✅ติดตามเรื่องราวก่อนหน้าและหลังจากนี้ได้
ขั้นตอนการเตรียมตัว
ตอนที่ 11 : [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน 🇩🇪 ตอนกรอกแบบฟอร์ม VIDEX เพื่อยื่นวีซ่าเพื่อการศึกษา
https://ppantip.com/topic/41494161
ตอนที่ 12 : [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน 🇩🇪 ได้รับอนุมัติวีซ่า+ ส่งท้ายขั้นตอนการเตรียมตัว
https://ppantip.com/topic/41522029
ตอนที่ 13 [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 กับ check-list ที่ต้องทำ (ตอนที่ 1/2) : บ้าน เปิดซิม เปิดบัญชี
https://ppantip.com/topic/41644063
ตอนที่ 14: [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 กับ check-list ที่ต้องทำ (ตอนที่ 2/2) : Anmeldung เปิดบัญชีและอื่นๆ
https://ppantip.com/topic/41660274
ตอนที่ 15: [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 กับ check-list ที่ต้องทำ: Residence permit (Aufenthaltstitel)
https://ppantip.com/topic/41956848
ตอนที่ 16: [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 กับ check-list ที่ต้องทำ: เปิดบัญชีธนาคาร Berliner Sparkasse
https://ppantip.com/topic/41971413
ตอนที่ 17: [CR] รีวิว Review [Not just A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 เรียนจบแล้วววววว พร้อมเปลี่ยน Visa แล้ว
https://ppantip.com/topic/42505274
มาค่ะ เริ่มกัน
หลังจากเรียนจบเมื่อ April 2017
ระหว่างจะเตรียมสอบ IELTS เราหนีกลับมาสอบวัดระดับภาษาเยอรมันก่อนค่ะ
ภาษาเยอรมันมีทั้งหมด 6 ระดับ A1 A2 B1 B2 C1 C2 (เรียงจากง่ายไปยาก)
ณ ปีนี้จำได้ว่าเป็นการเปลี่ยนข้อสอบแบบใหม่ เราสอบระดับ B1
ใช้เวลาเตรียมการมา 9 เดือน สุดท้ายก็สอบผ่านทั้ง 4 part
ขอเล่านิดนึง.........
🇩🇪 การสอบวัดระดับภาษาในสหภาพยุโรป จะเป็นการสอบทุกทักษะ เริ่มตั้งแต่ ฟัง ไปยังพูด อ่านและเขียน ซึ่งบอกเลยว่า สำหรับเรามันค่อนข้างท้าทายมาก ตัวเราเองชินแต่กับภาษาตะวันออก ซึ่งมันไม่มีอะไรแบบนี้! การสอบวัดระดับภาษาเยอรมันของเราเลยค่อนข้างตื่นเต้น เนื่องจากต้องผ่านทุกpart ไม่งั้นถือว่าไม่ผ่าน
สำหรับระดับ B1 ตอนนั้น ต้องสอบให้ได้ 60 percent ขึ้นไปถึงจะผ่าน เมื่อผ่านแล้วถึงได้ประกาศนียบัตรรับรอง (ตอนที่เราสอบ เป็นใบละ part ค่ะ ถ้าสอบผ่าน 4 ทักษะ ก็จะได้ประกาศนียบัตรมาทั้งหมด 4 ใบ)
ตัวเราเอง ยอมรับว่าเราสอบทั้ง 4 part ทีเดียว แต่เรามาตกตอนการฟัง ขาดไปประมาณ 1-2 ข้อ
เลยตั้งใจอ่านอีกรอบ และสุดท้ายก็ผ่านทั้งหมด
🇩🇪 เคล็ดลับการสอบภาษาเยอรมัน
📍ยังคงอยากจะแนะนำว่า ให้ทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ฝึกฟังให้มากๆ
หลังจากสอบผ่านภาษาเยอรมัน B1 ไป เราถือว่าเราอุ่นใจขึ้นในระดับนึงแล้ว
อย่างน้อยเราจะไปเรียนต่อที่เยอรมัน มันก็เริ่มมีความเป็นเยอรมันแล้ว
(*เป้าหมายก่อนไปเรียนต่อคือ เราต้องสอบผ่าน B2 ให้ได้ ดังนั้นก็เลยค่อนข้าง follow up มาตลอด คือถึงแม้ว่าจะไม่ได้สอบ ณ ตอนนั้น ตัวเราเองก็ย้งคงเรียนอย่างต่อเนื่อง)
โอเค พอสอบภาษาเยอรมันผ่าน ก็ถึงเวลาวางแผน IELTS
🇬🇧 ต้องออกตัวก่อนว่า ตัวเราไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษ (ยอมรับแบบดื้อๆว่าเราเรียนภาษาจีนมาก่อนภาษาอังกฤษ) แล้วถ้าใครเคยเรียนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษจะรู้ว่า มันไม่สามารถไปด้วยกันได้จริงๆ 🤣 เราพูดในเทอมของเรียนเป็นภาษาต่างประเทศนะ คือถ้าตอนไหนที่เราพูดจีนคล่องมาก อังกฤษเราจะแย่มาก ในทางกลับกัน ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษคล่องมาก จีนเราก็จะพินาศมากเช่นกัน
ดังนั้นตัวเราเอง แค่จะวางแผนสอบ IELTS บอกเลยว่า เตรียมเป็นปี 55555555
(เราเริ่มสอบ IELTS ครั้งแรกตอน January 2018)
มาถึงตอนนี้จะขอแชร์ ‘ด่านหิน’ด่านที่ 2 ในชีวิต
เราสอบผ่าน IELTS overall 6.5 ครั้งที่ 9 !!!!!!!!!
