Solar Rooftop ดียังไง เป็นหนึ่งในคำถามที่ต้องกล่าวถึงทุกครั้งเมื่อพูดถึงการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ เพราะในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด คำว่า โซลาร์รูฟท็อป ก็ไม่ใช่คำแปลกใหม่อีกแล้ว แต่เป็นคำที่ค่อนข้างคุ้นหูและเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง แต่
HomeGuru เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เข้าใจแน่ชัดว่า Solar Rooftop ดียังไง คุ้มค่าจริงหรือไม่ แต่สามารถหาคำตอบได้จากบทความนี้ครับ
Solar Rooftop คืออะไร
โซลาร์รูฟท็อป คือ ระบบโซล่าร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งโดยหลักแล้วระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) ไม่ว่าจะติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) หรืออุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าโดยแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ต่างก็ทำงานบนหลักการเดียวกัน คือ แผงโซล่าร์เซลล์ (Solar Panel) จะแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เป็นกระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ซึ่งเรียกปฏิกิริยานี้ว่า Photovoltaic Effect จากนั้นไฟฟ้ากระแสตรงจะสามารถถูกนำไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ หรือเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Inverter และสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้านได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อ่านนวัตกรรมเรื่องบ้านเพิ่มเติมได้ที่ กันสาดพับเก็บได้ นวัตกรรมใหม่เพื่อบ้าน
อ่านนวัตกรรมเรื่องบ้านเพิ่มเติมได้ที่ รู้จักนวัตกรรมใหม่ ยางมะตอยแผ่นสำเร็จรูป ซ่อมถนน
ประเภทของ Solar Rooftop
เมื่อทราบแล้วว่า Solar Rooftop คืออะไร ก็ต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของมันก่อนครับ เพราะจะมีผลต่อ การออกแบบ Solar Rooftop สำหรับติดตั้งให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน ซึ่ง Solar Roof Top ที่ติดตั้งบนหลังคาสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าจะแบ่งเป็น 3 แบบดังนี้ครับ
1. Solar Roof Top แบบ On Grid System
ระบบโซล่าร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาโดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบออนกริด (On-grid System) ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบสายส่งของการไฟฟ้า ไฟฟ้าที่ผลิตเหลือจากการใช้ในแต่ละวันสามารถขายคืนให้กับทางภาครัฐได้ ถือเป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ทั้งบ้านและภาคธุรกิจ รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรม เพราะเน้นการใช้งานจริงในตอนกลางวัน และตอนกลางคืนสลับไปใช้ไฟปกติ
ปัจจุบันเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ที่สนใจติดตั้งระบบโซล่าร์รูฟท็อป เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง แบตเตอรี่หรือเปลื่ยนแบตเตอรี่ที่มีราคาสูง ระบบออนกริดติดตั้งถาวรมีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 25 ปี ระบบมีความทนทาน และมีขนาดกำลังผลิต(KW) ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ใช้งาน แต่ระบบออนกริดจะไม่ผลิตกระแสไฟฟ้าถ้าไม่มีไฟฟ้ามาจากสายส่งในกรณีที่การไฟฟ้าหยุดจ่ายไฟเพื่อซ่อมบำรุง เพราะถ้าระบบออนกริดยังจ่ายไฟฟ้าอยู่ ไฟฟ้าจะย้อนเข้าสู่สายส่ง ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้ ระบบออนกริดที่ดีจึงต้องมีอุปกรณ์ที่ป้องกันไฟฟ้าย้อนกลับสายส่ง เรียกว่า ZERO EXPORT ด้วยครับ
2. Solar Roof Top Off Grid System
