จาก ปสก ตัวเองที่ครั้งหนึ่งก็เคยโดนบูลลี่ พอแจ้งครู แต่สิ่งที่ครูทำคือบอกว่า ให้อดทนเอานะ ให้คิดซะว่าอนาคตเรายังต้องเจอหนักกว่านี้ ถือว่าวันนี้เราฝึกความเข้มแข็ง ความอดทนของเรานะ ถามจริงๆ นะ เราจำเป็นต้องอดทนกับเรื่องอะไรแบบนี้จริงๆ เหรอ? เราเคยคิดว่าชีวิตในช่วงมัธยมมันควรเป็นอะไรที่สดใสมากๆ เลยนะ แต่ในความเป็นจริงสำหรับเรามันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก เราต้องทนเป็นปีๆ กว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้ แค่พอนึกย้อนกลับไป ความทรงจำแย่ๆ พวกนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนและทำให้เรารู้สึกแย่ทุกครั้งที่นึกถึงวันเก่าๆ
จุดเริ่มต้นของเรื่อง เริ่มขึ้นเมื่อตอนเราอยู่ ม.ปลาย เพราะเพื่อนในกลุ่มช่วง ม.ต้น ย้ายไปเรียนต่อกันที่โรงเรียนในตัวจังหวัดหมดทั้งกลุ่มยกเว้นเรา เราก็เป็นคนนึงที่สอบติดนะแต่เพราะพ่อกับแม่มองว่าเรายังเด็ก ไม่อยากให้ออกจากบ้านไปอยู่หอ ขอร้องให้เรียนอยู่บ้าน เราเลยได้เรียนต่อที่เดิม พอขึ้น ม.ปลาย เราเลยพยายามหากลุ่มเพื่อนใหม่ หลายคนมาจากห้องอื่นและจับกลุ่มกันมาตั้งแต่สมัย ม.ต้น เพราะอยู่ห้องเดียวกันมาก่อน ทำให้การที่เราจะเข้าไปอยู่กลุ่มกับพวกเค้าก็ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน เพราะอยากจะสนิทด้วย ตอนเที่ยงงี้เราก็ขอไปกินข้าวด้วย เวลานั่งเรียนเราก็พยายามไปนั่งเป็นกลุ่มกับเค้า แต่ไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน เค้าถึงไม่เปิดรับเราเลย คือมองว่าเป็นเพื่อนในห้องแหละแต่ก็ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มเค้า และสุดท้ายเราก็ทำได้แค่เปลี่ยนกลุ่มอยู่ไปเรื่อยๆ เรากลายเป็นคนไม่มีเพื่อนสนิท เวลามีปัญหาหรืออะไรก็ไม่ค่อยมีคนให้คำปรึกษา เวลาทำงานกลุ่มหรือคู่ เราค่อนข้างจะลำบากแต่เราก็พยายามไม่คิดอะไรมาก ถ้ามันไม่กระทบอะไรกับการเรียน เราก็แค่พยายามตั้งใจเรียนต่อไปก็พอ
แต่เรื่องมันก็มาเกิด เพราะในกลุ่มเพื่อนที่เค้าไม่เปิดรับเราในตอนแรก เริ่มมาหาเรื่องและบูลลี่เราบ่อยขึ้น เพียงเพราะมีเพื่อน ผญ คนนึงในกลุ่มแอบชอบเพื่อน ผช ในห้องคนนึงที่มาสนิทกับเราช่วงที่เราไม่ค่อยมีเพื่อน โดยพฤติกรรมของเพื่อน ผญ กลุ่มนี้คือ ไปสารภาพรักกับเพื่อน ผช แต่เค้าให้เป็นได้แค่เพื่อน ซื้อของขวัญราคาแพงๆ ให้หลายครั้งและทุกครั้งพอเพื่อน ผช ไม่รับก็จะมาลงด้วยการตามหึงหวงรังควานคนอื่นที่เข้าใกล้เพื่อน ผช คนนี้แทน เรากับเพื่อน ผช คนนี้สนิทกันด้วยความเป็นเพื่อนกันจริงๆ เพราะชอบการ์ตูนกับเล่นเกมส์เหมือนกันเลยคุยกันได้ไม่ลำบากมาก ไม่มีเชิงชู้สาวเลยแต่พอเกิดเรื่องขึ้น เราถึงขั้นขอร้องว่าปล่อยเราอยู่คนเดียวเถอะ อย่ามานั่งใกล้ๆ เรา หรือคุยกับเราเลย เราไม่อยากมีปัญหากับเพื่อน ผญ กลุ่มนี้