ใช้เวลาสอบอยู่ 1 ปี 4 เดือน (เริ่มสอบเมื่อ Jan 2018 สอบผ่านเมื่อตอน April 2019)
ตอนนี้จะขอแชร์ประสบการณ์การเตรียมสอบ IELTS ด้วยตัวเอง (เกือบ 100 %)
จริงๆคือเราเคยไปลงเรียนตามคอร์สใหญ่แล้วนะคะ แต่ว่าคอร์สใหญ่ไม่ได้เหมาะสำหรับตัวเราค่ะ เลยทำการเตรียมเองใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นพอเราดูทั้งหมดแล้ว เราจะค้นพบปัญหาหลักๆของตัวเอง จากนั้นเราค่อยมาหาวิธีการแก้ไปทีละจุดค่ะ
ปัญหาหลักๆของเรามีอยู่เกือบทุกพาร์ท ยกตัวอย่างเช่น
1) การพูด : เราชอบคิดไม่ออก แถไม่ได้ กังวลเรื่องไวทยากรณ์มากเกินไป
2) การอ่าน : เราเป็นคนอ่านช้า
3) การเขียน : เป็นคนเขียนห้วน ไม่ขยี้ประเด็น
ส่วนตัวเราถนัดการฟังมากสุดค่ะ เลยให้เวลากับมันน้อยหน่อย
บอกก่อนเลยว่า พื้นฐานภาษาอังกฤษเราไม่ได้ดีนะคะช่วงสอบ เรียนโรงเรียนรัฐบาลมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยไปเมืองนอกค่ะ ก่อนหน้านั้นแทบไม่ได้ใช้เลยวันๆ ดังนั้นเลยอยากจะบอกว่า อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองจะทำข้อสอบไม่ได้นะคะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความพยายามล้วนๆเลย
ตัวเราเองเพิ่งมาทำงานใน International Marketing team ช่วงJan 2019 เท่านั้นค่ะ (เราสอบผ่าน April 2019 ) ดังนั้นจะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษเราตอนสอบนั้น แทบไม่ได้มาจากการทำงานเลยค่ะ
📍 Guideline ของเราเช่นเคย
ก่อนอื่นเราต้องมาดูก่อนนะคะ ว่าแต่ละมหาวิทยาลัยเนี่ย เขาต้องการคะแนน IELTS เท่าไหร่ (ส่วนใหญ่ของเยอรมันคือ Overall 6.5)
จัดเรียงความถนัดของเราตัวเอง
จัดเวลาอ่านหนังสือและเตรียมตัว
จัดหาหนังสือ IELTS ของเราเน้นเป็นของ Cambridge series 14 เล่ม
(ตอนนี้ ณ ปี 2021 จากการหาข้อมูลคร่าวๆ หนังสือมีทั้งหมด 15 เล่มแล้วค่ะ อย่าลืมอัพเดตส่วนนี้ด้วยค่ะ)
: หนังสือเรายืมจากห้องสมุดเอาค่ะ พวก TK park ไม่ได้ซื้อทั้งหมด
เริ่มต้นการเตรียมตัวทีละ part ของเรา
การฟัง : สำหรับการฟัง ยังคงแนะนำเหมือนเดิม ให้ฝึกฟังเยอะๆค่ะ ตัวเราเองในส่วนของการฟัง เราทำแค่ตัวข้อสอบ 14 เล่มของ Cambridge ทำวนไปเล่มละ 3 รอบค่ะ สำหรับการฟัง ส่วนคำที่สะกดผิด เราคัดเลยค่ะ
แอบเสริม : ✅ นอกจากการทำแบบฝึดหัดแล้ว เรายังชอบหาคลิปใน Youtube ฟังเพิ่มเติมค่ะ ไม่มีที่แนะนำเป็นพิเศษใช้คำว่าฟังไปเรื่อยๆดีกว่า ฟังทุกสำเนียง (แค่พิมพ์คำว่า IELTS listening ในYoutubeก็จะขึ้นมาเต็มไปหมดค่ะ)
จากประสบการณ์การฟังอย่างซ้ำๆ การันตีเลยว่า เนื้อหาของข้อสอบไม่หนีไปไหน
การพูด : ที่แบ่งเป็น 3 part (จะพูดแค่ part 2 กับ part 3 นะคะ)
วิธีการของเราคือ เราทำการลอกหัวข้อทั้งหมดจากหนังสือ 14 เล่ม มาใส่กล่องจับฉลาก แล้วก็มีเตรียมนาฬิกาจับเวลาเล็กๆไว้ค่ะ
กติการของ part 2 คือต้องพูดทั้งหมด 1 นาที เกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ พอเราจับได้มา ตั้งนาฬิกาจับเวลาให้พร้อม เราก็จะทำการคุยกับตัวเองเลย
✅ ถ้าครบเวลา ถือว่าโชคดีไปค่ะ
❌ ถ้าไม่ครบเวลา เราจะไปเปิด Youtube หรือ search หาใน internet เพิ่มเติม ว่าชาวนักสอบเขาพูดอะไรกันบ้างแนะนำอีกอย่าง ให้ดีที่สุดเลยคือ จดคีย์เวิร์ดไว้ในแต่ละหัวข้อค่ะ