ระบบโซล่าร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาโดยใช้แบตเตอรี่ แต่ไม่เชื่อมต่อกับสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบออฟกริด (Off-grid System) เป็นระบบที่เชื่อมต่อกับแบตเตอรรี่สำรอง (Off grid) โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับสายของการไฟฟ้าฯ โดยโซล่าร์เซลล์จะผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัว Charge controller เพื่อเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ ในช่วงกลางวันที่มีแสงอาทิตย์เพียงพอ กระแสไฟฟ้าโซล่าร์เซลล์จะสามารถผลิตไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และ inverter แปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน และส่วนที่ผลิตเกินออกมาจะถูกนำไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ส่วนในเวลากลางคืนระบบก็จะใช้กระแสไฟฟ้าที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่ เหมาะสมสำหรับพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง หรือต้องการใช้เพื่อสำรองไฟไว้ใช้เมื่อยามที่ไฟฟ้าดับ เป็นต้น
ระบบออฟกริดนั้นต้องใช้การคำนวณที่ถูกต้องของปริมาณการใช้ไฟฟ้าของบ้าน เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานในประจำวันหรือแม้แต่ในฤดูที่มีแสงแดดน้อย อีกทั้งราคาของแบตเตอรี่และออฟกริดอินเวอร์เตอร์นั้นสูงกว่าระบบออนกริดอยู่มาก ดังนั้นระบบออฟกริดจึงนิยมใช้ในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง ส่วนใหญ่จะใช้ควบคู่กับเครื่องปั่นไฟ ในกรณีที่แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุ ฝนตก ท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆ มีฝุ่นหรือหมอกมาบดบังแสงอาทิตย์ครับ
3. Solar Roof Top Hybrid System
ระบบโซล่าร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาโดยใช้แบตเตอรี่ และเชื่อมต่อกับสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบไฮบริด (Off-grid System) ซึ่งเป็นการนำเอาระบบออนกริดและออฟกริดมารวมกัน (Hybrid) คือจะมีระบบแบตเตอรี่ มาสำรองพลังงาน หลักการทำงาน คือ เมื่อแผงโซล่าร์เซลล์ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ ก็จะแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง (DC) แล้วส่งต่อมายังไฮบริดอินเวอร์เตอร์เพื่อแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ซึ่งก็จะเชื่อมต่อกับระบบจำหน่ายไฟของการไฟฟ้าฯ ขั้วหนึ่งต่อเข้ากับแบตเตอรี่ และอีกขั้วหนึ่งก็ต่อไฟฟ้าไปใช้งานต่างๆ
เวลาที่ระบบผลิตกระแสไฟฟ้าเกินจากปริมาณใช้งานภายในบ้าน กระแสไฟฟ้าจากระบบจะถูกนำไปเก็บไว้แบตเตอรี่จนจนเต็มความจุจึงหยุด และจะจ่ายไฟฟ้าเพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์ภายในบ้านอีกครั้ง อาจจะเป็นตอนกลางคืนที่ปกติแล้วค่าไฟฟ้าจะแพงกว่าตอนกลางวัน ระบบไฮบริดเป็นระบบที่มีราคาแพงที่สุด และยังไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันมากนัก
การเลือกใช้ Solar Rooftop ให้เหมาะกับบ้าน
การออกแบบ Solar Rooftop ให้เหมาะกับบ้านนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องหาข้อมูลก่อน เนื่องจากระบบโซล่าร์รูฟท็อปมีราคาค่อนข้างสูงและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 25 ปี การเลือกขนาดของระบบโซล่าร์รูฟท็อปให้เหมาะสมกับบ้าน หรือ อาคารที่จะติดตั้งนั้นจึงสำคัญมาก สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การลงทุนติดตั้ง Solar Rooftop คุ้มไหม เมื่อติดตั้งไปแล้วจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนหรือไม่ หรือแปลง่ายๆ ว่าเราต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สอดคล้องกับกำลังการผลิตไฟฟ้าของระบบโซล่าร์รูฟท็อปที่ผลิตได้ในชั่วโมงนั้นๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อ่านนวัตกรรมเรื่องบ้านเพิ่มเติมได้ที่ “Digital door lock” ติดตั้งอย่างไรให้ตอบโจทย์
อ่านความรู้เรื่องงานหลังคาเพิ่มเติมได้ที่ ทำไมบ้านต้องติด รางน้ำฝน และเลือกวัสดุไหนดี
ดังนั้นการจะเลือกขนาดของระบบโซล่าร์รูฟท็อปจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบโดยต้องอาศัยข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าจริงจากบิลค่าไฟฟ้า หรือแผนการใช้ไฟฟ้าในอนาคตที่อาจจะมีเพิ่มเติมขึ้นมา โดยใช้วิธีประเมินปัจจัยหลัก ๆ 2 ข้อ ว่าเราใช้ไฟเท่าไหร่ในแต่ละวันโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน และประเมินขนาดของพื้นที่ที่ต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งการคำนวณหาขนาดของระบบสามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้
