ทันทีที่ผู้จัดการร้านเห็น ‘เสี่ยชุย’ เดินเข้ามาในร้าน เขาก็รีบออกปากทัก “อ้าวเสี่ย ไม่ใส่หน้ากากเรอะ”
เสี่ยชุยหยุดเท้า หันมาว่า “กูจะใส่หรือไม่ใส่ มันก็เรื่องของกู”
ผู้จัดการยิ้มแหย ๆ “โธ่เสี่ย ผมบอกเฉย ๆ ไอ้โรคนี้มันติดง่ายจะตาย แค่น้ำลายกระเด็นใส่นิดหน่อยก็ติดแล้วนา”
“ติดแล้วทำไมวะ” เสี่ยชุยตะคอก “หนี้ท่วมหัวแบบนี้ กูไม่ตายเพราะโรค ก็เส้นเลือดในสมองแตกตายอยู่ดีนั่นแหละ” ว่าแล้วเสี่ยก็เดินเข้าไปหลังร้าน
พิษจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำเสี่ยชุยประสาทเสีย ภัตตาคารอาหารจีนของเสี่ยรายได้หด ผิดกับก่อนหน้านั้นที่มีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย มันเคยรุ่งเรืองถึงขนาดมีนักธุรกิจชาวจีนส่งตัวแทนเข้ามาขอซื้อต่อด้วยเงินแปดหลัก แต่ตอนนั้นเสี่ยไม่คิดขาย เพราะเห็นว่าร้านมีโอกาสเติบโตสูง หากมีการขยายสาขา กำไรจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
แต่หลังจากเกิดเหตุไวรัสระบาด ร้านอาหารที่เคยเนืองแน่นก็หงอยเหงาเป็นป่าช้า รายได้ที่เคยเข้ามาวันละหกหลักก็กลายเป็นติดลบ ต้องลดพนักงานออกไปกว่าครึ่ง
“เพราะไอ้พวกเจ๊ก ถ้าไอ้พวกนี้ไม่-ของพิสดาร โรคห่านี่คงไม่เกิดขึ้น”
เสี่ยชุยมักจะพึมพำกับลูกน้อง แม้จะเป็นภัตตาคารอาหารจีน และต้อนรับลูกค้าชาวจีนเป็นหลัก แต่หลังเชื้อไวรัสระบาด เสี่ยก็มองคนจีนในแง่ลบ เพราะไวรัสดังกล่าวมีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ถ้าไม่มีคนพวกนั้น ชีวิตเสี่ยก็คงไม่บัดซบแบบนี้
“วันนั้นกูน่าจะขาย”
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งประโยคที่เสี่ยชุยรำพึงบ่อย ๆ หากวันนั้นเสี่ยตัดสินใจขายภัตตาคารให้นักลงทุนชาวจีน ป่านนี้คงนอนกอดเงิน ไม่ต้องมานั่งเครียดแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเสี่ย ใครจะรู้ว่าไอ้ไวรัสห่านี่จะเกิด เสี่ยอยากจะย้อนเวลากลับไป กลับไปบอกให้ตัวเองขายร้าน เสี่ยร้องขอแบบนี้บ่อยครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
แต่ก็ไม่แน่หรอก
เสี่ยชุยเดินเข้าไปใช้ห้องน้ำของร้าน ช่วงนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า ห้องน้ำสะอาดเอี่ยม หลังจากทำธุระเสร็จ เสี่ยก็เดินกลับออกมา ทว่า เขาได้พบชายแปลกหน้ายืนขวางอยู่หน้าประตู
เสี่ยชุยชะงัก “เอ่อ...คุณเป็นใครครับ”
ชายในชุดสูทสีดำจ้องมองมา “สวัสดีครับเสี่ยชุย”
“ครับ...” เสี่ยพยายามนึกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็นึกไม่ออก “มีอะไรกับผมเหรอ อย่าบอกนะว่ามาทวงหนี้”
“เปล่า ผมไม่ได้มาทวงหนี้”
“อ้าว แล้วคุณเป็นใคร”
ชายสูทดำยิ้ม “เป็นผู้ที่จะทำให้คุณสมหวังไงครับ”
เสี่ยชุยคิดว่าตัวเองหูฝาด “ว่าอะไรนะ”
โควิดทำร้านเจ๊ง เขาได้โอกาสย้อนเวลากลับไปแก้ไข (เรื่องสั้น)
เสี่ยชุยหยุดเท้า หันมาว่า “กูจะใส่หรือไม่ใส่ มันก็เรื่องของกู”
ผู้จัดการยิ้มแหย ๆ “โธ่เสี่ย ผมบอกเฉย ๆ ไอ้โรคนี้มันติดง่ายจะตาย แค่น้ำลายกระเด็นใส่นิดหน่อยก็ติดแล้วนา”
“ติดแล้วทำไมวะ” เสี่ยชุยตะคอก “หนี้ท่วมหัวแบบนี้ กูไม่ตายเพราะโรค ก็เส้นเลือดในสมองแตกตายอยู่ดีนั่นแหละ” ว่าแล้วเสี่ยก็เดินเข้าไปหลังร้าน
พิษจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำเสี่ยชุยประสาทเสีย ภัตตาคารอาหารจีนของเสี่ยรายได้หด ผิดกับก่อนหน้านั้นที่มีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย มันเคยรุ่งเรืองถึงขนาดมีนักธุรกิจชาวจีนส่งตัวแทนเข้ามาขอซื้อต่อด้วยเงินแปดหลัก แต่ตอนนั้นเสี่ยไม่คิดขาย เพราะเห็นว่าร้านมีโอกาสเติบโตสูง หากมีการขยายสาขา กำไรจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
แต่หลังจากเกิดเหตุไวรัสระบาด ร้านอาหารที่เคยเนืองแน่นก็หงอยเหงาเป็นป่าช้า รายได้ที่เคยเข้ามาวันละหกหลักก็กลายเป็นติดลบ ต้องลดพนักงานออกไปกว่าครึ่ง
“เพราะไอ้พวกเจ๊ก ถ้าไอ้พวกนี้ไม่-ของพิสดาร โรคห่านี่คงไม่เกิดขึ้น”
เสี่ยชุยมักจะพึมพำกับลูกน้อง แม้จะเป็นภัตตาคารอาหารจีน และต้อนรับลูกค้าชาวจีนเป็นหลัก แต่หลังเชื้อไวรัสระบาด เสี่ยก็มองคนจีนในแง่ลบ เพราะไวรัสดังกล่าวมีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ถ้าไม่มีคนพวกนั้น ชีวิตเสี่ยก็คงไม่บัดซบแบบนี้
“วันนั้นกูน่าจะขาย”
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งประโยคที่เสี่ยชุยรำพึงบ่อย ๆ หากวันนั้นเสี่ยตัดสินใจขายภัตตาคารให้นักลงทุนชาวจีน ป่านนี้คงนอนกอดเงิน ไม่ต้องมานั่งเครียดแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเสี่ย ใครจะรู้ว่าไอ้ไวรัสห่านี่จะเกิด เสี่ยอยากจะย้อนเวลากลับไป กลับไปบอกให้ตัวเองขายร้าน เสี่ยร้องขอแบบนี้บ่อยครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
แต่ก็ไม่แน่หรอก
เสี่ยชุยเดินเข้าไปใช้ห้องน้ำของร้าน ช่วงนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า ห้องน้ำสะอาดเอี่ยม หลังจากทำธุระเสร็จ เสี่ยก็เดินกลับออกมา ทว่า เขาได้พบชายแปลกหน้ายืนขวางอยู่หน้าประตู
เสี่ยชุยชะงัก “เอ่อ...คุณเป็นใครครับ”
ชายในชุดสูทสีดำจ้องมองมา “สวัสดีครับเสี่ยชุย”
“ครับ...” เสี่ยพยายามนึกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็นึกไม่ออก “มีอะไรกับผมเหรอ อย่าบอกนะว่ามาทวงหนี้”
“เปล่า ผมไม่ได้มาทวงหนี้”
“อ้าว แล้วคุณเป็นใคร”
ชายสูทดำยิ้ม “เป็นผู้ที่จะทำให้คุณสมหวังไงครับ”
เสี่ยชุยคิดว่าตัวเองหูฝาด “ว่าอะไรนะ”