เช่น เรื่องการเฉลิมฉลองในเทศกาลสำคัญต่างๆในบ้านเกิดของคุณ เราอาจจะจดไว้ว่า Songkran , April , festive , Family Day , Thai New Year อะไรประมาณนี้ค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าข้อสอบการพูดก็ค่อนข้างวนเช่นกัน ดังนั้นการที่เรามีคีย์เวิร์ดในหัวของแต่ละหัวข้อ จะช่วยเราได้มากๆซึ่งหลายๆครั้งที่เราจับได้หัวข้ออื่น มันสามารถเอาคีย์เวิร์ดในหัวของเราไป adapt ได้ค่ะ
ตัวช่วยเพิ่มเติมของเรา
✅ Youtube เช่นเคยค่ะ ลองหาคลิปที่มีการอัดไว้ตอนนักเรียนต่างชาติสอบ แล้วจดพวกสำนวนตามที่เขาใช้มาเยอะๆตอนเราซ้อมก็ลองใช้คำพวกที่เราจดมา พอใช้ไปนานๆมันจะเริ่มใช้ได้เองค่ะ (แนะนำว่าให้จำด้วยว่าเขาใช้ในบริบทไหนนะ เพราะตัวเราเองเคยประสบปัญหาจดออกมาแล้วใช้ไม่เป็น ต้องไปหาย้อนหลัง กลายเป็นเสียเวลาไปอีก)
*สำหรับผู้ที่กังวลด้านไวทยากรณ์ ขอแนะนำว่าไม่ต้องกังวลขนาดนั้นนะคะ เมนไอเดียของการพูดคือ อย่าปล่อยdead air และพยายามพูดขยี้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มี เอิ่ม เอ่อ หรือว่าเงียบค่ะ
ทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา คือการพูดไปเรื่อยๆจนอาจารย์สอบสัมภาษณ์บอกให้หยุดค่ะ
การอ่าน
ยังคงเกาะหนังสือเล่มเดิมเช่นเคย อ่านวนอ่านซ้ำไป จริงๆอีกทริกที่ช่วยได้มากคือการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ รวมถึงข่าวต่างๆ หัวข้อการสอบส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างจิปาถะ ดังนั้นการที่เราเตรียมตัวให้ได้มากที่สุดย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
✅สิ่งนึงที่อยากแนะนำ : อย่าลืมจับเวลาทุกครั้ง
สำหรับเรา เราเป็นคนไม่ถนัด Reading จำได้ว่าช่วงแรกที่ทำ ตอนที่ทำเสร็จแต่ละตอน เราจะเขียนไว้ทุกครั้งว่าตัวเองใช้เวลานานแค่ไหน เพื่อมาปรับทีหลัง และถ้ารู้ว่าตัวเองใช้เวลากับอะไรเยอะ ก็จะได้เน้นให้ฝึกในส่วนนั้นเยอะ ส่วนใหญ่ Reading จะมีคีย์เวิร์ด และจำไว้ว่า! คำถามมันจะไม่ข้ามไปข้ามมา มันจะเรียงลงมาเป็นข้อๆ
**IELTS เป็น speed test ดังนั้นการบริหารจัดการเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก**
การเขียน
สำหรับเราส่วนนี้ยากที่สุด เรามีปัญหาการเขียนมาก สิ่งแรกที่เราทำคือ เราหาตัวอย่างคำตอบมาทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ตัวอย่างแนวการเขียนที่ทำให้ได้ Band 8 ไปจนถึง Band 6.5 ขีดคำสำคัญ ศัพท์ไฮไลท์ที่เขาใช้กัน แล้วก็เลียนแบบมาทั้งประโยค (สิ่งที่ไม่แนะนำสำหรับคนที่พื้นไม่ค่อยดีคืออย่าจดมาเฉพาะคำศัพท์นะคะ จดมาทั้งประโยค เพราะในบางครั้งเราจะ งง เองค่ะว่ามันใช้ยังไง คืออารมณ์ว่า เข้าใจความหมายเดี่ยวๆแต่ประกอบไม่ได้ อันนี้ประสบการณ์ส่วนตัวเราเองค่ะ) ถ้าท่องศัพท์เฉยๆ มันจะช่วยในส่วนของการอ่านมากกว่า สำหรับเรานะ
✅อีกหนึ่งตัวช่วยที่เราแอบใช้ตอนหลังคือเราแอบไปลงคอร์สการเขียนค่ะ คือจุดประสงค์หลักของเราคือ เราต้องการหาคนตรวจการเขียน เพราะว่าบางครั้งเราได้อ่านหนังสือมาเยอะจริง แต่ว่าอาจจะยังมีปัญหาในการเรียงลำดับเนื้อหารวมถึงความคิดรวบยอด ดังนั้นสิ่งที่เราทำ คือเราหาคอร์สการเขียนลง ให้คนสอนช่วยตบความคิดเราเข้าที่หน่อยค่ะ(โดยดูจากจำนวนการบ้านเขียนที่ให้เราส่งให้ตรวจได้เป็นหลัก)