1. ประเมินจากบิลค่าไฟที่ใช้
วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการคำนวณ โดยเบื้องต้นต้องดูพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าแล้วประมาณการว่าการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวัน (08:00-17:00น.) และกลางคืน (17:00-08:00น.) คิดเป็นอัตราส่วนเท่าไหร่
ตัวอย่างเช่น ใน 1 เดือนมีบิลค่าไฟฟ้า 5,000 บาท เราประเมินการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันเป็น 70% กลางคืน 30% ของค่าไฟทั้งหมด เพราะฉะนั้น อัตราการใช้ไฟฟ้าตอนกลางวันต่อเดือนจะอยู่ที่ 3,500 บาท, ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 บาทต่อหน่วย ดังนั้นในช่วงกลางวันเราใช้ไฟเท่ากับ 3,500 บาท/4.5 บาท จะเท่ากับ 777 หน่วย จากนั้นเราหาหน่วยต่อชั่วโมงโดยเอา 777 หน่วย/30วัน/9ชั่วโมง เท่ากับ 2.8 หน่วยต่อชั่วโมง ซึ่งจากการคำนวณนี้ระบบที่เหมาะสมที่สุดคือ Solar rooftop ขนาด 3 กิโลวัตต์ เพราะสามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 3 หน่วยต่อชั่วโมงซึ่งสอดคล้องกับการใช้ไฟฟ้าที่ 2.8 หน่วยต่อชั่วโมงครับ
2. เก็บตัวเลขการใช้ไฟฟ้าจริงจากมิเตอร์ไฟฟ้า
วิธีนี้เป็นวิธีที่ยุ่งยากขึ้นกว่าวิธีแรกแต่ได้ความแม่นยำกว่าเช่นกัน โดยเบื้องต้นให้จดตัวเลขมิเตอร์โดยจดบันทึกตัวเลขหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มิเตอร์ครั้งแรกในเวลา 08:00 น. และจดครั้งที่สองในเวลา 17:00 น. ทำเช่นนี้ประมาณ 3 – 7 วัน เพื่อให้ได้ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าจริงในตอนกลางวัน
ตัวอย่างเช่น
วันที่ 1 อ่านเลขมิเตอร์ตอนเช้า 0103 อ่านตอนเย็น 0133 เอา 0133 – 0103 = 30 หน่วย
วันที่ 2 อ่านเลขมิเตอร์ตอนเช้า 0153 อ่านตอนเย็น 0173 เอา 0173 – 0153 = 20 หน่วย
วันที่ 3 อ่านเลขมิเตอร์ตอนเช้า 0203 อ่านตอนเย็น 0243 เอา 0243 – 0203 = 40 หน่วย
จะเห็นว่าภายในระยะเวลา 3 วัน จะเก็บตัวเลขจากมิเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้จริงรวมทั้งหมด 90 หน่วย หรือหากคิดเป็นการใช้ไฟฟ้าต่อชั่วโมงคือ 90 หน่วย / 3วัน / 9 ชั่วโมง = 2.5 หน่วย ต่อชั่วโมง ดังนั้นขนาดระบบที่เหมาะสมที่สุดคือ Eve Solar rooftop on ขนาด 3 กิโลวัตต์ เพราะผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 3 หน่วยต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับการใช้ไฟฟ้าจริงที่ 2.5 หน่วยต่อชั่วโมง
3. ดูอัตราการกินไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปิดใช้ในตอนกลางวัน
วิธีนี้คือการหาโดยกำลังไฟฟ้า (วัตต์) ของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่มีการเปิดใช้งานในตอนกลางวัน (08:00 – 17:00น)
ตัวอย่างเช่น บ้านพักอาศัย 1 หลัง ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในตอนกลางวันดังนี้
1. แอร์ขนาด 12000 บีทียู จำนวน 1 เครื่อง อัตราการกินไฟประมาณ 800 – 1,000 วัตต์
2. แอร์ขนาด 18000 บีทียู จำนวน 1 เครื่อง อัตราการกินไฟประมาณ 1,300 – 1,700 วัตต์
3. ทีวี LED ขนาด 40 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง อัตราการกินไฟประมาณ 70 – 90 วัตต์
4. พัดลมขนาด 16 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง อัตราการกินไฟประมาณ 45 – 65 วัตต์
5. ตู้เย็นขนาด 14 คิว จำนวน 1 เครือง อัตราการกินไฟประมาณ 200 วัตต์
6. หลอดไฟขนาด 9 วัตต์ จำนวน 8 ดวง อัตราการกินไฟประมาณ 72 วัตต์
ผลลัพธ์กำลังไฟฟ้ารวมของทุกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปิดใช้ในตอนกลางวัน คือ 2,927 วัตต์ หมายความว่าในทุกๆ ชั่วโมงจะใช้กำลังไฟฟ้าที่ 2,927 วัตต์ ดังนั้นขนาดระบบที่เหมาะสมที่สุดคือ Eve Solar rooftop on ขนาด 3 กิโลวัตต์ เพราะผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 3 หน่วยต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับการใช้ไฟฟ้าจริงที่ 2.927 หน่วยต่อชั่วโมงครับ
