บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก 11 ก.พ. 2564 ทำให้ระบบการซื้อขายของตลาดรับไม่ไหว แต่ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือของนักลงทุนรายย่อยที่ได้รับการจัดสรรหุ้นมากกว่า 5 แสนรายอย่างที่กังวลกัน ต้นเหตุมาจากระบบเทรด AI ของโบรกเกอร์ 2 แห่ง เกิดอาการเครื่องค้าง (แฮงก์) สั่งซื้อหุ้น OR ไม่หยุด มีออเดอร์จำนวนมาก จนตลาดหลักทรัพย์ต้องสั่งปิดระบบการซื้อขายทั้งหมดในช่วงเวลา 10 โมงเศษ สร้างผลกระทบต่อนักลงทุนในวงกว้าง ใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น …
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ได้ฤกษ์เข้าซื้อขายใน SET โดยตลาดหลักทรัพย์ยืนยันว่าระบบการซื้อขายพร้อมรองรับกับการเข้ามาของหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ในการกระจายหุ้นถึงมือนักลงทุนรายย่อยสูงสุดในตลาดหุ้นไทย คือมากกว่า 5.3 แสนราย แต่ตลาดกลับเปิดการซื้อขายเพียงไม่นาน ในช่วงเวลา 10 โมงเศษ ก็ต้องสั่งปิดระบบการซื้อขาย กระทบทั้งตลาด แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตาม แต่ก่อให้เกิดการได้ประโยชน์ และเสียผลประโยชน์เกิดขึ้น
เหตุการณ์ครั้งนี้ มาจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศสั่งซื้อหุ้น OR จำนวนมาก ดังนั้นโบรกเกอร์ 2 แห่ง จึงใช้ระบบเทรด AI ทำรายการ แต่ระบบ AI กลับเกิดปัญหา เครื่องแฮงก์ ส่งคำสั่งซื้อเข้าไปในระบบถี่ๆ หลายรายการ มากเกินกว่าที่ระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์จะรับมือไหว จนตลาดหลักทรัพย์ต้องตัดการเชื่อมต่อ และ รีสตาร์ทใหม่ เพื่อให้ตลาดกลับมาเปิดซื้อขายตามปกติโดยเร็ว
“ตลาดต้องตัดสินใจอย่างนี้ อาจจะเพื่อไม่ให้ระบบการซื้อขายพัง แต่คงลืมนึกถึงผลกระทบ เพราะสินค้าในตลาดมีหลายประเภท ไม่ใช่หุ้นเพียงอย่างเดียว ยังมีอนุพันธ์ที่มีอัตราทดสูงๆ เช่น ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้น (วอร์แรนต์) และใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) หากหยุดเทรดเพียงไม่กี่นาที ก็อาจจะทำให้เสียโอกาสในการทำกำไรหรือปิดขาดทุนได้ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ปัญหาที่เกิดจากระบบซื้อขายล่ม นักลงทุนจะขอชดเชยได้จากใคร ”
ต้นเหตุของการซื้อขายทั้งระบบหยุดชะงักลงชั่วคราว เกิดจากระบบเทรด AI ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์(โบรกเกอร์) บางรายใช้ได้เท่านั้น บริษัทจะต้องมีคุณสมบัติที่กำหนด เช่น ระบบการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ บุคคลากรต้องพร้อม และจะต้องมีระบบป้องกันหรือดูแล หากเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมาต้องสามารถแก้ไขได้รวดเร็ว แต่ครั้งนี้โบรกเกอร์แก้เองไม่ได้
จึงเกิดคำถามว่า ตลาดหลักทรัพย์อนุมัติให้โบรกเกอร์ 2 รายนี้มีระบบเทรด AIได้อย่างไร และตามเกณฑ์จะมีตารางเวลาในการเข้าตรวจสอบระบบทุกปี ที่ผ่านมาได้เข้าทดสอบระบบบ่อยแค่ไหน ทำไมถึงเกิดปัญหาพร้อมกัน 2 บริษัท มีบทลงโทษหรือไม่ แม้ว่าตลาดได้สั่งห้ามโบรกเกอร์ 2 ราย หยุดทำรายการชั่วคราว ทำให้มาร์เก็ตแชร์ลดลง ท่ามกลางความร้อนแรงของหุ้น OR ที่มีมูลค่าซื้อขายมากถึง 47,360.57 ล้านบาท คิดเป็น 44% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งตลาด และราคาปิดที่ 29.25 บาท พุ่งขึ้น 11.25 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 62.50% สูงกว่าเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ แล้วก็ตาม
กรณี OR เป็นบทพิสูจน์หนึ่งว่า ระบบซื้อขาย AI ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่พร้อมรับมือกับการเข้ามาซื้อขายของบริษัทขนาดใหญ่ ตลาดหลักทรัพย์จะต้องเร่งแก้ไข เพราะในอนาคตจะมีบริษัทใหญ่หลายแห่งเข้ามาจดทะเบียน หรือจะปล่อยให้นักลงทุนทั้งหมดแบกรับความเสี่ยงเองหรือ ?
https://hoonsmart.com/archives/169650
OR สุดฮอต! ทำระบบซื้อขายเกือบพัง ต้นเหตุ AI 2 โบรกเกอร์ “แฮงก์”
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก 11 ก.พ. 2564 ทำให้ระบบการซื้อขายของตลาดรับไม่ไหว แต่ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือของนักลงทุนรายย่อยที่ได้รับการจัดสรรหุ้นมากกว่า 5 แสนรายอย่างที่กังวลกัน ต้นเหตุมาจากระบบเทรด AI ของโบรกเกอร์ 2 แห่ง เกิดอาการเครื่องค้าง (แฮงก์) สั่งซื้อหุ้น OR ไม่หยุด มีออเดอร์จำนวนมาก จนตลาดหลักทรัพย์ต้องสั่งปิดระบบการซื้อขายทั้งหมดในช่วงเวลา 10 โมงเศษ สร้างผลกระทบต่อนักลงทุนในวงกว้าง ใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น …
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ได้ฤกษ์เข้าซื้อขายใน SET โดยตลาดหลักทรัพย์ยืนยันว่าระบบการซื้อขายพร้อมรองรับกับการเข้ามาของหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ในการกระจายหุ้นถึงมือนักลงทุนรายย่อยสูงสุดในตลาดหุ้นไทย คือมากกว่า 5.3 แสนราย แต่ตลาดกลับเปิดการซื้อขายเพียงไม่นาน ในช่วงเวลา 10 โมงเศษ ก็ต้องสั่งปิดระบบการซื้อขาย กระทบทั้งตลาด แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตาม แต่ก่อให้เกิดการได้ประโยชน์ และเสียผลประโยชน์เกิดขึ้น
เหตุการณ์ครั้งนี้ มาจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศสั่งซื้อหุ้น OR จำนวนมาก ดังนั้นโบรกเกอร์ 2 แห่ง จึงใช้ระบบเทรด AI ทำรายการ แต่ระบบ AI กลับเกิดปัญหา เครื่องแฮงก์ ส่งคำสั่งซื้อเข้าไปในระบบถี่ๆ หลายรายการ มากเกินกว่าที่ระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์จะรับมือไหว จนตลาดหลักทรัพย์ต้องตัดการเชื่อมต่อ และ รีสตาร์ทใหม่ เพื่อให้ตลาดกลับมาเปิดซื้อขายตามปกติโดยเร็ว
“ตลาดต้องตัดสินใจอย่างนี้ อาจจะเพื่อไม่ให้ระบบการซื้อขายพัง แต่คงลืมนึกถึงผลกระทบ เพราะสินค้าในตลาดมีหลายประเภท ไม่ใช่หุ้นเพียงอย่างเดียว ยังมีอนุพันธ์ที่มีอัตราทดสูงๆ เช่น ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้น (วอร์แรนต์) และใบสําคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) หากหยุดเทรดเพียงไม่กี่นาที ก็อาจจะทำให้เสียโอกาสในการทำกำไรหรือปิดขาดทุนได้ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ปัญหาที่เกิดจากระบบซื้อขายล่ม นักลงทุนจะขอชดเชยได้จากใคร ”
ต้นเหตุของการซื้อขายทั้งระบบหยุดชะงักลงชั่วคราว เกิดจากระบบเทรด AI ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์(โบรกเกอร์) บางรายใช้ได้เท่านั้น บริษัทจะต้องมีคุณสมบัติที่กำหนด เช่น ระบบการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ บุคคลากรต้องพร้อม และจะต้องมีระบบป้องกันหรือดูแล หากเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมาต้องสามารถแก้ไขได้รวดเร็ว แต่ครั้งนี้โบรกเกอร์แก้เองไม่ได้
จึงเกิดคำถามว่า ตลาดหลักทรัพย์อนุมัติให้โบรกเกอร์ 2 รายนี้มีระบบเทรด AIได้อย่างไร และตามเกณฑ์จะมีตารางเวลาในการเข้าตรวจสอบระบบทุกปี ที่ผ่านมาได้เข้าทดสอบระบบบ่อยแค่ไหน ทำไมถึงเกิดปัญหาพร้อมกัน 2 บริษัท มีบทลงโทษหรือไม่ แม้ว่าตลาดได้สั่งห้ามโบรกเกอร์ 2 ราย หยุดทำรายการชั่วคราว ทำให้มาร์เก็ตแชร์ลดลง ท่ามกลางความร้อนแรงของหุ้น OR ที่มีมูลค่าซื้อขายมากถึง 47,360.57 ล้านบาท คิดเป็น 44% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งตลาด และราคาปิดที่ 29.25 บาท พุ่งขึ้น 11.25 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 62.50% สูงกว่าเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ แล้วก็ตาม
กรณี OR เป็นบทพิสูจน์หนึ่งว่า ระบบซื้อขาย AI ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่พร้อมรับมือกับการเข้ามาซื้อขายของบริษัทขนาดใหญ่ ตลาดหลักทรัพย์จะต้องเร่งแก้ไข เพราะในอนาคตจะมีบริษัทใหญ่หลายแห่งเข้ามาจดทะเบียน หรือจะปล่อยให้นักลงทุนทั้งหมดแบกรับความเสี่ยงเองหรือ ? https://hoonsmart.com/archives/169650