แล้วก็ก็มีเสียงร้องโอดโอยดังตามมา ยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะเดินจากไปหันมามองทันที เห็นหญิงสาวกำลังพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากเย็น สีหน้ามีแววเจ็บปวดก็ให้นึกสงสารขึ้นมา จะให้หักใจทิ้งไปเสีย ก็เกิดเป็นห่วง
“ทำดีต้องทำให้ถึงที่สุด เห็นท่าเราจะปล่อยนางน้อยตนนี้ตามลำพังในป่าเขาไม่ได้ หอยทากสัตว์มีพิษมีอยู่มากมาย แต่เราจะทำเยี่ยงไรดี”
ก็เลยเอ่ยถามขึ้นมาพยายามให้สุ้มเสียงอ่อนที่สุด เพราะเกรงว่าหญิงสาวร่างนิดจะขวัญหนีดีฝ่อ
“เป็นเยี่ยงใดบ้าง แม่นาง เจ้าเจ็บตรงที่ใดบ้าง”
หญิงสาวไม่ตอบ มองดูร่างใหญ่โตทะมึนด้วยความอัศจรรย์ใจ ฝ่ายยักษ์พอเห็นสีหน้านางก็เข้าใจว่านางเกลียดกลัวรูปร่างใหญ่โตของตนเอง จึงถอยหลังห่างออกไป ชี้มือไปยังมอเตอร์ไซค์ที่ล้มคว่ำอยู่
“พาหนะนั่นของนาง ยังใช้การได้หรือไม่ เราจะไปเก็บกลับคืนมาให้เจ้า ไม้ต้นนั้นเราจะไปเอาออกให้พ้นทางเอง”
พูดจบก็ไม่รอฟังคำตอบ เดินดุ่มๆผืนดินสะเทือนไป แต่ไม่คาดจะมีเสียงรั้งเอาไว้
“อย่าเลยท่านยักษ์ ถึงท่านเอามาเราก็ขับขี่ต่อไปไม่ได้ กุญแจถูกพวกใจทรามยึดไปเสียแล้ว แต่หากท่านจะกรุณา ได้โปรดเขี่ยต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นให้พ้นทางเสียเถิด ชาวบ้านจะได้ใช้ถนนได้”
อสูรใหญ่มองนางด้วยสีหน้างงงวยในตอนแรก แต่แล้วก็ผงกศีรษะ เดินไปไม่พิรี้พิไร ก้มคว้าต้นไม้ด้วยมือข้างเดียวอย่างง่ายดาย แล้วโยนปลิวไปในทุ่งโล่งๆ
หญิงอ้าปากค้างกับพลังอันมหาศาลของยักษ์ใหญ่ ในขณะที่ร่างนั้นมาหยุดอยู่ห่างนางไม่เข้าใกล้เช่นเดิม
ขวัญเรือนเห็นสีหน้ายักษ์มองเธอด้วยความยุ่งยากและลังเล แม้จะเขี้ยวโง้งน่ากลัว แต่น้ำเสียงกลับไม่ดุดัน
“แม่นางขยับตัวได้หรือไม่ ถ้ามิเช่นนั้นเราชักนำมนุษย์ด้วยกันมาช่วยเหลือ”
“ ขะ ขอบใจท่าน” หญิงสาวพูดตะกุกตะกักขึ้น แต่ในใจเธอกลับคิดว่า “ไม่เป็นการดีเสียแล้วมั้ง ใครที่ไหนเห็นท่านแต่ไกลก็แจ้วอ้าวแล้วคงจะไม่มีใครมาช่วยเราเป็นแน่”
ยักษ์ใหญ่แค่มองรอยยิ้มเจื่อนๆของขวัญเรือน ก็คาดการณ์ออก รีบกล่าวขึ้น
“เราเพิ่งปะกับมนุษย์จิตใจงามคนหนึ่ง เป็นหลานท่านอสุนี เชื่อว่าถ้าหากไปขอความช่วยเหลือ คงไม่นิ่งดูดายเป็นแน่แท้”
หญิงสาวเม้มปากอย่างชั่งใจ คลำหาโทรศัพท์เธอแต่ไม่พบ สัตว์นรกตัวใดตัวหนึ่งคงฉวยติดตัวไปด้วย หล่อนมั่นใจว่ามันคงปาทิ้งเอากลางทางไม่ให้เป็นหลักฐานมัดตัว เช่นเดียวกับกุญแจรถ