*อ่านรายละเอียดต่อใน Comment นะครับ*
เปลี่ยนหลังคาบ้านเป็นพลังงานไฟฟ้าด้วย Solar Rooftop ดียังไง
Solar Rooftop ดียังไง เป็นหนึ่งในคำถามที่ต้องกล่าวถึงทุกครั้งเมื่อพูดถึงการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ เพราะในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด คำว่า โซลาร์รูฟท็อป ก็ไม่ใช่คำแปลกใหม่อีกแล้ว แต่เป็นคำที่ค่อนข้างคุ้นหูและเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง แต่ HomeGuru เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เข้าใจแน่ชัดว่า Solar Rooftop ดียังไง คุ้มค่าจริงหรือไม่ แต่สามารถหาคำตอบได้จากบทความนี้ครับ
Solar Rooftop คืออะไร
โซลาร์รูฟท็อป คือ ระบบโซล่าร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งโดยหลักแล้วระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) ไม่ว่าจะติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) หรืออุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าโดยแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ต่างก็ทำงานบนหลักการเดียวกัน คือ แผงโซล่าร์เซลล์ (Solar Panel) จะแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เป็นกระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ซึ่งเรียกปฏิกิริยานี้ว่า Photovoltaic Effect จากนั้นไฟฟ้ากระแสตรงจะสามารถถูกนำไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ หรือเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Inverter และสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้านได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประเภทของ Solar Rooftop
เมื่อทราบแล้วว่า Solar Rooftop คืออะไร ก็ต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของมันก่อนครับ เพราะจะมีผลต่อ การออกแบบ Solar Rooftop สำหรับติดตั้งให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน ซึ่ง Solar Roof Top ที่ติดตั้งบนหลังคาสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าจะแบ่งเป็น 3 แบบดังนี้ครับ
1. Solar Roof Top แบบ On Grid System
ระบบโซล่าร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาโดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบออนกริด (On-grid System) ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบสายส่งของการไฟฟ้า ไฟฟ้าที่ผลิตเหลือจากการใช้ในแต่ละวันสามารถขายคืนให้กับทางภาครัฐได้ ถือเป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ทั้งบ้านและภาคธุรกิจ รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรม เพราะเน้นการใช้งานจริงในตอนกลางวัน และตอนกลางคืนสลับไปใช้ไฟปกติ
ปัจจุบันเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ที่สนใจติดตั้งระบบโซล่าร์รูฟท็อป เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง แบตเตอรี่หรือเปลื่ยนแบตเตอรี่ที่มีราคาสูง ระบบออนกริดติดตั้งถาวรมีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 25 ปี ระบบมีความทนทาน และมีขนาดกำลังผลิต(KW) ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ใช้งาน แต่ระบบออนกริดจะไม่ผลิตกระแสไฟฟ้าถ้าไม่มีไฟฟ้ามาจากสายส่งในกรณีที่การไฟฟ้าหยุดจ่ายไฟเพื่อซ่อมบำรุง เพราะถ้าระบบออนกริดยังจ่ายไฟฟ้าอยู่ ไฟฟ้าจะย้อนเข้าสู่สายส่ง ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้ ระบบออนกริดที่ดีจึงต้องมีอุปกรณ์ที่ป้องกันไฟฟ้าย้อนกลับสายส่ง เรียกว่า ZERO EXPORT ด้วยครับ
2. Solar Roof Top Off Grid System