คนตรวจนั้นเราเลือกครูไทยค่ะ เนื่องจากประสบการ์เรา สำหรับเราครูเจ้าของภาษา ระดับภาษาอังกฤษของเขาจะเกินเราไปหน่อย แล้วก็การอธิบายไวทยากรณ์บางจุด ครูไทยจะอธิบายได้ดีกว่าค่ะ (แต่อันนี้ความคิดเห็นของเราคนเดียวนะคะ)
อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้
✅ การตามข่าวสารให้อินเทรนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะข้อสอบไปไวมากค่ะ เราจำได้ว่าช่วงครั้งสุดท้ายที่เราสอบIELTS speaking ของเราโดนเรื่อง Covid-19 เลยค่ะ และความโชคดีของเราคือคืนก่อนสอบ เราบังเอิญไปเจอ live ที่มีคนรวบรวมศัพท์ที่ใช้ แล้วเราดันจดและท่องไว้ค่ะ สุดท้ายคือจำได้หมด แล้วเลยผ่านฉลุยด้วยคะแนน speaking 6.5
(เราสอบมา 8 ครั้ง ไม่เคยได้เกิน 6.0 )
✅ remark อีกจุด เนื่องจากการสอบในยุคโควิด เราคาดเดาไม่ได้ ถ้าอยากได้การสอบที่มีอัตราแคนเซิลหรือเลื่อนสอบน้อย แนะนำให้สอบกับคอมพิวเตอร์ค่ะ เนื่องจากมีการจำกัดจำนวนคน ส่วนตัวเราคือปีที่สอบ เป็นปีที่โควิดมาแรง เราโดนแคนเซิลไปประมาณ 3 - 4 รอบ คือค่อนข้างวุ่นวายค่ะ
รอบสุดท้ายเลยตัดสินใจสอบกับคอม
📍ย่อหน้าสุดท้าย ยังคงเน้นให้กำลังใจคนที่สอบ IELTS ค่ะ หากยังสอบไม่ผ่าน อย่าเพิ่งท้อใจนะคะ (ดูจากเรา เพิ่งสอบผ่านครั้งที่ 9) บอกเลยว่า ระหว่างทางก็มีการท้อเบาๆค่ะ เสียใจไปหลายที แต่เราก็กลับมายืนจุดเดิมได้ทุกครั้ง
สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ปัญหาของตัวเอง ตัวเองไม่ได้เรื่องอะไร ก็ค่อยๆแก้ไปทีละจุดค่ะ
และที่สำคัญอย่าเอาตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นค่ะ ไม่งั้นจะเครียดมากค่ะ ต้นทุนของคนเราไม่เท่ากัน เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละคน กว่าจะมาถึงจุดๆนี้เขาลำบากแค่ไหน และแน่นอนค่ะ สิ่งนึงที่ช่วยได้คือความพยายาม
❤️❤️❤️ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังสอบ และ วิ่งตามความฝันนะคะ
เราเองใช้เวลามา 1 ปี 4 เดือนกว่าจะสอบผ่าน
ดังนั้นอย่าเพิ่งท้อใจนะคะ พอถึงวันนึงที่มันเป็นของเราขึ้นมา
คุณจะรู้ว่าความสำเร็จมันหอมหวานมาก และมันคุ้มค่ามาก 💪
[A Dreamer :กระทู้ให้กำลังใจคนมีฝัน ] รีวิวการเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน 🇩🇪 ฉบับคนถึก ตอนที่ 4 : ATTEMPT
ขั้นตอนการเตรียมตัว
ตอนที่ 11 : [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน 🇩🇪 ตอนกรอกแบบฟอร์ม VIDEX เพื่อยื่นวีซ่าเพื่อการศึกษา
https://ppantip.com/topic/41494161
ตอนที่ 12 : [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน 🇩🇪 ได้รับอนุมัติวีซ่า+ ส่งท้ายขั้นตอนการเตรียมตัว
https://ppantip.com/topic/41522029
ตอนที่ 13 [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 กับ check-list ที่ต้องทำ (ตอนที่ 1/2) : บ้าน เปิดซิม เปิดบัญชี
https://ppantip.com/topic/41644063
ตอนที่ 14: [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 กับ check-list ที่ต้องทำ (ตอนที่ 2/2) : Anmeldung เปิดบัญชีและอื่นๆ