ถามว่าอึดอัดมั้ย? มันอึดอัดมากนะ เรารู้สึกแย่นะ เพราะเรากับเพื่อน ผช คนนั้นก็ไม่ได้ผิดใจกันแต่ต้องมาห้ามคุยกัน ห้ามรู้จักกัน ห้ามสนิทกันเพราะความไร้เหตุผลของ ผญ คนนึงและกลุ่มเพื่อนๆ ของเค้า สิ่งที่เราโดนจากเพื่อน ผญ กลุ่มนี้ คือ โดนด่ากระทบกระแทกตลอด ด่ากลางห้องเรียนดังๆ ก็มี ด่าตรงๆ ว่ากรxหรี่ก็เคยโดนมาแล้ว เราพยายามอธิบายว่าเราไม่ได้ไปยุ่งกับเพื่อน ผช คนนั้นจริงๆ แต่ไม่มีใครฟังหรือเชื่อเรา สุดท้ายเราก็ค่อยๆ ถูกบอยคอทจากเพื่อนคนอื่นๆ จนไม่ค่อยมีใครกล้าคุยกับเรา จำได้ว่าช่วงนั้นเรากลับบ้านไปร้องไห้และปรับทุกข์กับแม่ทุกวัน เราเล่าให้แม่ฟังตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นจนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ทุกวันที่ตื่นเช้ามาเราไม่อยากตื่นไปโรงเรียนเลยพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สุดท้ายเป็นแม่เราที่ทนไม่ไหวและเอาเรื่องไปบอกพ่อ พอพ่อรู้เรื่องเราเข้า พ่อเราก็ตามมาเอาเรื่องที่โรงเรียน หลังจากนั้นครูเรียกเรากับคู่กรณีไปเคลียร์ แต่สิ่งได้จากปากของอีกฝั่งก็คือ พวกหนูไม่ได้ว่าเค้าค่ะ เค้าคิดมากไปเอง
แล้วหลังจากเหตุการณ์นั้นแทนที่ทุกอย่างจะจบ แต่มันกลับแย่ลงเรื่อยๆ เกิดการบูลลี่หนักขึ้นให้ห้องเรียน ด่าอิขี้ฟ้อง นิดๆ หน่อยๆ ก็ไปฟ้องพ่อ อุ๊ย! เราอย่าไปด่ามันมากเดี๋ยวมันไปฟ้องพ่อมันอีกนะ เพื่อนกลุ่มใหม่เราก็ปกป้องเราไม่ได้ สุดท้ายเราก็ได้แต่เงียบ ช่วงนั้นเราโกรธพ่อเรามาก ว่าทำไมต้องไปบอกครู เห็นมั้ยว่ามันแย่ลงกว่าเดิม ถ้าแค่โดนเท่าเมื่อก่อนเรายังคิดว่าเราทนได้นะอีก 3 ปีก็จบ แยกย้ายเข้ามหาลัยคงไม่เจอกันแล้ว แต่พอเรื่องมันแรงขึ้นแบบนี้ เราจะทนอยู่ถึงไหวมั้ย? แต่พ่อก็สวนเรากลับมาว่า ก็มันว่าลูกพ่อ ลูกพ่อเป็นยังไง พ่อรู้ดีแล้วจะให้พ่อทนมันโขลกสับลูกพ่ออยู่ทุกวันแบบนี้เหรอ พ่อรักลูกของพ่อ เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่เคยต้องการให้มาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ หลังจากพ่อพูดแบบนั้น เราก็เงียบไป ได้แต่คิดว่า เอาวะ! เรามาเรียนเพื่ออนาคต เพื่อพ่อแม่ เราจะไม่อ่อนแอไม่ยอมแพ้ให้กับพวกไม่มีเหตุผลแบบนี้มาทำลายชีวิต ทำลายอนาคตเราได้หรอก
แต่คิดน่ะมันคิดได้ ในความเป็นจริงเป็นเรื่องยากมากๆ กว่าเราจะผ่านแต่ละวันมาได้ จนบางวันร้องไห้ในห้องเรียน พอมากเข้าเราเดินไปบอกครู แต่สิ่งที่ครูบอกคือ ครูอยากให้เธอเข้มแข็งนะ เพราะในอนาคตครูช่วยเธอไม่ได้นะ เธอต้องเข้มแข็ง อดทนเพื่อตัวเธอเองสิ อย่าหวังแต่จะพึ่งครู เป็นอะไรที่แย่มากนะ เราใช้ชีวิต ม.ปลาย ในช่วงที่ชีวิตควรจะสดใสที่สุด อย่างหมดอะไรตายอยาก ได้แค่ทนๆ ตั้งใจเรียนไป อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าอีกนิดเดียวก็จบเข้ามหาลัยแล้ว ไม่ต้องเจอคนพวกนี้แล้ว