แต่ฟ้ามืดอย่างนี้หมดหวังที่จะหาเจอเสียแล้ว เสียงหริ่งรีดระงมเซ็งแซ่ หล่อนเหลียวมองไปรอบๆตัวอย่างสิ้นหวัง ได้ยินสวบสาบบนพื้นก็สะดุ้งโหยง อสรพิษตัวหนึ่งกำลังเลี้อยเข้ามา มันเป็นพันธุ์ใดนั้นเธอไม่สนใจที่รู้ ขึ้นชื่อว่างูแล้วหญิงสาวไม่เคยพิศมัย ขวัญเรือนตาลีตาเหลือกเผ่นพรวดมาทางยักษ์ทันทีเพื่อเกาะเป็นที่พึ่งอย่างลืมตัว
“ท่าน ช่วยเราด้วย งู”
ยักษ์สั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย ตั้งแต่เกิดมามันไม่เคยสัมผัสร่างสตรีเลย อย่าว่าแต่จะเป็นมนุษย์หญิงตัวจ้อยจะริด แต่พอรู้ตัวก็ก้มลงเอามือป้องหญิงสาวไว้ เป่าลมจากปากเบาๆงูตัวนั้นก็ลอยละลิ่วหายลับตาไป
“ไม่ต้องกลัวแม่นาง ข้าเป่าไล่มันไปไกลแล้ว”
หญิงสาวค่อยๆคลายมือออกจากการเกาะกุมมือยักษ์ มองอย่างหวาดๆ
“ขอบคุณท่านมาก โอ้จะทำอย่างไรดีถ้าท่านไม่อยู่ เราเชื่อว่าไม่ได้มีงูแค่ตัวเดียวแน่”
ยักษ์ได้ฟังแล้วนึกตรองดู
“ถูกของมนุษย์นางน้อยผู้นี้ เมื่อตะวันชิงพลบ เราเดินผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่ง ได้กลิ่นสาบสางของงูเหลือม มันคงออกหากิน ชะรอยเราจะทิ้งนางไว้ผู้เดียวไม่ได้เสียแล้ว”
ถึงยักษ์ไม่รู้จักโป้ปดมดเท็จ แต่มันก็คิดได้ว่าไม่พูดออกมาเป็นการดีที่สุด ยักษ์ใหญ่ทำเสียงอ้อมแอ้มพูดกับหญิงสาวว่า
“ข้าจุดไฟทิ้งไว้ให้ท่านดีหรือไม่ จงรออยู่ที่ตรงนี้ ข้าไปไม่นานหรอก”
หญิงสาวส่ายหน้าทันที
“ไม่ดีหรอกท่าน ประเดี๋ยวฟืนไฟมันไหม้ลาม เราดับไม่ทัน จะกลายเป็นคนบาปของหมู่บ้านไป”
คราวนี้ยักษ์เกาหัวเพราะทำอะไรไม่ถูก จู่ๆหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมอง
“รบกวนท่านพาเราเข้าเขตหมู่บ้านได้หรือไม่ หลังจากนั้นเราเชื่อว่าต้องได้รับความช่วยเหลือเพราะชาวบ้านแถวนี้มีน้ำใจมาก”
ยักษ์มองขวัญเรือนอย่างประหลาดใจ แต่ด้วยที่ไม่ได้ยึดติดประเพณีอย่างสังคมมนุษย์ จึงไม่ว่ากล่าวมากความ แบมือหงายลงกลับพื้น
“ถ้าหากแม่นางไว้ใจเราแล้วไซร้ และไม่รังเกลียดมือหยาบกระด้างของเรา ก็เชิญขึ้นมาเถิด อ้าวสิ่งนั้นสัมภาระที่ติดตัวนางมาไม่ใช่หรือ”
หญิงสาวหันไปมองเป็นเป้สะพายที่ถูกกระชาก หล่นอยู่ใต้ต้นไม้ เธอกัดฟันเดินขากระเผลกไปเก็บมาถือไว้
หญิงสาวก้าวขึ้นไปนั่งบนฝ่ามือยักษ์ที่ค่อยยกขึ้นอย่างทะนุถนอม แต่พอลอยขึ้นสูงจากพื้น เธออดสั่นหาที่ยึดเกาะเป็นพัลวัลไม่ได้ ยักษ์เห็นอาการของหล่อนแล้วพูดปลอบขึ้น
