ภายใต้สถานการณ์ในเมียนมาที่เลวร้ายลงทุกขณะ หลังเจ้าหน้าที่รัฐใช้ “กระสุนจริง” เข้าสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตรายวัน และจากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วน “ไม่มีทางเลือก” ออกมาชุมนุมเรียกร้องทางประเทศประชาธิปไตยยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐฯให้ส่งกองกำลังทหารของตนเข้าแทรกแซงประเทศเมียนมา เพื่อหยุดการฆ่าล้างผู้ชุมนุมนี้
แต่ล่าสุดท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯกลับไม่เป็นไปอย่างที่ผู้ชุมนุมคาดหวัง เมื่อทางด้านของนาย Antony Blinken รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐฯในยุค Biden ได้ขึ้นโพเดี้ยมแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า “เราจะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตย แต่เราจะไม่ส่งเสริมประชาธิปไตยผ่านการแทรกแซงทางทหารที่มีค่าใช้จ่ายสูงหรือพยายามล้มล้างระบอบเผด็จการด้วยการใช้กำลัง”
“เราเคยลองใช้กลยุทธ์เหล่านี้มาแล้วในอดีต แต่มันกลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าที่ควร วิธีการแบบนั้นทำให้การส่งเสริมประชาธิปไตยต้องเสียชื่อและผู้คนก็สูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่ออเมริกา ดังนั้นในตอนนี้เราจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”
.
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สหรัฐฯจะไม่ลังเลที่จะใช้กำลังทางทหารเมื่อชีวิตและผลประโยชน์ที่สำคัญของชาวอเมริกันกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง และนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ประธานาธิบดี Biden ได้อนุมัติคำสั่งให้ทำการโจมตีทางอากาศในซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับกลุ่มทหารอาสาที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
และจากกรณีนั้นรวมถึงในอนาคต เมื่อเราต้องปฏิบัติการทางทหาร - เราจะทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อวัตถุประสงค์และภารกิจนั้นชัดเจนและทำได้โดยสอดคล้องกับค่านิยมและกฎหมายของเรา และได้รับความยินยอมจากประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งเราจะทำควบคู่ไปกับการทูต
หลังสหรัฐฯได้แสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ ประชาชนชาวพม่าบางส่วนในสื่อโซเชียลมีเดียถึงขนาดตัดพ้อว่าพวกเรากำลังต่อสู้อย่างเดียวดายและถูกฆ่าตายโดยที่ไม่มีใครสนใจจะช่วยพวกเราเลย
https://www.facebook.com/ThailandState2020/posts/275706574115504
https://www.state.gov/a-foreign-policy-for-the-american-people
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สหรัฐฯแถลงชัดไม่ส่งกองทัพเข้าพม่า...
แต่ล่าสุดท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯกลับไม่เป็นไปอย่างที่ผู้ชุมนุมคาดหวัง เมื่อทางด้านของนาย Antony Blinken รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐฯในยุค Biden ได้ขึ้นโพเดี้ยมแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า “เราจะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตย แต่เราจะไม่ส่งเสริมประชาธิปไตยผ่านการแทรกแซงทางทหารที่มีค่าใช้จ่ายสูงหรือพยายามล้มล้างระบอบเผด็จการด้วยการใช้กำลัง”
“เราเคยลองใช้กลยุทธ์เหล่านี้มาแล้วในอดีต แต่มันกลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าที่ควร วิธีการแบบนั้นทำให้การส่งเสริมประชาธิปไตยต้องเสียชื่อและผู้คนก็สูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่ออเมริกา ดังนั้นในตอนนี้เราจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”
.
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สหรัฐฯจะไม่ลังเลที่จะใช้กำลังทางทหารเมื่อชีวิตและผลประโยชน์ที่สำคัญของชาวอเมริกันกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง และนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ประธานาธิบดี Biden ได้อนุมัติคำสั่งให้ทำการโจมตีทางอากาศในซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับกลุ่มทหารอาสาที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
และจากกรณีนั้นรวมถึงในอนาคต เมื่อเราต้องปฏิบัติการทางทหาร - เราจะทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อวัตถุประสงค์และภารกิจนั้นชัดเจนและทำได้โดยสอดคล้องกับค่านิยมและกฎหมายของเรา และได้รับความยินยอมจากประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งเราจะทำควบคู่ไปกับการทูต
หลังสหรัฐฯได้แสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ ประชาชนชาวพม่าบางส่วนในสื่อโซเชียลมีเดียถึงขนาดตัดพ้อว่าพวกเรากำลังต่อสู้อย่างเดียวดายและถูกฆ่าตายโดยที่ไม่มีใครสนใจจะช่วยพวกเราเลย
https://www.facebook.com/ThailandState2020/posts/275706574115504
https://www.state.gov/a-foreign-policy-for-the-american-people
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------