ชีวิตเราเริ่มดีขึ้นเมื่อขึ้นชั้น ม.5 เพราะเพื่อน ผช ที่เป็นต้นเหตุคบเป็นแฟนกับเพื่อน ผญ ที่อยู่ต่างห้อง ทำให้เพื่อนกลุ่มนั้นไม่ค่อยมาบูลลี่เรา แต่ไปหันบูลลี่เพื่อน ผญ ต่างห้องที่เป็นแฟนกับเพื่อน ผช คนนั้นแทน บางคนในกลุ่มนั้นเริ่มเชื่อสิ่งที่เราพยายามบอกมาตลอดตั้งแต่ต้นว่าเราไม่เคยคิดเกินเลยหรือแย่ง ผช ที่เพื่อนชอบเลยนะ ทำให้หลังจากนั้นบางคนในกลุ่มเริ่มมาพูดคุยกับเราบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่คนกลุ่มนี้ไม่เคยพูดกับเราเลยคือคำว่า ‘ขอโทษ’ เหมือนทุกอย่างจะจบแต่ก็ไม่ เพราะเรากับเพื่อน ผช คนนั้นแย่งเป็นตัวแทนนักเรียนพระราชทานกัน ซึ่งสำหรับเรา เรามองว่ามันเป็นเกียรติสำหรับความพยายามในฐานะนักเรียนคนนึงมากๆ เลยนะ เราถูกเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนของโรงเรียน เพราะเราเป็นเด็กเรียนดี เป็นเด็กกิจกรรมที่เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งในหลายๆ วิชาทั้งระดับภาคและระดับประเทศ เราพิสูจน์ตัวเองมาตลอดแต่สุดท้ายเราก็โดนปัดตกด้วยเหตุผลจากครูคนนึงว่าเราหน้าบึ้ง ขี้เหร่ ไม่ยิ้ม ซึ่งครูคนนั้นเป็นคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียถ้าเพื่อน ผช คนนี้ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนแทนเรา ซึ่งแน่นอนละพอผลออกมาแบบนี้ เราจากที่เคยสนิทกับเพื่อน ผช คนนี้ก็คือเกลียดกันไปเลย สาเหตุเพราะครูพยายามยกเครดิตรางวัลระดับประเทศที่เราไปแข่งชนะมาให้เป็นของเพื่อน ผช คนนี้ โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ปฏิเสธ เราที่ช่วงนั้นเริ่มทำตัวเป็นศัตรูกับเพื่อน ผช คนนี้ ก็เริ่มกลับมาถูกบูลลี่อีกเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เราไม่แคร์อะไรแล้ว ทั้งเพื่อน ทั้งครูที่โรงเรียน สิ่งที่เราจะทำต่อไปนี้เราจะทำเพื่อตัวเองเท่านั้น! เราไม่ลงแข่งหรือเป็นตัวแทนให้วิชาไหนอีกเลย เพราะครูพวกนี้หวังแต่ผลประโยชน์จากเราแต่พอเราต้องการการสนับสนุนกลับไม่เคยแม้แต่จะยื่นมือมาแม้แต่จะปกป้องเราเลยสักนิด ส่วนเพื่อนคนนั้นที่ก็อปเครดิตผลงานเราไปก็ตกรอบ ไม่ได้เป็นนักเรียนพระราชทาน อย่างที่ครูคนนั้นหวัง
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือช่วง ชั้น ม.6 ด้วยความที่ช่วงก่อนหน้านี้เราเคยเป็นเด็กกิจกรรมแข่งนั่นนี่ให้ครูมาตลอด ทำให้เกรดที่โรงเรียนเราไม่ดีเท่าเพื่อนที่ไม่เคยไปแข่งอะไรเลย แต่เวลาไปสอบอะไรที่มันนอกเหนือข้อสอบของโรงเรียน เรากลับทำได้ดีกว่าเพื่อนหลายๆ คนในห้องที่เกรดดีกว่าเรา ในที่นี้เช่นพวก gat pat เราอ่านหนังสือเตรียมตัวมาหนักมากจริงๆ ตลอด 3 ปีช่วง ม.ปลาย จนในที่สุดความอดทนและความพยายามของเราก็สำเร็จ เราสามารถสอบติด 2 คณะ คือ คณะสัตวแพทย์ที่มหาลัยแถวบ้านกับคณะวิศวะที่มหาลัย top 3 ของประเทศในกรุงเทพ แต่ปฏิกิริยาแรกที่เพื่อนให้ห้องรู้เมื่อครูประกาศว่าเราติดคณะอะไร มหาลัยอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ในห้องคือเงียบ บางคนทำหน้าไม่พอใจ บสงคนทำหน้าไม่เชื่อ แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนึงปรบมือให้กำลังใจ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนในกลุ่มเพื่อนที่บูลลี่เรามาตลอดมาขอดูคะแนน gat pat เราหน่อย เพราะไม่เขื่อว่าคนอย่างเราจะสอบติดคณะอะไรแบบนั้นได้ บอกว่าโกงบ้าง หนักหน่อยก็ดูถูกคณะและมหาลัยที่เราติดว่ารับคนเข้าเรียนต่อแบบจับฉลากเข้า