ระบบโซล่าร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาโดยใช้แบตเตอรี่ แต่ไม่เชื่อมต่อกับสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบออฟกริด (Off-grid System) เป็นระบบที่เชื่อมต่อกับแบตเตอรรี่สำรอง (Off grid) โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับสายของการไฟฟ้าฯ โดยโซล่าร์เซลล์จะผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัว Charge controller เพื่อเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ ในช่วงกลางวันที่มีแสงอาทิตย์เพียงพอ กระแสไฟฟ้าโซล่าร์เซลล์จะสามารถผลิตไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และ inverter แปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน และส่วนที่ผลิตเกินออกมาจะถูกนำไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ส่วนในเวลากลางคืนระบบก็จะใช้กระแสไฟฟ้าที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่ เหมาะสมสำหรับพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง หรือต้องการใช้เพื่อสำรองไฟไว้ใช้เมื่อยามที่ไฟฟ้าดับ เป็นต้น
ระบบออฟกริดนั้นต้องใช้การคำนวณที่ถูกต้องของปริมาณการใช้ไฟฟ้าของบ้าน เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานในประจำวันหรือแม้แต่ในฤดูที่มีแสงแดดน้อย อีกทั้งราคาของแบตเตอรี่และออฟกริดอินเวอร์เตอร์นั้นสูงกว่าระบบออนกริดอยู่มาก ดังนั้นระบบออฟกริดจึงนิยมใช้ในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง ส่วนใหญ่จะใช้ควบคู่กับเครื่องปั่นไฟ ในกรณีที่แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุ ฝนตก ท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆ มีฝุ่นหรือหมอกมาบดบังแสงอาทิตย์ครับ
3. Solar Roof Top Hybrid System
ระบบโซล่าร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาโดยใช้แบตเตอรี่ และเชื่อมต่อกับสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบไฮบริด (Off-grid System) ซึ่งเป็นการนำเอาระบบออนกริดและออฟกริดมารวมกัน (Hybrid) คือจะมีระบบแบตเตอรี่ มาสำรองพลังงาน หลักการทำงาน คือ เมื่อแผงโซล่าร์เซลล์ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ ก็จะแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง (DC) แล้วส่งต่อมายังไฮบริดอินเวอร์เตอร์เพื่อแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ซึ่งก็จะเชื่อมต่อกับระบบจำหน่ายไฟของการไฟฟ้าฯ ขั้วหนึ่งต่อเข้ากับแบตเตอรี่ และอีกขั้วหนึ่งก็ต่อไฟฟ้าไปใช้งานต่างๆ
เวลาที่ระบบผลิตกระแสไฟฟ้าเกินจากปริมาณใช้งานภายในบ้าน กระแสไฟฟ้าจากระบบจะถูกนำไปเก็บไว้แบตเตอรี่จนจนเต็มความจุจึงหยุด และจะจ่ายไฟฟ้าเพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์ภายในบ้านอีกครั้ง อาจจะเป็นตอนกลางคืนที่ปกติแล้วค่าไฟฟ้าจะแพงกว่าตอนกลางวัน ระบบไฮบริดเป็นระบบที่มีราคาแพงที่สุด และยังไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันมากนัก
การเลือกใช้ Solar Rooftop ให้เหมาะกับบ้าน
การออกแบบ Solar Rooftop ให้เหมาะกับบ้านนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องหาข้อมูลก่อน เนื่องจากระบบโซล่าร์รูฟท็อปมีราคาค่อนข้างสูงและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 25 ปี การเลือกขนาดของระบบโซล่าร์รูฟท็อปให้เหมาะสมกับบ้าน หรือ อาคารที่จะติดตั้งนั้นจึงสำคัญมาก สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การลงทุนติดตั้ง Solar Rooftop คุ้มไหม เมื่อติดตั้งไปแล้วจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนหรือไม่ หรือแปลง่ายๆ ว่าเราต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สอดคล้องกับกำลังการผลิตไฟฟ้าของระบบโซล่าร์รูฟท็อปที่ผลิตได้ในชั่วโมงนั้นๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดังนั้นการจะเลือกขนาดของระบบโซล่าร์รูฟท็อปจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบโดยต้องอาศัยข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าจริงจากบิลค่าไฟฟ้า หรือแผนการใช้ไฟฟ้าในอนาคตที่อาจจะมีเพิ่มเติมขึ้นมา โดยใช้วิธีประเมินปัจจัยหลัก ๆ 2 ข้อ ว่าเราใช้ไฟเท่าไหร่ในแต่ละวันโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน และประเมินขนาดของพื้นที่ที่ต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งการคำนวณหาขนาดของระบบสามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้
