'ฝน วีระสุนทร' ชาวไทยผู้อยู่ เบื้องหลังบทหนังแอนิเมชั่นค่ายดิสนีย์ 'รายากับมังกรตัวสุดท้าย'



นับเป็น Anination อีกเรื่องของ Disney ที่ผมเฝ้าจับตารอคอย 
ตั้งแต่ประกาศโปรเจคสร้าง ยิ่งได้รู้ว่า เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
และมีเนื้แหาเกี่ยวกับประเทศไทย ก็ยิ่งตื่นเต้น 
"นี่เรื่องราวของไทย จะไปปรากฏสู่สายตาชาวโลก
ใน Animation ระดับโลกอย่าง Disney แล้วจริงๆ หรอเนี่ย 

ซึ่งก็ไม่พลาดครับ เมื่อวานเลิกงานรีบตีตั๋วเข้าเข้าโรงหนังหลังเลิกงานทันที 
หนังออกมาดีมาก แต่ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมความเป็นไทยถึงได้ปรากฏในหนังออกมา
ถ้าเทียบสัดส่วนแล้วแล้ว คือค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ตัวละครหลักอย่าง
รายา  น้อย ทอง บุญ ซึ่งเป็นตัวละครหลักที่เดินเรื่อง รวมถึงมังกรปราณี 

ก็คิดๆในใจแหละว่า มันต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับไทยเป็นหลัก 
จนท้ายเครดิต ด้วยความที่เป็นคนชอบดู End Credit นั่นก็คือปรากฏชื่อ Credit หลัก
ผู้เขียนเค้าโครงเรื่องคือ 

นั่นก็คือ ฝน วีระสุนทร ชาวไทย และที่อึ้งกว่าเพิ่งรู้ว่าฝีมือการวาด Frozen อันโด่งดังเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก็มาจากเธอเช่นกัน 

หลังจากกลับบ้านก็เปิด Google ค้นหาชื่อทันที่ 
จึงอยากมาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับงานสร้าง Raya ที่คุณฝนได้ให้บนบทสัมภาษณ์ของ VOAThai ไว้ครับ 

฿่งก็เพิ่งรู้อีกอย่างว่าโครงเรื่องมาจากความเชื่อเรื่อง พญานาค 
ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย 

ในสัปดาห์นี้ ค่ายภาพยนตร์ดิสนีย์ จะนำหนังแอนิเมชั่นค่ายดิสนีย์
'รายากับมังกรตัวสุดท้าย' (Raya and the Last Dragon) ออกฉายในประเทศไทย และ “ขุนพล” 
ที่อยู่เบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ
 ฝน ประสานสุข วีระสุนทร คนไทยที่เคยสร้างชื่อในฐานะนักวาดการ์ตูนจากเรื่อง Frozen เมื่อแปดปีก่อน

สำหรับเรื่อง Raya and the Last Dragon คุณฝนทำหน้าที่นำทีมนักเเต่งเรื่อง
 ภายใต้ตำแหน่ง Head of Story เธอบอกเล่าถึงที่มาและเบื้องหลังของการ
ถ่ายทอดคุณค่าทางวัฒนธรรมและความงดงามของประเทศในภูมิภาคเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ผ่านทางเรื่องราวและภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้

"เราไม่ได้แค่ใช้กูเกิ้ลค้นหาว่าภาพที่เราทำออกมาจะสวยงามอย่างไร 
แต่เราต้องทำความเข้าใจด้วยว่าทำไมสิ่งนี้ถึงออกมาเป็นแบบนี้"
"ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดร่วมกันตรงที่การใช้ชีวิตของเรา
เกี่ยวข้องกับน้ำเป็นอย่างมาก สภาพภูมิอากาศในแต่ละประเทศก็คล้ายกัน แ
ม้แต่วิธีการทอผ้าก็ยังคล้ายกัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้
สัญลักษณ์ต่างๆ ในเรื่อง ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับวัสดุท้องถิ่น 
ไปจนถึงต้นไม้ดอกไม้ ท้องถิ่นอย่างไร"