และนั้นทำให้เราที่ตอนแรกตั้งใจที่จะเลือกเรียนคณะที่มหาลัยแถวบ้าน ต้องจากบ้านไปเรียนที่กรุงเทพ เพราะไม่อยากเจอสภาพแวดล้อมจากคนพวกนี้อีก เพราะถ้าเราเลือกเรียนที่มหาลัยแถวบ้านสักวันก็ต้องเจอคนพวกนี้อีกถึงจะคนละคณะก็เถอะ แย่ไปกว่านั้นคือครูคนที่เคยดันเพื่อน ผช เป็นตัวแทนแข่งกับเราพยายามไม่ให้เราไปเรียนที่กรุงเทพ ถึงขั้นไปหาพ่อเราที่ทำงานเพื่อบอกว่า อย่าให้มันไปเรียนเลยคณะวิศวะที่กรุงเทพ มันไปเรียนมันก็ไม่จบหรอกเพราะมันยาก ให้แอดมิชชั่นใหม่เรียนคณะสายศิลป์แทนสายวิทย์คณิตสิดี ดีที่พ่อเราไม่ใส่ใจ ได้แต่บอกครูคนนั้นไปว่า ผมเคารพการตัดสินใจของลูกผม ไม่ว่าเค้าจะเลือกทางไหนผมก็พร้อมจะสนับสนุนเค้าในทุกๆ ทาง และนั้นเป็นจุดแตกหักของเรากับครูคนนั้นแบบรุนแรงแบบชนิดที่เจอหน้ากันครูคนนั้นก็ไม่มองหน้าเราส่วนเราก็ไม่ยกมือไหว้นะ
สุดท้ายช่วงปัจฉิม เพื่อน ผญ คนนั้นที่ชอบเพื่อน ผช และเป็นต้นเหตุให้เราโดนบูลลี่มาตลอด 3 ปี ก็เดินมาหาเราเพื่อบอกว่าขอโทษกับทุกอย่างที่ผ่านมานะ เพราะจะจากกันแล้วเลยไม่อยากมีเรื่องผิดใจกันอีก ใจจริงเราอยากจะให้อภัยเค้านะ แต่เราทำใจลืมกับสิ่งที่เราเจอมาตลอดไม่ได้จริงๆ กับเรามองว่าเค้าไม่ได้มาขอโทษเราเพราะรู้สึกผิดจริงๆ แต่มาขอโทษเพราะเค้าผิดกันกับเพื่อนในกลุ่มแล้วไม่มีใครคบ ประกอบกับยังสอบไม่ติดคณะไหนเลย เลยอยากจะขอโทษเพื่อความสบายใจตัวเองมากกว่า แน่นอนว่าเราตอบเค้าไปว่า รับคำขอโทษแต่เราไม่ให้อภัย ไม่ได้ต้องการความเป็นเพื่อนหรืออะไรเพราะมันช้าไปและต่อจากนี้ไปก็หวังว่าจะไม่ต้องมาเจอหน้าหรือรู้จักกันอีกนะ นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันกับ ผญ คนนี้
และนั้นเป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เราโดนบูลลี่มาตลอดช่วงชีวิตมัธยมของเรา แน่นอนว่ามันโหดร้ายสำหรับเรามากและที่สำคัญไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเราก็ไม่เคยลืมเลย พอมองย้อนกลับไปรู้สึกอยากขอบคุณพ่อกับแม่มากๆ ที่อยู่ข้างๆ หนูมาตลอดและขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้คนแย่ๆ แบบนั้น ส่วนชีวิตในปัจจุบันเวลากลับไปเยี่ยมที่บ้าน เราก็ไม่เคยไปแวะโรงเรียนหรือทักทายคนกลุ่มนี้เลย เราไม่อยากไปยุ่งหรือสุงสิงด้วยเพราะเราถีบตัวเองออกมาไกลมากจนคนพวกนี้ไม่สามารถปีนตามเรามาได้แล้ว เรามีชีวิตที่ดีกว่าพวกเค้ามากๆ แล้วในตอนนี้เราทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทต่างชาติ ซื้อคอนโดอยู่ที่กรุงเทพ ไปเที่ยวต่างประเทศบ้างบางครั้ง ดูแลพ่อแม่จนเค้าสบายแล้ว ในขณะที่กลุ่มนั้นบางคนพอเห็นเราได้ดีก็พยายามแอดแฟรนในเฟสมานะซึ่งเราไม่รับ อย่ามารู้จักกันเลย
เพราะงั้นคนที่โดนบูลลี่อยู่ตอนนี้และได้อ่าน พวกคุณทุกคนอย่าได้ยอมแพ้ต่อคนแย่ๆ พวกนั้นนะ เราผ่านจุดนั้รมาได้ คุณก็ต้องผ่านไปได้เหมือนกัน ถ้าไม่มีใครให้กำลังใจคุณ ขอให้รู้ว่าเราคนนึงที่เป็นกำลังใจให้คุณ สู้ๆ นะ รักตัวเองให้มากๆ และอย่ายอมแพ้ละ
Most of people are bullied because they’re better than the bully who bullied them.
