ฟอน เซาเค่น นายพลผู้กล้าปฏิเสธฮิตเลอร์



เชื่อว่าเป็นน้อยครั้งมากๆ หรือแทบจะไม่เคยมีเลยก็ได้ ว่าจะมีใครคนหนึ่งที่จะหาญกล้าปฏิเสธเหล่าจอมเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นสตาลิน คิมจองอึน ซัดดัม หรือแม้แต่ฮิตเลอร์เองก็ตาม ทุกคนที่ปฏิเสธพวกเขาล้วนมีชะตากรรมเดียวกันทั้งสิ้น นั่นคือการหายไป ใช่ครับ หายไปจากโลกนี้นั่นเอง แต่ยังมีชายชาติทหารคนหนึ่งครับ ที่กล้าปฏิเสธจอมเผด็จการฮิตเลอร์และยังมีลมหายใจอยู่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น แล้วผู้กล้าคนนั้นคือใคร ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร มารับฟังเรื่องราวของเขาไปพร้อมๆกันเลยครับ 



ชายผู้หาญกล้าปฏิเสธฮิตเลอร์ของเราในวันนี้ เขาชื่อว่า ฟรีดริช วิลเฮล์ม เอดูอาร์ด คาซิเมียร์ ดีทริช ฟอน เซาเค่น ชื่อก็ย้าวยาวววว....ยาวแทบจะไปถึงอยุธยากันเลยทีเดียวครับ เรียกสั้นๆแล้วกันครับว่า ดีทริช ฟอน เซาเค่น เขาเกิดและเติบโตในตระกูลขุนนางปรัสเซียชั้นสูง ตอนเด็กๆ เขาก็ฉายแววศิลปิน เขามีทักษะในการวาดรูปมาก ว่ากันว่า...ถ้าเขาไม่มาเอาดีทางทหาร ปิกัสโซ่ก็ปิกัสโซ่เถอะครับคงมีหนาวๆบ้างล่ะทีนี้ อย่างไรก็ตามพ่อของเขาก็ดับฝันด้วยการให้เขาเข้าเรียนโรงเรียนทหาร เมื่อจบออกมาเป็นผู้หมวดก็บรรจุเข้าเป็นทหารให้กับกองทัพปรัสเซีย พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอนนั้นเขาก็เป็นผู้กองเข้าร่วมรบในแนวรบฝั่งตะวันออกจนได้เหรียญตรามามากมาย



เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฟอน เซาเค่นก็ยังคงเป็นทหารอยู่แม้เยอรมันจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ตาม ต่อมาเขาก็ได้รับภารกิจพิเศษที่โซเวียตซึ่งนั่นก็ทำให้เขามีทักษะในการพูดภาษารัสเซียได้อย่างดี พอได้ยศผู้พันเขาก็ไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยการทัพที่ฮันโนเวอร์ จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ในตอนนั้นเขาก็มียศเป็นผู้การก็ได้เข้าร่วมในสมรภูมิต่างๆ มากมาย เช่น สมรภูมิในฝรั่งเศส สมรภูมิในคาบสมุทรบอลข่าน และร่วมในปฏิบัติการบาร์บารอสซ่าในฐานะผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 4 ในปี 1942 เขาก็ได้เลื่อนยศเป็นนายพลและได้เข้าร่วมในสมรภูมิที่กรุงมอสโกก่อนที่จะได้รับการบาดเจ็บจากการสู้รบนั้นและต้องพักรักษาตัวไปหลายเดือน ก่อนที่จะกลับเข้าร่วมรบต่ออีกหลายสมรภูมิ อาทิเช่น สมรภูมิที่เคิรสก์



ในช่วงใกล้ๆจบสงคราม นายพลฟอน เซาเค่น ก็เริ่มโชว์ความห้าวเป้ง ด้วยการบ่นออกมาดังๆว่า "ข้าว่าเยอรมันของเรากำลังจะแพ้แน่นอน แถมการรบของเรายิ้มยังโคตรมั่วไร้ทิศทาง" สมพรปากของท่านนายพล วันรุ่งขึ้นท่านนายพลก็โดนปลด ก่อนที่ต่อมาอีกเดือนนึงจะกลับเข้ากองทัพอีกรอบในฐานะฝ่ายเสนาธิการของท่านผู้นำ เพราะเอาจริงๆ ฟอน เซาเค่นเป็นคนเก่งและตอนนั้นเยอรมันเองก็ขาดแคลนผู้นำกองทัพ ในขณะนั้นเองนาซีก็ย่ำแย่ พวกอเมริกาและอังกฤษกำลังรุกเข้ามาทางตะวันตก ขณะที่รัสเซียก็บุกประชิดเข้าทางตะวันออก สถานการณ์อยู่ในสภาวะกดดันสุดๆ



วันหนึ่งในเดือนมีนาปี 1945 ท่านผู้นำก็เรียกฟอน เซาเค่นเข้ามาพบ ในขณะที่เขาเข้ามาในกองบัญชาการลับของฮิตเลอร์หรือที่เรียกกันว่าบังเกอร์ เขาเข้ามาพร้อมกับกระบี่ของนายทหารและสวมแว่นตาข้างเดียวแบบฉบับนายทหารปรัสเซีย ซึ่งตอนนั้นทั้งสองอย่างเป็นของต้องห้ามในการเข้าพบฮิตเลอร์ตั้งแต่การลอบสังหารเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หากใครคิดว่าเขาห้าวพอแล้ว ยังครับ เมื่อเข้าไปเขาก็เพียงโค้งคำนับแทนที่จะทำท่าเคารพแบบนาซี หรือท่า "ไฮล์ ฮิตเลอร์"ที่เรารู้จักกันดี แต่โชคก็ยังดีที่ท่านผู้นำยังไม่ทันสังเกต



"ฟอน เซาเค่น มานี่สิ เดี๋ยวคุณจะต้องไปคุมกองทัพที่ปรัสเซียตะวันออก(อยู่ระหว่างโปแลนด์และรัสเซีย)นะ แล้วก็รายงานตัวต่อผู้ว่าฟอร์สเตอร์นะ คอยฟังว่าเขาจะสั่งอะไร" ฮิตเลอร์สั่งการเขา "เฮอะ!!!พูดเป็นเล่น" เขาเอ่ย ทุกคนที่ได้ยินเริ่มมองหน้าเขา แต่ท่านผู้นำก็ไม่ได้สนใจ ยังคงมองอยู่ที่แผนที่ ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงดัง "ปัง!!!!!" ดังสนั่นขึ้นบนโต๊ะ ฟอน เซาเค่นนั่นเองที่เป็นผู้ตบโต๊ะเรียกความสนใจจากท่านผู้นำ ทุกคนใจร่วงลงไปที่ตาตุ่ม "คุณฮิตเลอร์ ผมจะบอกให้ฟังนะ ผมไม่สนใจที่จะฟังคำสั่งไอ้นักการเมืองห่าอะไรนั่นหรอกนะ" ฮิตเลอร์เงยหน้ามามองที่เขา ทุกคนหน้าซีด ปกติสรรพนามที่ใช้ในการเรียกฮิตเลอร์มักจะใช้คำว่าท่านผู้นำ(Mein Fuhrer)แต่ทว่าฟอน เซาเค่นกล้ามากที่ใช้คำว่า คุณฮิตเลอร์(Herr Hitler)ซึ่งเป็นการดูถูกท่านผู้นำเป็นอย่างมาก ทุกคนในที่นั้นต่างก็คิดว่าเขาคงต้องถูกลากตัวไปยิงเป้าทิ้งแน่ๆ แต่เรื่องนั้นก็ไม่เกิดขึ้น ท่ามกลางความตะลึงงัน ท่านผู้นำก็กล่าวอย่างรำคาญ "เออๆ งั้นก็แล้วแต่เอ็งละกัน ไสหัวไปซะ" ท่านผู้นำกล่าวพร้อมโบกมือ แต่แทนที่จะทำท่า ไฮล์ ฮิตเลอร์แล้วกลับออกไป ฟอน เซาเค่น กลับโค้งแทนแล้วหมุนตัวออกไป เรียกว่าดูหมิ่นท่านผู้นำครบสูตร แต่กลับออกไปอย่างไม่มีโทษอะไร



เมื่อนายพลฟอน เซาเค่น เข้าบัญชาการกองทัพปรัสเซียตะวันออก เขาก็สู้รบด้วยความกล้าหาญไม่ยอมหลบหนีกลับไปก่อน แม้มีเรือมารับเขา เขาก็ไม่ยอมไปกับเรือแต่กลับให้ทหารที่บาดเจ็บกลับบนเรือแทน จนกระทั่งฮิตเลอร์ส่งเครื่องบินให้มารับเขากลับ เขาก็ยังไม่กลับเพราะไม่อยากทอดทิ้งลูกน้องและให้คนเจ็บขึ้นเครื่องกลับแทน นั่นทำให้เขาได้รับเหรียญกางเขนเหล็กพร้อมใบโอ๊กประดับเพชรเป็นคนสุดท้ายจาก 27 นายที่เคยได้รับมาในเดือนพฤษภา จนกระทั่งรัสเซียตีเมืองแตก นายพลฟอน เซาเค่นก็ยอมจำนนและถูกส่งตัวไปยังไซบีเรียในฐานะเชลย เขาถูกทรมานร่างกายสารพัดเพื่อที่จะให้สารภาพผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ แต่เขาก็ไม่ยอมซึ่งทำให้ต้องบาดเจ็บทุกข์ทนทรมานจนเขาต้องพิการนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกมาในปี 1955 และใช้ชีวิตเกษียณอย่างสงบที่แคว้นบาวาเรียโดยในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสวาดรูปอย่างที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดตั้งแต่เด็ก



จนในปี 1980 ในวัย 88 ปีเขาก็เสียชีวิตลงด้วยความสงบ ปิดฉากชีวิตของชายผู้หาญกล้าปฏิเสธจอมเผด็จการ ชายผู้กล้าปฏิเสธคำสั่งที่ไม่ชอบธรรมที่ให้เขาที่เป็นทหารมืออาชีพมาตลอด 35 ปีต้องไปฟังคำสั่งนักการเมืองที่ดีแต่เลียจนได้เป็นผู้ว่าการ น่าคิดเหมือนกันครับว่าถ้าบรรดานายทหารทั้งหลายกล้าปฏิเสธคำสั่งที่ผิดพลาดหลายๆครั้งของฮิตเลอร์ ประวัติศาสตร์โลกจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แม้ว่า ฟอน เซาเค่น จะไม่ได้ถูกยกย่องว่าเป็นฮีโร่ ถูกเอาขึ้นดวงตราสแตมป์เหมือนหลายๆคน แต่เขาเองก็ได้ทำวีรกรรมอันน่าจดจำ ด้วยการหาญกล้าปฏิเสธคำสั่งที่ไม่ชอบและยังมีลมหายใจได้บอกเล่าวีรกรรมอันน่าทึ่งให้เราฟัง เรื่องของนายพลผู้กล้าก็จบเพียงเท่านี้ ขอบพระคุณทุกท่านที่รับชมรับฟังครับ

Cr. : https://en.m.wikipedia.org/wiki/Dietrich_von_Saucken
http://www.jmarkpowell.com/the-man-who-said-no-to-hitler-and-lived-to-tell-about-it/
https://www.warhistoryonline.com/war-articles/von-saucken-to-hitler.html
https://www.warhistoryonline.com/instant-articles/dietrich-von-saucken.html

ถ้าชอบใจฝากไลค์ฝากติดตามเพจของผม
https://www.facebook.com/someoneinhistory/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่