คุณฝนบอกเล่าเรื่องราวระหว่างการสนทนากับสื่อมวลชนผ่าน Zoom ด้วยว่า
"ถึงเมืองคูมันตราจะเป็นเมืองสมมติที่ไม่มีอยู่จริง ในเมืองดังกล่าวอาจไม่มี
ของที่เหมือนกับในโลกจริงทุกประการ แต่เราก็คิดถึงเรื่องพวกนี้ 
ทุกอย่างผ่านการคิดมาหมด แม้แต่ของประกอบฉากเล็กๆ ที่อยู่ตรงริมจอ 
ดิฉันก็วาดจากสิ่งที่ดิฉันพบเห็นจากเมื่อตอนเด็กๆ และเมื่อเราทบทวน
งานของเราอีกรอบ เราจะต้องทบทวนเพื่อให้มั่นใจว่าเรื่องราว สิ่งของต่างๆ 
ในเนื้อเรื่องประกอบไปด้วยห้าส่วน ห้าด้าน เพราะในโลกของภาพยนตร์เรื่องนี้ 
ผู้คนมีความเชื่อในเลขห้า ในดินแดนห้าแห่งที่เคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน"

เมืองสมมติ "คูมันตรา" นี้ เป็นเมืองที่มนุษย์และมังกรเคยอาศัยอยู่ร่วมกัน 
ซึ่งคุณฝนเล่าว่า มังกรที่อาศัยอยู่ในน้ำในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีที่มาจาก "นาค" 
สัตว์ในตำนานตามความเชื่อของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง

"นาคเป็นสัตว์ที่ทำให้เกิดฝนตก ฝนก็เปรียบเสมือนชีวิตของคนในภูมิภาคนี้
ที่ทำการเกษตรเป็นจำนวนมาก นาคยังเป็นสัตว์คุ้มครองในตำนานหลายเรื่องด้วย 
ตามบันไดของวัดต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีนาคประดับ 
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบเสมือนบันไดเชื่อมต่อโลกมนุษย์และสวรรค์"

เธอกล่าวว่า การตัดสินใจใช้มังกรที่มีแรงบันดาลใจจาก "นาค" สัตว์ในตำนาน
ที่ผูกพันกับผู้คนในแถบภูมิภาคนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแก่นเนื้อหาของเรื่องที่ว่าด้วย
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันผ่านการสร้างความเชื่อใจ 
"เราถึงมองหาสิ่งที่จะเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันได้"



ตัวเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นหญิงสาวนักรบอย่าง "รายา" 
ซึ่งคุณฝนบอกเล่าเคล็ดลับถึงการสร้างตัวละครหญิงที่น่าดึงดูด แข็งแกร่ง
 แต่ก็ดูไม่ "แตกไปจากกรอบ" จากความเป็นหญิงมากเกินไปว่า

"ทีมงานของเราชอบเจาะลึกลงไปถึงตัวละครแต่ละตัว ในฐานะที่ดิฉันก็เป็นผู้หญิง
 ฉันรู้ว่าฉันไม่สมบูรณ์แบบ ทีมงานของเราก็พูดประมาณว่า
 'ตัวละครตัวนี้ก็มีจุดบกพร่อง เหมือนคุณนั่นแหละ' ทำให้เรามองตัวละครตัวนี้
แบบเชื่อมโยงกับเราได้ ความแข็งแกร่งของตัวละครนี้ยังมาจากการที่เธอเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้
 ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้สึกเชื่อมโยง เรียนรู้จากเธอ และได้รับแรงบันดาลใจจากเธอได้"

คุณฝนกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ "ได้ใจ" ผู้ชมก็คือ "ต้องให้เวลา" กับเนื้อหา
"เราอาจบอกเล่าเรื่องบางอย่างได้ภายในประโยคเดียว แต่ความพิเศษของการเล่าเรื่องก็คือ
 บางครั้งเราอาจเล่าเรื่องได้โดยไม่ต้องแสดงอะไร เช่นตัวละครบางตัวที่อาจไม่แสดงอารมณ์มาก
 แต่เมื่อเราเจาะลงไปดูที่ภาษากายของเขาแล้ว เราก็อาจบอกอะไรเกี่ยวกับตัวละครนั้นได้เป็นอย่างมาก
 มีวิธีให้ถ่ายทอดเรื่องราวได้มากมายค่ะ"

หนึ่งในความท้าทายที่สุดของเบื้องหลังการผลิตภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวในระหว่างที่มีการระบาดของโรคโควิด-19
 ก็คือ การที่ทีมงานต้องทำงานเป็นทีมกัน ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างทำจากบ้าน ซึ่งคุณฝนยอมรับว่าในช่วงแรก
 การทำงานจากบ้านเป็นสิ่งที่ "น่ากลัวมาก" สำหรับเธอ"



คุณฝนบอกด้วยว่า ตอนแรกเธอคิดว่าเราคงทำงานจากบ้านน่าจะแค่ราวสองสัปดาห์
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ทีมงานไม่สามารถระดมความคิดสร้างสรรค์
จากการเจอหน้ากันและคุยเล่นกัน เช่น จากบทสนทนาขณะเดินไปซื้อกาแฟแบบเดิมได้ 
ดังนั้นเธอกล่าวว่า ในบรรยากาศใหม่ช่วงโควิด-19 นี้ เธอพยายามทำให้ทีมยังคงสื่อสารกัน
และยังรู้สึกตื่นตัวต่อการทำงาน และทำให้มั่นใจว่าทุกคนเข้าใจงานไปพร้อมๆ กัน

“มันเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจมาก ดิฉันภูมิใจกับทีมงานของเรามาก
ที่ทำงานกันจนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาทำกันได้อย่างไรค่ะ"

แม้การทำงานจากบ้านจะเป็นหนึ่งในความท้าทายครั้งใหญ่ต่อการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้
 แต่คุณฝนบอกว่า ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำงานจากบ้านคือ เธอได้อยู่กับลูกสาววัยสี่ขวบของเธอทั้งวัน ทุกวัน

"เธอเห็นมาหมดแล้วทุกฉากค่ะ เวลาที่เราทำงานบนสตอรี่บอร์ดของเรา ใส่ดนตรี ใส่เสียงประกอบ 
เธอจะหัวเราะ รู้สึกอารมณ์ดีไปด้วย นั่นทำให้ฉันรู้ว่า ภาพยนตร์ของเราแม้จะอยู่ในขั้นตอนการผลิต
อย่างหยาบก็ทำให้ผู้ชมมีความสุขได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมันเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเต็มขั้นแล้ว มันจะต้องดียิ่งขึ้นไปอีก"

เรียกได้ว่าลูกสาวของเธอได้เห็นงาน Raya and the Last Dragon ทุกขั้นตอน 
ก่อนที่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องนี้ จะเข้าฉายในประเทศไทยวันนี้ และเข้าฉายในสหรัฐฯ วันศุกร์นี้ 
ในโรงภาพยนตร์เช่นเดียวกับระบบสตรีมหนัง “ดิสนีย์พลัส”

ท้ายสุด คุณฝนบอกว่า การได้ทำงาน "เนรมิตรเรื่องราว" ในโลกของวอลต์ ดิสนีย์ นั้น
 อาจเป็นงานในฝันสำหรับใครหลายคน ซึ่งคุณฝนตบท้ายถึงเคล็ดลับสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานตรงนี้ว่า 
เธอแนะนำให้ "แข่งกับตัวเอง ไม่ต้องแข่งกับคนอื่น"

"ในช่วงที่ดิฉันเริ่มทำงานแรกๆ ฉันทำแฟ้มสะสมงานทุกหกเดือนเลยค่ะ 
อาจจะฟังดูเยอะนะ แต่การทำแบบนั้นมันช่วยให้ดิฉันได้มองกลับไปว่า 
ดิฉันเรียนรู้อะไรมาบ้าง แลัเอาชนะอะไรมาบ้าง มันทำให้ดิฉันรู้ถึงความก้าวหน้า
ของตัวเองโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองไปพร้อมๆ 
กับสนับสนุนผู้อื่นได้ ไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเรากับใคร แล้วทำให้เรารู้สึกว่า
 'คนอื่นเก่งจัง ทำไมตัวเราไม่มีค่าเลย'"



ขอบคุณข้อมูลและบทสัมภาษณ์ 
เครดิต VOAThai ครับ
https://www.voathai.com/a/fawn-veerasunthorn-raya-and-the-last-dragon-disney-animation-movie/5800622.html

 
สำหรับตัวผมเอง ต้องบอกว่าเย็นนี้ 
รอบสอง กับพากย์ไทย ครั้งแรกในชีวิต ในรอบ 30 กว่าปีที่ผ่านมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่