แชร์ประสบการณ์บูลลี่ที่อยากให้คนที่ชอบบูลลี่คนอื่นอ่านจะได้รู้ว่าคุณมันก็แค่ Loser คนนึง
จุดเริ่มต้นของเรื่อง เริ่มขึ้นเมื่อตอนเราอยู่ ม.ปลาย เพราะเพื่อนในกลุ่มช่วง ม.ต้น ย้ายไปเรียนต่อกันที่โรงเรียนในตัวจังหวัดหมดทั้งกลุ่มยกเว้นเรา เราก็เป็นคนนึงที่สอบติดนะแต่เพราะพ่อกับแม่มองว่าเรายังเด็ก ไม่อยากให้ออกจากบ้านไปอยู่หอ ขอร้องให้เรียนอยู่บ้าน เราเลยได้เรียนต่อที่เดิม พอขึ้น ม.ปลาย เราเลยพยายามหากลุ่มเพื่อนใหม่ หลายคนมาจากห้องอื่นและจับกลุ่มกันมาตั้งแต่สมัย ม.ต้น เพราะอยู่ห้องเดียวกันมาก่อน ทำให้การที่เราจะเข้าไปอยู่กลุ่มกับพวกเค้าก็ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน เพราะอยากจะสนิทด้วย ตอนเที่ยงงี้เราก็ขอไปกินข้าวด้วย เวลานั่งเรียนเราก็พยายามไปนั่งเป็นกลุ่มกับเค้า แต่ไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน เค้าถึงไม่เปิดรับเราเลย คือมองว่าเป็นเพื่อนในห้องแหละแต่ก็ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มเค้า และสุดท้ายเราก็ทำได้แค่เปลี่ยนกลุ่มอยู่ไปเรื่อยๆ เรากลายเป็นคนไม่มีเพื่อนสนิท เวลามีปัญหาหรืออะไรก็ไม่ค่อยมีคนให้คำปรึกษา เวลาทำงานกลุ่มหรือคู่ เราค่อนข้างจะลำบากแต่เราก็พยายามไม่คิดอะไรมาก ถ้ามันไม่กระทบอะไรกับการเรียน เราก็แค่พยายามตั้งใจเรียนต่อไปก็พอ
แต่เรื่องมันก็มาเกิด เพราะในกลุ่มเพื่อนที่เค้าไม่เปิดรับเราในตอนแรก เริ่มมาหาเรื่องและบูลลี่เราบ่อยขึ้น เพียงเพราะมีเพื่อน ผญ คนนึงในกลุ่มแอบชอบเพื่อน ผช ในห้องคนนึงที่มาสนิทกับเราช่วงที่เราไม่ค่อยมีเพื่อน โดยพฤติกรรมของเพื่อน ผญ กลุ่มนี้คือ ไปสารภาพรักกับเพื่อน ผช แต่เค้าให้เป็นได้แค่เพื่อน ซื้อของขวัญราคาแพงๆ ให้หลายครั้งและทุกครั้งพอเพื่อน ผช ไม่รับก็จะมาลงด้วยการตามหึงหวงรังควานคนอื่นที่เข้าใกล้เพื่อน ผช คนนี้แทน เรากับเพื่อน ผช คนนี้สนิทกันด้วยความเป็นเพื่อนกันจริงๆ เพราะชอบการ์ตูนกับเล่นเกมส์เหมือนกันเลยคุยกันได้ไม่ลำบากมาก ไม่มีเชิงชู้สาวเลยแต่พอเกิดเรื่องขึ้น เราถึงขั้นขอร้องว่าปล่อยเราอยู่คนเดียวเถอะ อย่ามานั่งใกล้ๆ เรา หรือคุยกับเราเลย เราไม่อยากมีปัญหากับเพื่อน ผญ กลุ่มนี้
ถามว่าอึดอัดมั้ย? มันอึดอัดมากนะ เรารู้สึกแย่นะ เพราะเรากับเพื่อน ผช คนนั้นก็ไม่ได้ผิดใจกันแต่ต้องมาห้ามคุยกัน ห้ามรู้จักกัน ห้ามสนิทกันเพราะความไร้เหตุผลของ ผญ คนนึงและกลุ่มเพื่อนๆ ของเค้า สิ่งที่เราโดนจากเพื่อน ผญ กลุ่มนี้ คือ โดนด่ากระทบกระแทกตลอด ด่ากลางห้องเรียนดังๆ ก็มี ด่าตรงๆ ว่ากรxหรี่ก็เคยโดนมาแล้ว เราพยายามอธิบายว่าเราไม่ได้ไปยุ่งกับเพื่อน ผช คนนั้นจริงๆ แต่ไม่มีใครฟังหรือเชื่อเรา สุดท้ายเราก็ค่อยๆ ถูกบอยคอทจากเพื่อนคนอื่นๆ จนไม่ค่อยมีใครกล้าคุยกับเรา จำได้ว่าช่วงนั้นเรากลับบ้านไปร้องไห้และปรับทุกข์กับแม่ทุกวัน เราเล่าให้แม่ฟังตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นจนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ทุกวันที่ตื่นเช้ามาเราไม่อยากตื่นไปโรงเรียนเลยพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สุดท้ายเป็นแม่เราที่ทนไม่ไหวและเอาเรื่องไปบอกพ่อ พอพ่อรู้เรื่องเราเข้า พ่อเราก็ตามมาเอาเรื่องที่โรงเรียน หลังจากนั้นครูเรียกเรากับคู่กรณีไปเคลียร์ แต่สิ่งได้จากปากของอีกฝั่งก็คือ พวกหนูไม่ได้ว่าเค้าค่ะ เค้าคิดมากไปเอง
แล้วหลังจากเหตุการณ์นั้นแทนที่ทุกอย่างจะจบ แต่มันกลับแย่ลงเรื่อยๆ เกิดการบูลลี่หนักขึ้นให้ห้องเรียน ด่าอิขี้ฟ้อง นิดๆ หน่อยๆ ก็ไปฟ้องพ่อ อุ๊ย! เราอย่าไปด่ามันมากเดี๋ยวมันไปฟ้องพ่อมันอีกนะ เพื่อนกลุ่มใหม่เราก็ปกป้องเราไม่ได้ สุดท้ายเราก็ได้แต่เงียบ ช่วงนั้นเราโกรธพ่อเรามาก ว่าทำไมต้องไปบอกครู เห็นมั้ยว่ามันแย่ลงกว่าเดิม ถ้าแค่โดนเท่าเมื่อก่อนเรายังคิดว่าเราทนได้นะอีก 3 ปีก็จบ แยกย้ายเข้ามหาลัยคงไม่เจอกันแล้ว แต่พอเรื่องมันแรงขึ้นแบบนี้ เราจะทนอยู่ถึงไหวมั้ย? แต่พ่อก็สวนเรากลับมาว่า ก็มันว่าลูกพ่อ ลูกพ่อเป็นยังไง พ่อรู้ดีแล้วจะให้พ่อทนมันโขลกสับลูกพ่ออยู่ทุกวันแบบนี้เหรอ พ่อรักลูกของพ่อ เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่เคยต้องการให้มาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ หลังจากพ่อพูดแบบนั้น เราก็เงียบไป ได้แต่คิดว่า เอาวะ! เรามาเรียนเพื่ออนาคต เพื่อพ่อแม่ เราจะไม่อ่อนแอไม่ยอมแพ้ให้กับพวกไม่มีเหตุผลแบบนี้มาทำลายชีวิต ทำลายอนาคตเราได้หรอก
แต่คิดน่ะมันคิดได้ ในความเป็นจริงเป็นเรื่องยากมากๆ กว่าเราจะผ่านแต่ละวันมาได้ จนบางวันร้องไห้ในห้องเรียน พอมากเข้าเราเดินไปบอกครู แต่สิ่งที่ครูบอกคือ ครูอยากให้เธอเข้มแข็งนะ เพราะในอนาคตครูช่วยเธอไม่ได้นะ เธอต้องเข้มแข็ง อดทนเพื่อตัวเธอเองสิ อย่าหวังแต่จะพึ่งครู เป็นอะไรที่แย่มากนะ เราใช้ชีวิต ม.ปลาย ในช่วงที่ชีวิตควรจะสดใสที่สุด อย่างหมดอะไรตายอยาก ได้แค่ทนๆ ตั้งใจเรียนไป อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าอีกนิดเดียวก็จบเข้ามหาลัยแล้ว ไม่ต้องเจอคนพวกนี้แล้ว
ชีวิตเราเริ่มดีขึ้นเมื่อขึ้นชั้น ม.5 เพราะเพื่อน ผช ที่เป็นต้นเหตุคบเป็นแฟนกับเพื่อน ผญ ที่อยู่ต่างห้อง ทำให้เพื่อนกลุ่มนั้นไม่ค่อยมาบูลลี่เรา แต่ไปหันบูลลี่เพื่อน ผญ ต่างห้องที่เป็นแฟนกับเพื่อน ผช คนนั้นแทน บางคนในกลุ่มนั้นเริ่มเชื่อสิ่งที่เราพยายามบอกมาตลอดตั้งแต่ต้นว่าเราไม่เคยคิดเกินเลยหรือแย่ง ผช ที่เพื่อนชอบเลยนะ ทำให้หลังจากนั้นบางคนในกลุ่มเริ่มมาพูดคุยกับเราบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่คนกลุ่มนี้ไม่เคยพูดกับเราเลยคือคำว่า ‘ขอโทษ’ เหมือนทุกอย่างจะจบแต่ก็ไม่ เพราะเรากับเพื่อน ผช คนนั้นแย่งเป็นตัวแทนนักเรียนพระราชทานกัน ซึ่งสำหรับเรา เรามองว่ามันเป็นเกียรติสำหรับความพยายามในฐานะนักเรียนคนนึงมากๆ เลยนะ เราถูกเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนของโรงเรียน เพราะเราเป็นเด็กเรียนดี เป็นเด็กกิจกรรมที่เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งในหลายๆ วิชาทั้งระดับภาคและระดับประเทศ เราพิสูจน์ตัวเองมาตลอดแต่สุดท้ายเราก็โดนปัดตกด้วยเหตุผลจากครูคนนึงว่าเราหน้าบึ้ง ขี้เหร่ ไม่ยิ้ม ซึ่งครูคนนั้นเป็นคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียถ้าเพื่อน ผช คนนี้ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนแทนเรา ซึ่งแน่นอนละพอผลออกมาแบบนี้ เราจากที่เคยสนิทกับเพื่อน ผช คนนี้ก็คือเกลียดกันไปเลย สาเหตุเพราะครูพยายามยกเครดิตรางวัลระดับประเทศที่เราไปแข่งชนะมาให้เป็นของเพื่อน ผช คนนี้ โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ปฏิเสธ เราที่ช่วงนั้นเริ่มทำตัวเป็นศัตรูกับเพื่อน ผช คนนี้ ก็เริ่มกลับมาถูกบูลลี่อีกเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เราไม่แคร์อะไรแล้ว ทั้งเพื่อน ทั้งครูที่โรงเรียน สิ่งที่เราจะทำต่อไปนี้เราจะทำเพื่อตัวเองเท่านั้น! เราไม่ลงแข่งหรือเป็นตัวแทนให้วิชาไหนอีกเลย เพราะครูพวกนี้หวังแต่ผลประโยชน์จากเราแต่พอเราต้องการการสนับสนุนกลับไม่เคยแม้แต่จะยื่นมือมาแม้แต่จะปกป้องเราเลยสักนิด ส่วนเพื่อนคนนั้นที่ก็อปเครดิตผลงานเราไปก็ตกรอบ ไม่ได้เป็นนักเรียนพระราชทาน อย่างที่ครูคนนั้นหวัง
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือช่วง ชั้น ม.6 ด้วยความที่ช่วงก่อนหน้านี้เราเคยเป็นเด็กกิจกรรมแข่งนั่นนี่ให้ครูมาตลอด ทำให้เกรดที่โรงเรียนเราไม่ดีเท่าเพื่อนที่ไม่เคยไปแข่งอะไรเลย แต่เวลาไปสอบอะไรที่มันนอกเหนือข้อสอบของโรงเรียน เรากลับทำได้ดีกว่าเพื่อนหลายๆ คนในห้องที่เกรดดีกว่าเรา ในที่นี้เช่นพวก gat pat เราอ่านหนังสือเตรียมตัวมาหนักมากจริงๆ ตลอด 3 ปีช่วง ม.ปลาย จนในที่สุดความอดทนและความพยายามของเราก็สำเร็จ เราสามารถสอบติด 2 คณะ คือ คณะสัตวแพทย์ที่มหาลัยแถวบ้านกับคณะวิศวะที่มหาลัย top 3 ของประเทศในกรุงเทพ แต่ปฏิกิริยาแรกที่เพื่อนให้ห้องรู้เมื่อครูประกาศว่าเราติดคณะอะไร มหาลัยอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ในห้องคือเงียบ บางคนทำหน้าไม่พอใจ บสงคนทำหน้าไม่เชื่อ แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนึงปรบมือให้กำลังใจ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนในกลุ่มเพื่อนที่บูลลี่เรามาตลอดมาขอดูคะแนน gat pat เราหน่อย เพราะไม่เขื่อว่าคนอย่างเราจะสอบติดคณะอะไรแบบนั้นได้ บอกว่าโกงบ้าง หนักหน่อยก็ดูถูกคณะและมหาลัยที่เราติดว่ารับคนเข้าเรียนต่อแบบจับฉลากเข้า
และนั้นทำให้เราที่ตอนแรกตั้งใจที่จะเลือกเรียนคณะที่มหาลัยแถวบ้าน ต้องจากบ้านไปเรียนที่กรุงเทพ เพราะไม่อยากเจอสภาพแวดล้อมจากคนพวกนี้อีก เพราะถ้าเราเลือกเรียนที่มหาลัยแถวบ้านสักวันก็ต้องเจอคนพวกนี้อีกถึงจะคนละคณะก็เถอะ แย่ไปกว่านั้นคือครูคนที่เคยดันเพื่อน ผช เป็นตัวแทนแข่งกับเราพยายามไม่ให้เราไปเรียนที่กรุงเทพ ถึงขั้นไปหาพ่อเราที่ทำงานเพื่อบอกว่า อย่าให้มันไปเรียนเลยคณะวิศวะที่กรุงเทพ มันไปเรียนมันก็ไม่จบหรอกเพราะมันยาก ให้แอดมิชชั่นใหม่เรียนคณะสายศิลป์แทนสายวิทย์คณิตสิดี ดีที่พ่อเราไม่ใส่ใจ ได้แต่บอกครูคนนั้นไปว่า ผมเคารพการตัดสินใจของลูกผม ไม่ว่าเค้าจะเลือกทางไหนผมก็พร้อมจะสนับสนุนเค้าในทุกๆ ทาง และนั้นเป็นจุดแตกหักของเรากับครูคนนั้นแบบรุนแรงแบบชนิดที่เจอหน้ากันครูคนนั้นก็ไม่มองหน้าเราส่วนเราก็ไม่ยกมือไหว้นะ
สุดท้ายช่วงปัจฉิม เพื่อน ผญ คนนั้นที่ชอบเพื่อน ผช และเป็นต้นเหตุให้เราโดนบูลลี่มาตลอด 3 ปี ก็เดินมาหาเราเพื่อบอกว่าขอโทษกับทุกอย่างที่ผ่านมานะ เพราะจะจากกันแล้วเลยไม่อยากมีเรื่องผิดใจกันอีก ใจจริงเราอยากจะให้อภัยเค้านะ แต่เราทำใจลืมกับสิ่งที่เราเจอมาตลอดไม่ได้จริงๆ กับเรามองว่าเค้าไม่ได้มาขอโทษเราเพราะรู้สึกผิดจริงๆ แต่มาขอโทษเพราะเค้าผิดกันกับเพื่อนในกลุ่มแล้วไม่มีใครคบ ประกอบกับยังสอบไม่ติดคณะไหนเลย เลยอยากจะขอโทษเพื่อความสบายใจตัวเองมากกว่า แน่นอนว่าเราตอบเค้าไปว่า รับคำขอโทษแต่เราไม่ให้อภัย ไม่ได้ต้องการความเป็นเพื่อนหรืออะไรเพราะมันช้าไปและต่อจากนี้ไปก็หวังว่าจะไม่ต้องมาเจอหน้าหรือรู้จักกันอีกนะ นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันกับ ผญ คนนี้
และนั้นเป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เราโดนบูลลี่มาตลอดช่วงชีวิตมัธยมของเรา แน่นอนว่ามันโหดร้ายสำหรับเรามากและที่สำคัญไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเราก็ไม่เคยลืมเลย พอมองย้อนกลับไปรู้สึกอยากขอบคุณพ่อกับแม่มากๆ ที่อยู่ข้างๆ หนูมาตลอดและขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้คนแย่ๆ แบบนั้น ส่วนชีวิตในปัจจุบันเวลากลับไปเยี่ยมที่บ้าน เราก็ไม่เคยไปแวะโรงเรียนหรือทักทายคนกลุ่มนี้เลย เราไม่อยากไปยุ่งหรือสุงสิงด้วยเพราะเราถีบตัวเองออกมาไกลมากจนคนพวกนี้ไม่สามารถปีนตามเรามาได้แล้ว เรามีชีวิตที่ดีกว่าพวกเค้ามากๆ แล้วในตอนนี้เราทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทต่างชาติ ซื้อคอนโดอยู่ที่กรุงเทพ ไปเที่ยวต่างประเทศบ้างบางครั้ง ดูแลพ่อแม่จนเค้าสบายแล้ว ในขณะที่กลุ่มนั้นบางคนพอเห็นเราได้ดีก็พยายามแอดแฟรนในเฟสมานะซึ่งเราไม่รับ อย่ามารู้จักกันเลย
เพราะงั้นคนที่โดนบูลลี่อยู่ตอนนี้และได้อ่าน พวกคุณทุกคนอย่าได้ยอมแพ้ต่อคนแย่ๆ พวกนั้นนะ เราผ่านจุดนั้รมาได้ คุณก็ต้องผ่านไปได้เหมือนกัน ถ้าไม่มีใครให้กำลังใจคุณ ขอให้รู้ว่าเราคนนึงที่เป็นกำลังใจให้คุณ สู้ๆ นะ รักตัวเองให้มากๆ และอย่ายอมแพ้ละ
Most of people are bullied because they’re better than the bully who bullied them.