถึงถิ่นของท่านเทพแอตลาสแน่นอน!" สถาพรว่า
"ข้าปกป้องพวกท่านได้อยู่ ไม่มีปัญหา...เพื่อนๆ ของข้าก็เหมือนกัน" แอตลาสกล่าวอย่างมีเลศนัย "..เพียงเป็นยามรักษาการ ไม่ให้พวกท่านได้รับภยันตรายใดๆ เท่านั้นนะ...สิ่งที่ข้าและพวกข้าจะทำ มีเพียงเท่านี้"
"ความหมายของท่านคือ..." กัปตันกล่าว เว้นระยะนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป "...ในส่วนของการรวบรวมผู้คนก็ดี การสร้างยานรบเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมการรบก็ดี พวกเราต้องช่วยตัวเอง! อย่างนั้น ใช่ไหมขอรับ ?"
"ถูกต้อง!" เสียงห้าวๆ ของชายอีกผู้หนึ่งดังมาจากมุมหนึ่งภายในห้อง แล้วเขาก็เดินเข้ามาตรงกลางโต๊ะเพื่ออยู่ร่วมกับแอตลาส เป็นผู้มีร่างกายกำยำล่ำสันแต่งตัวเหมือนนักรบ และสหายผู้หนึ่งซึ่งมีรูปร่างแบบเดียวกัน แต่งกายในชุดเหมือนนักรบเช่นกัน เดินตามมาด้วย
"ท่านโพเซดอน! ท่านเซอุส !" หลายคนเปล่งเสียงทักทาย
"สวัสดี ทุกๆ คน" โพเซดอนกล่าวตอบพลางขยับด้ามอาวุธตรีศูลส่งประกายแสงตลอดเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ประจำกายไปมา
"สวัสดี ชาวโลก และชาวเนโอโซรอสด้วย!" เซอุสกล่าวตามมา ประโยคหลังกล่าวพลางแลมองเอ็มม่า "ท่านคงคุ้นเคยกับการใช้ร่างมนุษย์แล้วสินะ!"
"เอ้อ...ใช่เจ้าค่ะ ท่านเซอุส" คุณแม่ต่างดาวพยักหน้า
"ได้แปลงกลับร่างเดิมบ้างไหมเนี่ย ?" โพเซดอนถาม
"นานๆ ครั้งเจ้าค่ะ แต่ร่างนั้นไม่สะดวกหลายอย่าง ร่างมนุษย์เยี่ยงนี้ สะดวกกว่ากันเยอะเลยเจ้าค่ะ"
"ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น..." แอตลาสกล่าวบ้าง "ขืนให้ท่าน ผ.บ.หญิงแห่งกองทัพอวกาศจากเนโอโซรอสใช้ร่างจริงอยู่กับวันชนะ คงลำบากในยามที่จะทำการปรนนิบัติเขา...เยี่ยงภรรยา!"
คุณแม่ต่างดาวยิ้มแป้น กัปตันและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกขำกับการเล่นมุกของแอตลาสจนอดยิ้มไม่ได้ แต่สถาพรออกอาการมากกว่าเพื่อนคือหลุดเสียงขำดังพรืดออกจากลำคอ! พลางนึกในใจ " แอตลาสนี่ ไม่ธรรมดาว่ะ! พอได้เลย !!!" แล้วก็ถึงกาลสุดจะกลั้นจนต้องรีบยกมือปิดปาก! เมื่อได้ยินคำโต้ตอบด้วยหน้าเปื้อนยิ้มของเอ็มม่า
"ลำบากแน่นอนเจ้าค่ะ! เพราะช่องทางแห่งกระบวนการเพื่อการข้ามสายพันธ์ุโดยธรรมชาติ คงจะคับแคบเกินไป !!"
(ต่อครับ) ^^