“เราไม่ปล่อยให้นางร่วงลงธรณีเด็ดขาด ถ้ากลัวก็หลับตาเสีย ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว”
ลุงข้างทางตอนสิบเอ็ด
“ทำดีต้องทำให้ถึงที่สุด เห็นท่าเราจะปล่อยนางน้อยตนนี้ตามลำพังในป่าเขาไม่ได้ หอยทากสัตว์มีพิษมีอยู่มากมาย แต่เราจะทำเยี่ยงไรดี”
ก็เลยเอ่ยถามขึ้นมาพยายามให้สุ้มเสียงอ่อนที่สุด เพราะเกรงว่าหญิงสาวร่างนิดจะขวัญหนีดีฝ่อ
“เป็นเยี่ยงใดบ้าง แม่นาง เจ้าเจ็บตรงที่ใดบ้าง”
หญิงสาวไม่ตอบ มองดูร่างใหญ่โตทะมึนด้วยความอัศจรรย์ใจ ฝ่ายยักษ์พอเห็นสีหน้านางก็เข้าใจว่านางเกลียดกลัวรูปร่างใหญ่โตของตนเอง จึงถอยหลังห่างออกไป ชี้มือไปยังมอเตอร์ไซค์ที่ล้มคว่ำอยู่
“พาหนะนั่นของนาง ยังใช้การได้หรือไม่ เราจะไปเก็บกลับคืนมาให้เจ้า ไม้ต้นนั้นเราจะไปเอาออกให้พ้นทางเอง”
พูดจบก็ไม่รอฟังคำตอบ เดินดุ่มๆผืนดินสะเทือนไป แต่ไม่คาดจะมีเสียงรั้งเอาไว้
“อย่าเลยท่านยักษ์ ถึงท่านเอามาเราก็ขับขี่ต่อไปไม่ได้ กุญแจถูกพวกใจทรามยึดไปเสียแล้ว แต่หากท่านจะกรุณา ได้โปรดเขี่ยต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นให้พ้นทางเสียเถิด ชาวบ้านจะได้ใช้ถนนได้”
อสูรใหญ่มองนางด้วยสีหน้างงงวยในตอนแรก แต่แล้วก็ผงกศีรษะ เดินไปไม่พิรี้พิไร ก้มคว้าต้นไม้ด้วยมือข้างเดียวอย่างง่ายดาย แล้วโยนปลิวไปในทุ่งโล่งๆ
หญิงอ้าปากค้างกับพลังอันมหาศาลของยักษ์ใหญ่ ในขณะที่ร่างนั้นมาหยุดอยู่ห่างนางไม่เข้าใกล้เช่นเดิม
ขวัญเรือนเห็นสีหน้ายักษ์มองเธอด้วยความยุ่งยากและลังเล แม้จะเขี้ยวโง้งน่ากลัว แต่น้ำเสียงกลับไม่ดุดัน
“แม่นางขยับตัวได้หรือไม่ ถ้ามิเช่นนั้นเราชักนำมนุษย์ด้วยกันมาช่วยเหลือ”
“ ขะ ขอบใจท่าน” หญิงสาวพูดตะกุกตะกักขึ้น แต่ในใจเธอกลับคิดว่า “ไม่เป็นการดีเสียแล้วมั้ง ใครที่ไหนเห็นท่านแต่ไกลก็แจ้วอ้าวแล้วคงจะไม่มีใครมาช่วยเราเป็นแน่”
ยักษ์ใหญ่แค่มองรอยยิ้มเจื่อนๆของขวัญเรือน ก็คาดการณ์ออก รีบกล่าวขึ้น
“เราเพิ่งปะกับมนุษย์จิตใจงามคนหนึ่ง เป็นหลานท่านอสุนี เชื่อว่าถ้าหากไปขอความช่วยเหลือ คงไม่นิ่งดูดายเป็นแน่แท้”
หญิงสาวเม้มปากอย่างชั่งใจ คลำหาโทรศัพท์เธอแต่ไม่พบ สัตว์นรกตัวใดตัวหนึ่งคงฉวยติดตัวไปด้วย หล่อนมั่นใจว่ามันคงปาทิ้งเอากลางทางไม่ให้เป็นหลักฐานมัดตัว เช่นเดียวกับกุญแจรถ