https://ppantip.com/topic/41660274
ตอนที่ 15: [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 กับ check-list ที่ต้องทำ: Residence permit (Aufenthaltstitel)
https://ppantip.com/topic/41956848
ตอนที่ 16: [CR] รีวิว Review [A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 กับ check-list ที่ต้องทำ: เปิดบัญชีธนาคาร Berliner Sparkasse
https://ppantip.com/topic/41971413
ตอนที่ 17: [CR] รีวิว Review [Not just A Dreamer] เมื่อมาถึงเยอรมัน 🇩🇪 เรียนจบแล้วววววว พร้อมเปลี่ยน Visa แล้ว
https://ppantip.com/topic/42505274
มาค่ะ เริ่มกัน
หลังจากเรียนจบเมื่อ April 2017
ระหว่างจะเตรียมสอบ IELTS เราหนีกลับมาสอบวัดระดับภาษาเยอรมันก่อนค่ะ
ภาษาเยอรมันมีทั้งหมด 6 ระดับ A1 A2 B1 B2 C1 C2 (เรียงจากง่ายไปยาก)
ณ ปีนี้จำได้ว่าเป็นการเปลี่ยนข้อสอบแบบใหม่ เราสอบระดับ B1
ใช้เวลาเตรียมการมา 9 เดือน สุดท้ายก็สอบผ่านทั้ง 4 part
ขอเล่านิดนึง.........
🇩🇪 การสอบวัดระดับภาษาในสหภาพยุโรป จะเป็นการสอบทุกทักษะ เริ่มตั้งแต่ ฟัง ไปยังพูด อ่านและเขียน ซึ่งบอกเลยว่า สำหรับเรามันค่อนข้างท้าทายมาก ตัวเราเองชินแต่กับภาษาตะวันออก ซึ่งมันไม่มีอะไรแบบนี้! การสอบวัดระดับภาษาเยอรมันของเราเลยค่อนข้างตื่นเต้น เนื่องจากต้องผ่านทุกpart ไม่งั้นถือว่าไม่ผ่าน
สำหรับระดับ B1 ตอนนั้น ต้องสอบให้ได้ 60 percent ขึ้นไปถึงจะผ่าน เมื่อผ่านแล้วถึงได้ประกาศนียบัตรรับรอง (ตอนที่เราสอบ เป็นใบละ part ค่ะ ถ้าสอบผ่าน 4 ทักษะ ก็จะได้ประกาศนียบัตรมาทั้งหมด 4 ใบ)
ตัวเราเอง ยอมรับว่าเราสอบทั้ง 4 part ทีเดียว แต่เรามาตกตอนการฟัง ขาดไปประมาณ 1-2 ข้อ
เลยตั้งใจอ่านอีกรอบ และสุดท้ายก็ผ่านทั้งหมด
🇩🇪 เคล็ดลับการสอบภาษาเยอรมัน
📍ยังคงอยากจะแนะนำว่า ให้ทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ฝึกฟังให้มากๆ
หลังจากสอบผ่านภาษาเยอรมัน B1 ไป เราถือว่าเราอุ่นใจขึ้นในระดับนึงแล้ว
อย่างน้อยเราจะไปเรียนต่อที่เยอรมัน มันก็เริ่มมีความเป็นเยอรมันแล้ว
(*เป้าหมายก่อนไปเรียนต่อคือ เราต้องสอบผ่าน B2 ให้ได้ ดังนั้นก็เลยค่อนข้าง follow up มาตลอด คือถึงแม้ว่าจะไม่ได้สอบ ณ ตอนนั้น ตัวเราเองก็ย้งคงเรียนอย่างต่อเนื่อง)
โอเค พอสอบภาษาเยอรมันผ่าน ก็ถึงเวลาวางแผน IELTS
🇬🇧 ต้องออกตัวก่อนว่า ตัวเราไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษ (ยอมรับแบบดื้อๆว่าเราเรียนภาษาจีนมาก่อนภาษาอังกฤษ) แล้วถ้าใครเคยเรียนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษจะรู้ว่า มันไม่สามารถไปด้วยกันได้จริงๆ 🤣 เราพูดในเทอมของเรียนเป็นภาษาต่างประเทศนะ คือถ้าตอนไหนที่เราพูดจีนคล่องมาก อังกฤษเราจะแย่มาก ในทางกลับกัน ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษคล่องมาก จีนเราก็จะพินาศมากเช่นกัน
ดังนั้นตัวเราเอง แค่จะวางแผนสอบ IELTS บอกเลยว่า เตรียมเป็นปี 55555555
(เราเริ่มสอบ IELTS ครั้งแรกตอน January 2018)
มาถึงตอนนี้จะขอแชร์ ‘ด่านหิน’ด่านที่ 2 ในชีวิต
เราสอบผ่าน IELTS overall 6.5 ครั้งที่ 9 !!!!!!!!!