1. ประเมินจากบิลค่าไฟที่ใช้
วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการคำนวณ โดยเบื้องต้นต้องดูพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าแล้วประมาณการว่าการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวัน (08:00-17:00น.) และกลางคืน (17:00-08:00น.) คิดเป็นอัตราส่วนเท่าไหร่
ตัวอย่างเช่น ใน 1 เดือนมีบิลค่าไฟฟ้า 5,000 บาท เราประเมินการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันเป็น 70% กลางคืน 30% ของค่าไฟทั้งหมด เพราะฉะนั้น อัตราการใช้ไฟฟ้าตอนกลางวันต่อเดือนจะอยู่ที่ 3,500 บาท, ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 บาทต่อหน่วย ดังนั้นในช่วงกลางวันเราใช้ไฟเท่ากับ 3,500 บาท/4.5 บาท จะเท่ากับ 777 หน่วย จากนั้นเราหาหน่วยต่อชั่วโมงโดยเอา 777 หน่วย/30วัน/9ชั่วโมง เท่ากับ 2.8 หน่วยต่อชั่วโมง ซึ่งจากการคำนวณนี้ระบบที่เหมาะสมที่สุดคือ Solar rooftop ขนาด 3 กิโลวัตต์ เพราะสามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 3 หน่วยต่อชั่วโมงซึ่งสอดคล้องกับการใช้ไฟฟ้าที่ 2.8 หน่วยต่อชั่วโมงครับ
2. เก็บตัวเลขการใช้ไฟฟ้าจริงจากมิเตอร์ไฟฟ้า
วิธีนี้เป็นวิธีที่ยุ่งยากขึ้นกว่าวิธีแรกแต่ได้ความแม่นยำกว่าเช่นกัน โดยเบื้องต้นให้จดตัวเลขมิเตอร์โดยจดบันทึกตัวเลขหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มิเตอร์ครั้งแรกในเวลา 08:00 น. และจดครั้งที่สองในเวลา 17:00 น. ทำเช่นนี้ประมาณ 3 – 7 วัน เพื่อให้ได้ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าจริงในตอนกลางวัน
ตัวอย่างเช่น
วันที่ 1 อ่านเลขมิเตอร์ตอนเช้า 0103 อ่านตอนเย็น 0133 เอา 0133 – 0103 = 30 หน่วย
วันที่ 2 อ่านเลขมิเตอร์ตอนเช้า 0153 อ่านตอนเย็น 0173 เอา 0173 – 0153 = 20 หน่วย
วันที่ 3 อ่านเลขมิเตอร์ตอนเช้า 0203 อ่านตอนเย็น 0243 เอา 0243 – 0203 = 40 หน่วย
จะเห็นว่าภายในระยะเวลา 3 วัน จะเก็บตัวเลขจากมิเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้จริงรวมทั้งหมด 90 หน่วย หรือหากคิดเป็นการใช้ไฟฟ้าต่อชั่วโมงคือ 90 หน่วย / 3วัน / 9 ชั่วโมง = 2.5 หน่วย ต่อชั่วโมง ดังนั้นขนาดระบบที่เหมาะสมที่สุดคือ Eve Solar rooftop on ขนาด 3 กิโลวัตต์ เพราะผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 3 หน่วยต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับการใช้ไฟฟ้าจริงที่ 2.5 หน่วยต่อชั่วโมง
3. ดูอัตราการกินไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปิดใช้ในตอนกลางวัน
วิธีนี้คือการหาโดยกำลังไฟฟ้า (วัตต์) ของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่มีการเปิดใช้งานในตอนกลางวัน (08:00 – 17:00น)
ตัวอย่างเช่น บ้านพักอาศัย 1 หลัง ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในตอนกลางวันดังนี้
1. แอร์ขนาด 12000 บีทียู จำนวน 1 เครื่อง อัตราการกินไฟประมาณ 800 – 1,000 วัตต์
2. แอร์ขนาด 18000 บีทียู จำนวน 1 เครื่อง อัตราการกินไฟประมาณ 1,300 – 1,700 วัตต์
3. ทีวี LED ขนาด 40 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง อัตราการกินไฟประมาณ 70 – 90 วัตต์
4. พัดลมขนาด 16 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง อัตราการกินไฟประมาณ 45 – 65 วัตต์
5. ตู้เย็นขนาด 14 คิว จำนวน 1 เครือง อัตราการกินไฟประมาณ 200 วัตต์
6. หลอดไฟขนาด 9 วัตต์ จำนวน 8 ดวง อัตราการกินไฟประมาณ 72 วัตต์
ผลลัพธ์กำลังไฟฟ้ารวมของทุกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปิดใช้ในตอนกลางวัน คือ 2,927 วัตต์ หมายความว่าในทุกๆ ชั่วโมงจะใช้กำลังไฟฟ้าที่ 2,927 วัตต์ ดังนั้นขนาดระบบที่เหมาะสมที่สุดคือ Eve Solar rooftop on ขนาด 3 กิโลวัตต์ เพราะผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 3 หน่วยต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับการใช้ไฟฟ้าจริงที่ 2.927 หน่วยต่อชั่วโมงครับ
*อ่านรายละเอียดต่อใน Comment นะครับ*