แต่ฟ้ามืดอย่างนี้หมดหวังที่จะหาเจอเสียแล้ว เสียงหริ่งรีดระงมเซ็งแซ่ หล่อนเหลียวมองไปรอบๆตัวอย่างสิ้นหวัง ได้ยินสวบสาบบนพื้นก็สะดุ้งโหยง อสรพิษตัวหนึ่งกำลังเลี้อยเข้ามา มันเป็นพันธุ์ใดนั้นเธอไม่สนใจที่รู้ ขึ้นชื่อว่างูแล้วหญิงสาวไม่เคยพิศมัย ขวัญเรือนตาลีตาเหลือกเผ่นพรวดมาทางยักษ์ทันทีเพื่อเกาะเป็นที่พึ่งอย่างลืมตัว
“ท่าน ช่วยเราด้วย งู”
ยักษ์สั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย ตั้งแต่เกิดมามันไม่เคยสัมผัสร่างสตรีเลย อย่าว่าแต่จะเป็นมนุษย์หญิงตัวจ้อยจะริด แต่พอรู้ตัวก็ก้มลงเอามือป้องหญิงสาวไว้ เป่าลมจากปากเบาๆงูตัวนั้นก็ลอยละลิ่วหายลับตาไป
“ไม่ต้องกลัวแม่นาง ข้าเป่าไล่มันไปไกลแล้ว”
หญิงสาวค่อยๆคลายมือออกจากการเกาะกุมมือยักษ์ มองอย่างหวาดๆ
“ขอบคุณท่านมาก โอ้จะทำอย่างไรดีถ้าท่านไม่อยู่ เราเชื่อว่าไม่ได้มีงูแค่ตัวเดียวแน่”
ยักษ์ได้ฟังแล้วนึกตรองดู
“ถูกของมนุษย์นางน้อยผู้นี้ เมื่อตะวันชิงพลบ เราเดินผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่ง ได้กลิ่นสาบสางของงูเหลือม มันคงออกหากิน ชะรอยเราจะทิ้งนางไว้ผู้เดียวไม่ได้เสียแล้ว”
ถึงยักษ์ไม่รู้จักโป้ปดมดเท็จ แต่มันก็คิดได้ว่าไม่พูดออกมาเป็นการดีที่สุด ยักษ์ใหญ่ทำเสียงอ้อมแอ้มพูดกับหญิงสาวว่า
“ข้าจุดไฟทิ้งไว้ให้ท่านดีหรือไม่ จงรออยู่ที่ตรงนี้ ข้าไปไม่นานหรอก”
หญิงสาวส่ายหน้าทันที
“ไม่ดีหรอกท่าน ประเดี๋ยวฟืนไฟมันไหม้ลาม เราดับไม่ทัน จะกลายเป็นคนบาปของหมู่บ้านไป”
คราวนี้ยักษ์เกาหัวเพราะทำอะไรไม่ถูก จู่ๆหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมอง
“รบกวนท่านพาเราเข้าเขตหมู่บ้านได้หรือไม่ หลังจากนั้นเราเชื่อว่าต้องได้รับความช่วยเหลือเพราะชาวบ้านแถวนี้มีน้ำใจมาก”
ยักษ์มองขวัญเรือนอย่างประหลาดใจ แต่ด้วยที่ไม่ได้ยึดติดประเพณีอย่างสังคมมนุษย์ จึงไม่ว่ากล่าวมากความ แบมือหงายลงกลับพื้น
“ถ้าหากแม่นางไว้ใจเราแล้วไซร้ และไม่รังเกลียดมือหยาบกระด้างของเรา ก็เชิญขึ้นมาเถิด อ้าวสิ่งนั้นสัมภาระที่ติดตัวนางมาไม่ใช่หรือ”
หญิงสาวหันไปมองเป็นเป้สะพายที่ถูกกระชาก หล่นอยู่ใต้ต้นไม้ เธอกัดฟันเดินขากระเผลกไปเก็บมาถือไว้
หญิงสาวก้าวขึ้นไปนั่งบนฝ่ามือยักษ์ที่ค่อยยกขึ้นอย่างทะนุถนอม แต่พอลอยขึ้นสูงจากพื้น เธออดสั่นหาที่ยึดเกาะเป็นพัลวัลไม่ได้ ยักษ์เห็นอาการของหล่อนแล้วพูดปลอบขึ้น
“เราไม่ปล่อยให้นางร่วงลงธรณีเด็ดขาด ถ้ากลัวก็หลับตาเสีย ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว”