วอร์เรน บัฟเฟตต์เพิ่งแชร์จดหมายประจำปี 2020 สำหรับผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway (BRK) ผมขอสรุปมาให้อ่านกันดังนี้
<แนะนำให้อ่านฉบับเต็มเพื่อเรียนรู้แนวคิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์>
1. ผลตอบแทนยังสู้ดัชนี S&P ไม่ได้
ปีที่แล้วผลตอบแทนของ BRK อยู่ที่เพียง 2.4% ในขณะที่ S&P500 ให้ผลตอบแทนถึง 18.4%
อย่างไรก็ตามถ้าดูผลตอบแทนทบต้นตั้งแต่ปี 1965 พอร์ตของคุณปู่สามารถทำได้ถึง 20% ต่อปีในขณะที่ S&P500 อยู่ที่ 10.2% ต่อปี
2. ยอมรับความผิดพลาดครั้งใหญ่ในการซื้อหุ้นในปี 2016
คุณปู่ยอมรับว่าตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ในปี 2016 เมื่อตอนที่ซื้อหุ้น Precision Castparts (PCC) ในราคาที่แพงเกินไป
PCC ทำธุรกิจผลิตวัสดุอุปกรณ์ให้กับเครื่องบินโดยสาร ในปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตโควิดจึงทำให้บริษัทต้อง Write Down สินทรัพย์ขาดทุนไป $11,000 ล้าน
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นตัวนี้ด้วยมูลค่ากว่า $32,000 ล้าน โดยกำไรของบริษัทในปีนั้นอยู่ที่ $1,500 ล้านหรือพีอีประมาณ 21 เท่า
แต่เนื่องจากธุรกิจเป็นวัฎจักร คุณปู่ออกมายอมรับว่าคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตผิดพลาดไป
3. BRK กำไรลดลงกว่าครึ่งในปี 2020
BRK แจ้งผลกำไรในปี 2020 อยู่ที่ $42,500 ล้าน ประกอบด้วย
กำไรจากดำเนินงาน $21,900 ล้าน
กำไรพิเศษที่บันทึกแล้ว $4,900 ล้าน
กำไรที่ยังไม่รับรู้จากการลงทุนในหุ้น $26,700 ล้าน
ขาดทุนจากการ Write Down สินทรัพย์ของ PCC ไป $11,000 ล้าน
4. Never Bet Against America
แม้ว่าอเมริกาจะโดนวิกฤตโควิดกระทบอย่างหนักมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในโลก แต่คุณปู่ก็ยังเชื่อมั่นว่าอเมริกายังเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในการลงทุน
คุณปู่เพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้ว BRK ถือสินทรัพย์ในอเมริกา(โรงงาน ที่ดิน) เยอะที่สุดในบรรดาบริษัททั้งหมด
โดยถือสินทรัพย์ $154,000 ล้าน มากกว่าอันดับสองอย่าง AT&T ที่มีอยู่ $127,000 ล้าน
5. เชื่อมั่นในคุณภาพของหุ้น BNSF
ธุรกิจของ Burlinton Northern Santa Fe (BNSF) มีสัดส่วนการขนส่งสินค้าทั้งหมด 15% ของสินค้าที่ขนส่งในทุกยานพาหนะในอเมริกา ถือเป็นอันดับหนึ่งในประเทศ
คุณปู่กล่าวว่าหลังจากมีปัญหาเรื้อรังมามากกว่า 150 ปี ทั้งเรื่องการก่อสร้างทางรถไฟ การสร้างเส้นทางในปริมาณที่มากเกินไป หรือสภาวะล้มละลายของผู้ให้บริการในอุตสาหกรรม
ทุกวันนี้ธุรกิจรถไฟได้นิ่งแล้วและสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยม
<คิดเล่นๆอยากให้คุณปู่มาซื้อหุ้นรถไฟไทยดูบ้าง>
6. ชาร์ลี มังเกอร์กลับมาอีกครั้ง
การประชุมผู้ถือหุ้นจะเปลี่ยนสถานที่จัดจากเมือง Omaha มาที่ Los Angeles โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม
ในปีนี้ ชาร์ลี มังเกอร์จะกลับมาร่วมประชุมตอบคำถาม 3 ชั่วโมงครึ่งอีกครั้ง หลังจากปีก่อนติดโควิดไม่สามารถบินมาร่วมงานได้
บัฟเฟตต์เล่าให้ฟังว่าปีที่แล้วฉุกละหุกมาก เลยทำให้มีแค่เพียงคุณปู่กับ Greg ที่ขึ้นเวทีด้วยกันสองคน ในปีนี้จะมีทั้ง Ajit Jain และ Greg Abel มาร่วมตอบคำถามด้วย
7. การลงทุนในดัชนี S&P500 ทำให้เป็นผู้ชนะในระยะยาวได้
คุณปู่แชร์ว่ามีนักลงทุนและนักเก็งกำไรหลักสิบล้านคนที่อยู่ในอเมริกาและทั่วโลก ต่างมีทางเลือกในสินทรัพย์ที่หลากหลายที่เข้ากับรสนิยมของตัวเอง
พวกเขาจะค้นหาหุ้นเด็ดๆจาก ซีอีโอ ผู้เชี่ยวชาญ ที่สร้างไอเดียในการลงทุนที่น่าหลงใหลได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังสามารถได้รับราคาเป้าหมาย คาดการณ์กำไร และสตอรี่จากคนที่เข้ามาช่วยได้มากมาย
อย่างไรก็ตามคุณปู่เชื่อว่าแทนที่จะไปหาข้อมูลจากคนกลุ่มนั้น เปรียบเทียบเหมือนคนที่ยิงธนูไป 50 ดอกบนกระดานดัชนี S&P500 แล้วถือไว้ระยะยาวโดยไม่เปลี่ยนใจขายไป
เท่านั้นก็สามารถสร้างเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่างได้อย่างมหาศาล
8. การซื้อหุ้น BRK คืนอย่างชาญฉลาด
คุณปู่ซื้อหุ้น BRK.A คืนไปกว่า 80,998 หุ้น คิดเป็นเงิน $24,700 ล้าน (หนึ่งหุ้นปัจจุบันราคา $364,000) ทำให้สัดส่วนความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นทุกคนเพิ่มขึ้นในสัดส่วน 5.2%
โดยกลยุทธ์ของคุณปู่กับชาร์ลีจะซื้อหุ้นคืนในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมโดยเฉพาะในช่วงเกิดวิกฤติจากปีที่แล้วที่ราคาหุ้นไหลลงไปต่ำกว่า $300,000
นอกจากนี้คุณปู่มองว่าการที่ซีอีโอซื้อหุ้นคืนในราคาแพงๆ เป็นการกระทำที่น่าอับอายมากเพราะใช้เงินเพื่อเพิ่มราคาหุ้นมากกว่า
9. พลังการซื้อหุ้นคืนของ Apple
การลงทุนในหุ้น Apple สะท้อนถึงพลังของการซื้อหุ้นคืนได้อย่างชัดเจน
คุณปู่เริ่มซื้อหุ้น Apple ในช่วงปลายปี 2016 โดยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมปี 2018 ถือหุ้นทั้งหมด 1,000 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.2% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่าต้นทุน $36,000 ล้าน
โดยในทุกๆปีจะมีเงินปันผลไหลเข้ามาจำนวน $775 ล้าน
ในปี 2020 ได้เงินเข้ากระเป๋ากว่า $11,000 ล้านจากการตัดขายหุ้นไปบางส่วน
แม้ว่าจะตัดขายหุ้นออกไปแต่ปัจจุบันสัดส่วนการถือกลับเพิ่มขึ้นมาเป็น 5.4%
สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมาไม่มีต้นทุนเลยเนื่องจากพลังการซื้อหุ้นคืนของ Apple
10. Conglomerate ดีต่างกับไม่ดีอย่างไร
Conglomerate คือบริษัทใหญ่ที่พยายามกระจายการลงทุนไปในธุรกิจดั้งเดิมของตัวเองหรือธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสด้วยการเข้าซื้อบริษัทอื่นๆ
เป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องมายาวนาน การที่ Conglomerate จะสามารถซื้อธุรกิจที่ดีในราคาที่เหมาะสมได้เพราะธุรกิจที่ดีก็ไม่อยากขายไปอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่น
จึงทำให้ต้องมาไล่ซื้อบริษัทธรรมดาๆในราคาที่แพง ซึ่งไม่ใช่แนวทางของคุณปู่
Conglomerate บางที่มีกลยุทธ์ที่แยบยลกว่านั้นด้วยการสร้างราคาหุ้นของตัวเองให้สูงกว่าความเป็นจริงแล้วเข้าซื้อบริษัทด้วยราคาที่แพง
คุณปู่เปรียบเทียบเหมือนการซื้อสุนัขตัวละ $10,000 ด้วยการแลกกับแมวสองตัวๆละ $5,000 สุดท้ายกลายเป็นเรื่องราวการฉ้อโกงในที่สุด
11.ใครถือหุ้น BRK จะอายุยืน
คุณปู่พูดถึงนาย Stan Truhlsen ซึ่งเป็นนักลงทุนในช่วงเริ่มต้น Buffett Partnership
ในตอนนั้นได้รวมกลุ่มกับเพื่อนหมออีก 10 คนเข้าร่วมลงทุนกับคุณปู่
แต่หลังจากที่บัฟเฟตต์ปิดตัว Partnership ลงแล้วกระจายหุ้น BRK ให้ตามสัดส่วน
คนเหล่านี้ก็ได้ถือหุ้นมาอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้ ซึ่งแต่ละคนมีอายุอยู่ในช่วง 90 ถึง 100 ปีแล้ว
จึงทำให้คุณปู่พูดติดตลกว่าเป็นเพราะยังถือหุ้น BRK อยู่เลยทำให้คนเหล่านี้มีอายุยืนเหมือนผมและชาร์ลี
12. อัพเดตพอร์ตหุ้นและผลงานหุ้น BYD
BRK ถือหุ้นรวมทั้งหมด $281,000 ล้าน (ข้อมูลสิ้นเดือนธันวาคม 2020)
หุ้นที่ได้กำไรเยอะที่สุดในพอร์ตในแง่ของเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นได้แก่
หุ้น Moody ต้นทุน $248 ล้าน ล่าสุดอยู่ที่ $7,120 ล้าน เพิ่มขึ้น 28.8 เท่า
หุ้น BYD ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน ต้นทุน $232 ล้าน ตอนนี้ $5,897 ล้าน เพิ่มขึ้น 25 เท่า
ในส่วนของหุ้นใหม่ในญี่ปุ่นที่เพิ่งลงทุนไปเมื่อปีที่แล้วอย่าง Itochu กวาดกำไรไปกว่า $500 ล้าน จากต้นทุน $1,862 ล้าน
โดยสรุปหุ้นที่ถือมากที่สุดในพอร์ตดังนี้
Apple มูลค่า $120,424 ล้าน
Bank of America มูลค่า $31,306 ล้าน
The Cola-Cola Company มูลค่า $21,936 ล้าน
เพื่อนๆลองอ่านกันดูแค่ 15 หน้า แต่ช่วยให้เข้าใจแนวคิดของสุดยอดนักลงทุนแนววีไออันดับต้นๆของโลก แม้ว่าผลงานจะไม่ค่อยดีในช่วงหลังๆ แต่คุณปู่ก็ยังสามารถขับเคลื่อนองค์กรขนาดใหญ่ของโลกก้าวข้ามวิกฤตและเติบโตต่อไปได้อย่างแน่นอนครับ #หุ้นอเมริกา #จดหมายBRK
สรุปบทเรียนจากจดหมายประจำปี 2020 สำหรับผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway (BRK) เขียนโดย วอร์เรน บัฟเฟตต์
<แนะนำให้อ่านฉบับเต็มเพื่อเรียนรู้แนวคิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์>
1. ผลตอบแทนยังสู้ดัชนี S&P ไม่ได้
ปีที่แล้วผลตอบแทนของ BRK อยู่ที่เพียง 2.4% ในขณะที่ S&P500 ให้ผลตอบแทนถึง 18.4%
อย่างไรก็ตามถ้าดูผลตอบแทนทบต้นตั้งแต่ปี 1965 พอร์ตของคุณปู่สามารถทำได้ถึง 20% ต่อปีในขณะที่ S&P500 อยู่ที่ 10.2% ต่อปี
2. ยอมรับความผิดพลาดครั้งใหญ่ในการซื้อหุ้นในปี 2016
คุณปู่ยอมรับว่าตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ในปี 2016 เมื่อตอนที่ซื้อหุ้น Precision Castparts (PCC) ในราคาที่แพงเกินไป
PCC ทำธุรกิจผลิตวัสดุอุปกรณ์ให้กับเครื่องบินโดยสาร ในปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตโควิดจึงทำให้บริษัทต้อง Write Down สินทรัพย์ขาดทุนไป $11,000 ล้าน
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นตัวนี้ด้วยมูลค่ากว่า $32,000 ล้าน โดยกำไรของบริษัทในปีนั้นอยู่ที่ $1,500 ล้านหรือพีอีประมาณ 21 เท่า
แต่เนื่องจากธุรกิจเป็นวัฎจักร คุณปู่ออกมายอมรับว่าคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตผิดพลาดไป
3. BRK กำไรลดลงกว่าครึ่งในปี 2020
BRK แจ้งผลกำไรในปี 2020 อยู่ที่ $42,500 ล้าน ประกอบด้วย
กำไรจากดำเนินงาน $21,900 ล้าน
กำไรพิเศษที่บันทึกแล้ว $4,900 ล้าน
กำไรที่ยังไม่รับรู้จากการลงทุนในหุ้น $26,700 ล้าน
ขาดทุนจากการ Write Down สินทรัพย์ของ PCC ไป $11,000 ล้าน
4. Never Bet Against America
แม้ว่าอเมริกาจะโดนวิกฤตโควิดกระทบอย่างหนักมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในโลก แต่คุณปู่ก็ยังเชื่อมั่นว่าอเมริกายังเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในการลงทุน
คุณปู่เพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้ว BRK ถือสินทรัพย์ในอเมริกา(โรงงาน ที่ดิน) เยอะที่สุดในบรรดาบริษัททั้งหมด
โดยถือสินทรัพย์ $154,000 ล้าน มากกว่าอันดับสองอย่าง AT&T ที่มีอยู่ $127,000 ล้าน
5. เชื่อมั่นในคุณภาพของหุ้น BNSF
ธุรกิจของ Burlinton Northern Santa Fe (BNSF) มีสัดส่วนการขนส่งสินค้าทั้งหมด 15% ของสินค้าที่ขนส่งในทุกยานพาหนะในอเมริกา ถือเป็นอันดับหนึ่งในประเทศ
คุณปู่กล่าวว่าหลังจากมีปัญหาเรื้อรังมามากกว่า 150 ปี ทั้งเรื่องการก่อสร้างทางรถไฟ การสร้างเส้นทางในปริมาณที่มากเกินไป หรือสภาวะล้มละลายของผู้ให้บริการในอุตสาหกรรม
ทุกวันนี้ธุรกิจรถไฟได้นิ่งแล้วและสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยม
<คิดเล่นๆอยากให้คุณปู่มาซื้อหุ้นรถไฟไทยดูบ้าง>
6. ชาร์ลี มังเกอร์กลับมาอีกครั้ง
การประชุมผู้ถือหุ้นจะเปลี่ยนสถานที่จัดจากเมือง Omaha มาที่ Los Angeles โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม
ในปีนี้ ชาร์ลี มังเกอร์จะกลับมาร่วมประชุมตอบคำถาม 3 ชั่วโมงครึ่งอีกครั้ง หลังจากปีก่อนติดโควิดไม่สามารถบินมาร่วมงานได้
บัฟเฟตต์เล่าให้ฟังว่าปีที่แล้วฉุกละหุกมาก เลยทำให้มีแค่เพียงคุณปู่กับ Greg ที่ขึ้นเวทีด้วยกันสองคน ในปีนี้จะมีทั้ง Ajit Jain และ Greg Abel มาร่วมตอบคำถามด้วย
7. การลงทุนในดัชนี S&P500 ทำให้เป็นผู้ชนะในระยะยาวได้
คุณปู่แชร์ว่ามีนักลงทุนและนักเก็งกำไรหลักสิบล้านคนที่อยู่ในอเมริกาและทั่วโลก ต่างมีทางเลือกในสินทรัพย์ที่หลากหลายที่เข้ากับรสนิยมของตัวเอง
พวกเขาจะค้นหาหุ้นเด็ดๆจาก ซีอีโอ ผู้เชี่ยวชาญ ที่สร้างไอเดียในการลงทุนที่น่าหลงใหลได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังสามารถได้รับราคาเป้าหมาย คาดการณ์กำไร และสตอรี่จากคนที่เข้ามาช่วยได้มากมาย
อย่างไรก็ตามคุณปู่เชื่อว่าแทนที่จะไปหาข้อมูลจากคนกลุ่มนั้น เปรียบเทียบเหมือนคนที่ยิงธนูไป 50 ดอกบนกระดานดัชนี S&P500 แล้วถือไว้ระยะยาวโดยไม่เปลี่ยนใจขายไป
เท่านั้นก็สามารถสร้างเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่างได้อย่างมหาศาล
8. การซื้อหุ้น BRK คืนอย่างชาญฉลาด
คุณปู่ซื้อหุ้น BRK.A คืนไปกว่า 80,998 หุ้น คิดเป็นเงิน $24,700 ล้าน (หนึ่งหุ้นปัจจุบันราคา $364,000) ทำให้สัดส่วนความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นทุกคนเพิ่มขึ้นในสัดส่วน 5.2%
โดยกลยุทธ์ของคุณปู่กับชาร์ลีจะซื้อหุ้นคืนในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมโดยเฉพาะในช่วงเกิดวิกฤติจากปีที่แล้วที่ราคาหุ้นไหลลงไปต่ำกว่า $300,000
นอกจากนี้คุณปู่มองว่าการที่ซีอีโอซื้อหุ้นคืนในราคาแพงๆ เป็นการกระทำที่น่าอับอายมากเพราะใช้เงินเพื่อเพิ่มราคาหุ้นมากกว่า
9. พลังการซื้อหุ้นคืนของ Apple
การลงทุนในหุ้น Apple สะท้อนถึงพลังของการซื้อหุ้นคืนได้อย่างชัดเจน
คุณปู่เริ่มซื้อหุ้น Apple ในช่วงปลายปี 2016 โดยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมปี 2018 ถือหุ้นทั้งหมด 1,000 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.2% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่าต้นทุน $36,000 ล้าน
โดยในทุกๆปีจะมีเงินปันผลไหลเข้ามาจำนวน $775 ล้าน
ในปี 2020 ได้เงินเข้ากระเป๋ากว่า $11,000 ล้านจากการตัดขายหุ้นไปบางส่วน
แม้ว่าจะตัดขายหุ้นออกไปแต่ปัจจุบันสัดส่วนการถือกลับเพิ่มขึ้นมาเป็น 5.4%
สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมาไม่มีต้นทุนเลยเนื่องจากพลังการซื้อหุ้นคืนของ Apple
10. Conglomerate ดีต่างกับไม่ดีอย่างไร
Conglomerate คือบริษัทใหญ่ที่พยายามกระจายการลงทุนไปในธุรกิจดั้งเดิมของตัวเองหรือธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสด้วยการเข้าซื้อบริษัทอื่นๆ
เป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องมายาวนาน การที่ Conglomerate จะสามารถซื้อธุรกิจที่ดีในราคาที่เหมาะสมได้เพราะธุรกิจที่ดีก็ไม่อยากขายไปอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่น
จึงทำให้ต้องมาไล่ซื้อบริษัทธรรมดาๆในราคาที่แพง ซึ่งไม่ใช่แนวทางของคุณปู่
Conglomerate บางที่มีกลยุทธ์ที่แยบยลกว่านั้นด้วยการสร้างราคาหุ้นของตัวเองให้สูงกว่าความเป็นจริงแล้วเข้าซื้อบริษัทด้วยราคาที่แพง
คุณปู่เปรียบเทียบเหมือนการซื้อสุนัขตัวละ $10,000 ด้วยการแลกกับแมวสองตัวๆละ $5,000 สุดท้ายกลายเป็นเรื่องราวการฉ้อโกงในที่สุด
11.ใครถือหุ้น BRK จะอายุยืน
คุณปู่พูดถึงนาย Stan Truhlsen ซึ่งเป็นนักลงทุนในช่วงเริ่มต้น Buffett Partnership
ในตอนนั้นได้รวมกลุ่มกับเพื่อนหมออีก 10 คนเข้าร่วมลงทุนกับคุณปู่
แต่หลังจากที่บัฟเฟตต์ปิดตัว Partnership ลงแล้วกระจายหุ้น BRK ให้ตามสัดส่วน
คนเหล่านี้ก็ได้ถือหุ้นมาอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้ ซึ่งแต่ละคนมีอายุอยู่ในช่วง 90 ถึง 100 ปีแล้ว
จึงทำให้คุณปู่พูดติดตลกว่าเป็นเพราะยังถือหุ้น BRK อยู่เลยทำให้คนเหล่านี้มีอายุยืนเหมือนผมและชาร์ลี
12. อัพเดตพอร์ตหุ้นและผลงานหุ้น BYD
BRK ถือหุ้นรวมทั้งหมด $281,000 ล้าน (ข้อมูลสิ้นเดือนธันวาคม 2020)
หุ้นที่ได้กำไรเยอะที่สุดในพอร์ตในแง่ของเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นได้แก่
หุ้น Moody ต้นทุน $248 ล้าน ล่าสุดอยู่ที่ $7,120 ล้าน เพิ่มขึ้น 28.8 เท่า
หุ้น BYD ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน ต้นทุน $232 ล้าน ตอนนี้ $5,897 ล้าน เพิ่มขึ้น 25 เท่า
ในส่วนของหุ้นใหม่ในญี่ปุ่นที่เพิ่งลงทุนไปเมื่อปีที่แล้วอย่าง Itochu กวาดกำไรไปกว่า $500 ล้าน จากต้นทุน $1,862 ล้าน
โดยสรุปหุ้นที่ถือมากที่สุดในพอร์ตดังนี้
Apple มูลค่า $120,424 ล้าน
Bank of America มูลค่า $31,306 ล้าน
The Cola-Cola Company มูลค่า $21,936 ล้าน
เพื่อนๆลองอ่านกันดูแค่ 15 หน้า แต่ช่วยให้เข้าใจแนวคิดของสุดยอดนักลงทุนแนววีไออันดับต้นๆของโลก แม้ว่าผลงานจะไม่ค่อยดีในช่วงหลังๆ แต่คุณปู่ก็ยังสามารถขับเคลื่อนองค์กรขนาดใหญ่ของโลกก้าวข้ามวิกฤตและเติบโตต่อไปได้อย่างแน่นอนครับ #หุ้นอเมริกา #จดหมายBRK