ใช้เวลาสอบอยู่ 1 ปี 4 เดือน (เริ่มสอบเมื่อ Jan 2018 สอบผ่านเมื่อตอน April 2019)
ตอนนี้จะขอแชร์ประสบการณ์การเตรียมสอบ IELTS ด้วยตัวเอง (เกือบ 100 %)
จริงๆคือเราเคยไปลงเรียนตามคอร์สใหญ่แล้วนะคะ แต่ว่าคอร์สใหญ่ไม่ได้เหมาะสำหรับตัวเราค่ะ เลยทำการเตรียมเองใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นพอเราดูทั้งหมดแล้ว เราจะค้นพบปัญหาหลักๆของตัวเอง จากนั้นเราค่อยมาหาวิธีการแก้ไปทีละจุดค่ะ
ปัญหาหลักๆของเรามีอยู่เกือบทุกพาร์ท ยกตัวอย่างเช่น
1) การพูด : เราชอบคิดไม่ออก แถไม่ได้ กังวลเรื่องไวทยากรณ์มากเกินไป
2) การอ่าน : เราเป็นคนอ่านช้า
3) การเขียน : เป็นคนเขียนห้วน ไม่ขยี้ประเด็น
ส่วนตัวเราถนัดการฟังมากสุดค่ะ เลยให้เวลากับมันน้อยหน่อย
บอกก่อนเลยว่า พื้นฐานภาษาอังกฤษเราไม่ได้ดีนะคะช่วงสอบ เรียนโรงเรียนรัฐบาลมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยไปเมืองนอกค่ะ ก่อนหน้านั้นแทบไม่ได้ใช้เลยวันๆ ดังนั้นเลยอยากจะบอกว่า อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองจะทำข้อสอบไม่ได้นะคะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความพยายามล้วนๆเลย
ตัวเราเองเพิ่งมาทำงานใน International Marketing team ช่วงJan 2019 เท่านั้นค่ะ (เราสอบผ่าน April 2019 ) ดังนั้นจะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษเราตอนสอบนั้น แทบไม่ได้มาจากการทำงานเลยค่ะ
📍 Guideline ของเราเช่นเคย
ก่อนอื่นเราต้องมาดูก่อนนะคะ ว่าแต่ละมหาวิทยาลัยเนี่ย เขาต้องการคะแนน IELTS เท่าไหร่ (ส่วนใหญ่ของเยอรมันคือ Overall 6.5)
จัดเรียงความถนัดของเราตัวเอง
จัดเวลาอ่านหนังสือและเตรียมตัว
จัดหาหนังสือ IELTS ของเราเน้นเป็นของ Cambridge series 14 เล่ม
(ตอนนี้ ณ ปี 2021 จากการหาข้อมูลคร่าวๆ หนังสือมีทั้งหมด 15 เล่มแล้วค่ะ อย่าลืมอัพเดตส่วนนี้ด้วยค่ะ)
: หนังสือเรายืมจากห้องสมุดเอาค่ะ พวก TK park ไม่ได้ซื้อทั้งหมด
เริ่มต้นการเตรียมตัวทีละ part ของเรา
การฟัง : สำหรับการฟัง ยังคงแนะนำเหมือนเดิม ให้ฝึกฟังเยอะๆค่ะ ตัวเราเองในส่วนของการฟัง เราทำแค่ตัวข้อสอบ 14 เล่มของ Cambridge ทำวนไปเล่มละ 3 รอบค่ะ สำหรับการฟัง ส่วนคำที่สะกดผิด เราคัดเลยค่ะ
แอบเสริม : ✅ นอกจากการทำแบบฝึดหัดแล้ว เรายังชอบหาคลิปใน Youtube ฟังเพิ่มเติมค่ะ ไม่มีที่แนะนำเป็นพิเศษใช้คำว่าฟังไปเรื่อยๆดีกว่า ฟังทุกสำเนียง (แค่พิมพ์คำว่า IELTS listening ในYoutubeก็จะขึ้นมาเต็มไปหมดค่ะ)
จากประสบการณ์การฟังอย่างซ้ำๆ การันตีเลยว่า เนื้อหาของข้อสอบไม่หนีไปไหน
การพูด : ที่แบ่งเป็น 3 part (จะพูดแค่ part 2 กับ part 3 นะคะ)
วิธีการของเราคือ เราทำการลอกหัวข้อทั้งหมดจากหนังสือ 14 เล่ม มาใส่กล่องจับฉลาก แล้วก็มีเตรียมนาฬิกาจับเวลาเล็กๆไว้ค่ะ
กติการของ part 2 คือต้องพูดทั้งหมด 1 นาที เกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ พอเราจับได้มา ตั้งนาฬิกาจับเวลาให้พร้อม เราก็จะทำการคุยกับตัวเองเลย
✅ ถ้าครบเวลา ถือว่าโชคดีไปค่ะ
❌ ถ้าไม่ครบเวลา เราจะไปเปิด Youtube หรือ search หาใน internet เพิ่มเติม ว่าชาวนักสอบเขาพูดอะไรกันบ้างแนะนำอีกอย่าง ให้ดีที่สุดเลยคือ จดคีย์เวิร์ดไว้ในแต่ละหัวข้อค่ะ
เช่น เรื่องการเฉลิมฉลองในเทศกาลสำคัญต่างๆในบ้านเกิดของคุณ เราอาจจะจดไว้ว่า Songkran , April , festive , Family Day , Thai New Year อะไรประมาณนี้ค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าข้อสอบการพูดก็ค่อนข้างวนเช่นกัน ดังนั้นการที่เรามีคีย์เวิร์ดในหัวของแต่ละหัวข้อ จะช่วยเราได้มากๆซึ่งหลายๆครั้งที่เราจับได้หัวข้ออื่น มันสามารถเอาคีย์เวิร์ดในหัวของเราไป adapt ได้ค่ะ
ตัวช่วยเพิ่มเติมของเรา
✅ Youtube เช่นเคยค่ะ ลองหาคลิปที่มีการอัดไว้ตอนนักเรียนต่างชาติสอบ แล้วจดพวกสำนวนตามที่เขาใช้มาเยอะๆตอนเราซ้อมก็ลองใช้คำพวกที่เราจดมา พอใช้ไปนานๆมันจะเริ่มใช้ได้เองค่ะ (แนะนำว่าให้จำด้วยว่าเขาใช้ในบริบทไหนนะ เพราะตัวเราเองเคยประสบปัญหาจดออกมาแล้วใช้ไม่เป็น ต้องไปหาย้อนหลัง กลายเป็นเสียเวลาไปอีก)
*สำหรับผู้ที่กังวลด้านไวทยากรณ์ ขอแนะนำว่าไม่ต้องกังวลขนาดนั้นนะคะ เมนไอเดียของการพูดคือ อย่าปล่อยdead air และพยายามพูดขยี้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มี เอิ่ม เอ่อ หรือว่าเงียบค่ะ
ทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา คือการพูดไปเรื่อยๆจนอาจารย์สอบสัมภาษณ์บอกให้หยุดค่ะ
การอ่าน
ยังคงเกาะหนังสือเล่มเดิมเช่นเคย อ่านวนอ่านซ้ำไป จริงๆอีกทริกที่ช่วยได้มากคือการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ รวมถึงข่าวต่างๆ หัวข้อการสอบส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างจิปาถะ ดังนั้นการที่เราเตรียมตัวให้ได้มากที่สุดย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
✅สิ่งนึงที่อยากแนะนำ : อย่าลืมจับเวลาทุกครั้ง
สำหรับเรา เราเป็นคนไม่ถนัด Reading จำได้ว่าช่วงแรกที่ทำ ตอนที่ทำเสร็จแต่ละตอน เราจะเขียนไว้ทุกครั้งว่าตัวเองใช้เวลานานแค่ไหน เพื่อมาปรับทีหลัง และถ้ารู้ว่าตัวเองใช้เวลากับอะไรเยอะ ก็จะได้เน้นให้ฝึกในส่วนนั้นเยอะ ส่วนใหญ่ Reading จะมีคีย์เวิร์ด และจำไว้ว่า! คำถามมันจะไม่ข้ามไปข้ามมา มันจะเรียงลงมาเป็นข้อๆ
**IELTS เป็น speed test ดังนั้นการบริหารจัดการเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก**
การเขียน
สำหรับเราส่วนนี้ยากที่สุด เรามีปัญหาการเขียนมาก สิ่งแรกที่เราทำคือ เราหาตัวอย่างคำตอบมาทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ตัวอย่างแนวการเขียนที่ทำให้ได้ Band 8 ไปจนถึง Band 6.5 ขีดคำสำคัญ ศัพท์ไฮไลท์ที่เขาใช้กัน แล้วก็เลียนแบบมาทั้งประโยค (สิ่งที่ไม่แนะนำสำหรับคนที่พื้นไม่ค่อยดีคืออย่าจดมาเฉพาะคำศัพท์นะคะ จดมาทั้งประโยค เพราะในบางครั้งเราจะ งง เองค่ะว่ามันใช้ยังไง คืออารมณ์ว่า เข้าใจความหมายเดี่ยวๆแต่ประกอบไม่ได้ อันนี้ประสบการณ์ส่วนตัวเราเองค่ะ) ถ้าท่องศัพท์เฉยๆ มันจะช่วยในส่วนของการอ่านมากกว่า สำหรับเรานะ
✅อีกหนึ่งตัวช่วยที่เราแอบใช้ตอนหลังคือเราแอบไปลงคอร์สการเขียนค่ะ คือจุดประสงค์หลักของเราคือ เราต้องการหาคนตรวจการเขียน เพราะว่าบางครั้งเราได้อ่านหนังสือมาเยอะจริง แต่ว่าอาจจะยังมีปัญหาในการเรียงลำดับเนื้อหารวมถึงความคิดรวบยอด ดังนั้นสิ่งที่เราทำ คือเราหาคอร์สการเขียนลง ให้คนสอนช่วยตบความคิดเราเข้าที่หน่อยค่ะ(โดยดูจากจำนวนการบ้านเขียนที่ให้เราส่งให้ตรวจได้เป็นหลัก)
คนตรวจนั้นเราเลือกครูไทยค่ะ เนื่องจากประสบการ์เรา สำหรับเราครูเจ้าของภาษา ระดับภาษาอังกฤษของเขาจะเกินเราไปหน่อย แล้วก็การอธิบายไวทยากรณ์บางจุด ครูไทยจะอธิบายได้ดีกว่าค่ะ (แต่อันนี้ความคิดเห็นของเราคนเดียวนะคะ)
อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้
✅ การตามข่าวสารให้อินเทรนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะข้อสอบไปไวมากค่ะ เราจำได้ว่าช่วงครั้งสุดท้ายที่เราสอบIELTS speaking ของเราโดนเรื่อง Covid-19 เลยค่ะ และความโชคดีของเราคือคืนก่อนสอบ เราบังเอิญไปเจอ live ที่มีคนรวบรวมศัพท์ที่ใช้ แล้วเราดันจดและท่องไว้ค่ะ สุดท้ายคือจำได้หมด แล้วเลยผ่านฉลุยด้วยคะแนน speaking 6.5
(เราสอบมา 8 ครั้ง ไม่เคยได้เกิน 6.0 )
✅ remark อีกจุด เนื่องจากการสอบในยุคโควิด เราคาดเดาไม่ได้ ถ้าอยากได้การสอบที่มีอัตราแคนเซิลหรือเลื่อนสอบน้อย แนะนำให้สอบกับคอมพิวเตอร์ค่ะ เนื่องจากมีการจำกัดจำนวนคน ส่วนตัวเราคือปีที่สอบ เป็นปีที่โควิดมาแรง เราโดนแคนเซิลไปประมาณ 3 - 4 รอบ คือค่อนข้างวุ่นวายค่ะ
รอบสุดท้ายเลยตัดสินใจสอบกับคอม
📍ย่อหน้าสุดท้าย ยังคงเน้นให้กำลังใจคนที่สอบ IELTS ค่ะ หากยังสอบไม่ผ่าน อย่าเพิ่งท้อใจนะคะ (ดูจากเรา เพิ่งสอบผ่านครั้งที่ 9) บอกเลยว่า ระหว่างทางก็มีการท้อเบาๆค่ะ เสียใจไปหลายที แต่เราก็กลับมายืนจุดเดิมได้ทุกครั้ง
สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ปัญหาของตัวเอง ตัวเองไม่ได้เรื่องอะไร ก็ค่อยๆแก้ไปทีละจุดค่ะ
และที่สำคัญอย่าเอาตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นค่ะ ไม่งั้นจะเครียดมากค่ะ ต้นทุนของคนเราไม่เท่ากัน เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละคน กว่าจะมาถึงจุดๆนี้เขาลำบากแค่ไหน และแน่นอนค่ะ สิ่งนึงที่ช่วยได้คือความพยายาม
❤️❤️❤️ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังสอบ และ วิ่งตามความฝันนะคะ
เราเองใช้เวลามา 1 ปี 4 เดือนกว่าจะสอบผ่าน
ดังนั้นอย่าเพิ่งท้อใจนะคะ พอถึงวันนึงที่มันเป็นของเราขึ้นมา
คุณจะรู้ว่าความสำเร็จมันหอมหวานมาก และมันคุ้มค่ามาก 💪