สถานการณ์ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีคประจำฤดูกาล 20/21 ณ นาทีนี้อาจจะเร็วเกินไปที่จะบอกว่ามันปิดฉากลงไปอย่างไม่เป็นทางการแล้ว เพราะถ้ามองแบบไม่ลงรายละเอียด แต้มที่ทิ้งห่างกันเพียงแค่ 5 แต้มระหว่างสองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ มันก็ไม่ได้มากมายถ้าทีมจ่าฝูงทะลึ่งพลาดซัก 2-3 เกมติดต่อกันขึ้นมา แต่เมื่อเหลือบตาดูชื่อทีมว่าเป็นแมนซิตี้ ที่ชนะมาทุกเกมติดต่อกันตอนนี้ก็ 15 นัดเข้าไปแล้ว มันก็แทบจะไม่ต้องมีอะไรให้ลุ้นอีกต่อไป
เกมในมืออีก 16 เกมที่ทีมจ่าฝูงยังเหลืออยู่ ผมมั่นใจเต็มที่ว่า จบฤดูกาลนี้ช่องว่างระหว่างที่ 1 และที่ 2 คงต้องมี 15 แต้มอัพแน่ๆ ถ้าต่ำกว่านั้นยอมให้ใครก็ได้อมอุนจิมาบ้วนใส่หน้าผมได้เลยครับ!
ผลของการดวลกันระหว่างคู่ขับเคี่ยวใน 3 ปีล่าสุด ได้บทสรุปแห่งฤดูกาลไปแบจะเรียบร้อยแล้ว
เอาเถอะครับ หันมามองทีมรักของตัวเอง นั่นคือทีมแชมป์เก่า และว่าที่เจ้ายุโรป 7 สมัยกันบ้าง 🤣😅 ตอนนี้ผลงานก็ทำลายแทบจะทุกประวัติศาสตร์เช่นกัน ด้วยการเตะ 9 นัดในลีคล่าสุด และคว้ามาได้ถึง 9 คะแนน ซึ่งการเก็บแต้มได้มากขนาดนี้ และมีการแพ้ในบ้าน 3 นัดรวด ก็คงจะมีแต่ทีมที่จะตกชั้นเท่านั้นล่ะครับที่ทำได้ เรื่องการลุ้นแชมป์กาทิ้งไปได้เลย เพราะต่อให้มีปาฏิหารย์ และสามารถชนะทุกเกมที่เหลืออยู่ ลิเวอร์พูลก็จะมีเพียง 85 แต้ม ซึ่งคงไม่พอกับการเป็นแชมป์ถ้าดูจากสถิติใน 3 ฤดูกาลล่าสุด ทำให้ตอนนี้สาวกหงส์แดง ต้องตักน้ำมาชะโงกกะโหลกดูความเป็นจริง และยอมรับเต็มตัวได้แล้วว่า ปีนี้เป็นการกลับมาลุ้นพื้นที่ Top 4 แบบจริงๆจังๆ หลังจากที่ 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้เล่นผิดฟอร์ม ทะลึ่งลุ้นแชมป์และคว้าแชมป์ได้อีกด้วย 555
สำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้ เชื่อเหลือเกินว่าคงมีแฟนบอลลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อย ต้องคิดในทำนองที่ว่ามันไม่ค่อยจะมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นใจให้กับทีมของพวกเค้าเลย ไม่ว่าจะเป็น
- ความด้อยประสบการณ์ของทีมงาน VAR ซึ่งขาดมาตรฐานที่ชัดเจนในการตัดสิน การล้ำหน้าแบบแปลกๆ การ (เหมือน) จงใจรีเพลย์แบบซ้ำๆ เวลาหงส์แดงได้ประตูในจังหวะก้ำกึ่ง ในทางกลับกันเวลาเสียประตูในจังหวะก้ำกึ่ง กลับไม่มีการรีเพลย์ VAR ให้ดูแบบชัดๆ ซึ่งมันโคตรคาใจ และทำให้พวกเค้าต้องเสียคะแนนสำคัญๆ ไปจากเหตุการณ์เหล่านี้
- อาการบาดเจ็บที่เกิดกับนักเตะหัวใจสำคัญของทีม ที่เกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน ทั้งฟานไดจ์ที่ไม่รู้จะหมดอนาคตไปเลยหรือเปล่ากับจังหวะเสียบแบบนั้น และจำเลยกลับไม่ได้รับโทษใด รวมถึงการบาดเจ็บของคู่ขาอย่างโกเมสจากแคมป์ทีมชาติ ซึ่งคู่หูนี้คือความลงตัวมากที่สุดสำหรับทีม และเมื่อพวกเค้าหายไป มันก็ไม่มีทางที่จะทดแทนได้
สองสิ่งที่กล่าวมานี้ เรียกสั้นๆก็คือความซวยของหงส์แดงนั่นเอง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทีมใหญ่ๆ ทีมอื่นก็เคยประสบกันมาทั้งนั้น เพียงแต่จะก้าวผ่านมันไปได้เร็วเท่าไรแค่นั้นเอง
ซาล่าห์มีโอกาสคว้าเกียรติยศหนึ่งเดียวให้กับทีมในตำแหน่งดาวซัลโว
จากปัญหาที่เกิดขึ้น คลอปสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเยี่ยม และยังทำให้ลิเวอร์พูลดูน่าเกรงขามมาจนกระทั่งช่วงคริสมาสต์ แต่หลังจากนั้นทุกๆ อย่างกลับแปรเปลี่ยนจากขาวไปเป็นดำอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลานี้ก็คือ ทั้งทีมเล่นอย่างขาดความมุ่งมั่น และไร้ซึ่งความมั่นใจ และยิ่งนานวันเข้า ลิเวอร์พูลก็อาจจะทำให้กลุ่มคนที่เคยเป็น Believers กลายเป็น Doubters อีกครั้งก็เป็นไปได้
ดังนั้นสำหรับเกมต่อไปในการไปเยือนจิ้งจอกสยาม จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่ลิเวอร์พูลจะพลิกกลับคืนความมั่นใจให้กับทีมและเหล่าแฟนบอลอีกครั้ง เพราะนี่คือการดวลกันซึ่งๆ หน้ากับทีมที่มีเป้าหมายเดียวกันคือการลุ้น Top 4 และ impact จากผลการแข่งขันในนัดนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญในอันดับการแข่งขันเมื่อจบฤดูกาลอย่างแน่นอน
สำหรับลิเวอร์พูลเองในนาทีนี้ถึงจะมีสภาพย่ำแย่อย่างไร แต่อย่างมากพวกเค้าก็ยังคงสภาพเป็น "เสือที่บาดเจ็บ" ที่ยังมีเขี้ยวเล็บซ่อนอยู่ และถ้าหมาจิ้งจอกอย่างเลสเตอร์ ติดประมาทและมั่นใจจนเกินไปรับรองว่าโดนขย้ำแน่นอน แต่เหนือสิ่งอื่นใด คลอปมีการบ้านที่ต้องทำอีกมากมาย ในการปรับรูปเกมของลิเวอร์พูดให้สู่สมดุลย์อีกครั้งหนึ่ง
การดวลกันรอบนี้ หงส์แดงห้ามแพ้เด็ดขาด!
หลายๆเกมที่ผ่านมา ช่วงที่ขาด ฟบญ เพราะต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บ และมีการส่งเฮนโดลงไปเล่นกองหลัง ถ้าเราดูเผินๆมันเหมือนกับว่าทำให้เกมรับดูไว้ใจได้มากกว่าการใช้กองหลังวัยรุ่นคุมแผงหลัง แต่อย่าลืมไปว่าในทางกลับกัน มันก็เป็นการตัดตัวขับเคลื่อนอย่างเฮนโดและตัวกรองเกมอย่าง ฟบญ ทิ้งไปจากแผงมิดฟิลด์ และทำให้มีผลกระทบกับเกมโดยรวมทั้งหมดของทีมเป็นอย่างมาก
- ผลกระทบกับเกมรุก : นาทีนี้ เฮนโดน่าจะเป็น MF box-to-box ที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดคนนึงของลีค เพราะถึงแม้เทคนิคจะไม่แพรวพราว แต่ด้วยพละกำลังและความทุ่มเท ทำให้เค้ามีส่วนร่วมกับทีมแทบตลอดเวลา ยิ่งใน 2 ฤดูกาลหลังสุด เค้าได้พัฒนาลูก cross ยาว รวมถึงจังหวะการวิ่งโดยไม่มีบอล ซึ่งมันทำให้ตัวรุกของลิเวอร์พูลคนอื่นๆ มีโอกาสเล่นบอลได้ง่ายมากขึ้น
- ผลกระทบกับเกมรับ : เซนส์บอลของ ฟบญ และการยืนตำแหน่งในบทบาท DMF ที่ยอดเยี่ยม เค้าสามารถช่วยตัดเกมรุกของคู่แข่ง และปรับจังหวะเกมให้กับทีมได้อย่างดี โดยถ้าแม้จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง ด้วยการยืนในตำแหน่งนี้เค้าก็ยังสามารถตัดฟาวล์ได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไรมากนัก ซึ่งการเล่นมิดฟิลด์ตัวรับในลักษณะดังกล่าว นาทีนี้ไม่มีใครในทีมทดแทนได้ และในเมื่อฟิลเตอร์ตัวแรกในเกมรับหายไป บรรดากองหลังก็จำต้องเผชิญหน้ากับตัวรุกฝ่ายตรงข้ามแบบลำพังมากขึ้น และก็จะทำให้ทีมเสียท่าได้ง่ายขึ้น สังเกตได้จากเกมล่าสุดกับเรือใบ ที่บรรดากองหลังของลิเวอร์พูล (รวม ฟบญ ด้วย) แทบจะต้องดวลกับตัวรุกของคู่แข่งในสถานการณ์อันตรายแทบจะตลอดเวลา และจากการเปลี่ยนตำแหน่งของ ฟบญ ในฤดูกาลนี้ ก็ทำให้เค้าแจกจุดโทษไปให้กับคู่แข่งทั้งหมด 2 ครั้ง ซึ่งอาจจะเกิดจากการไม่คุ้นชินในตำแหน่ง เพราะวิธีการตัดเกมในตำแหน่งกองกลาง และกองหลังบนพื้นที่สุดท้ายนั้น รายละเอียดในการเล่นมันย่อมจะแตกต่างกัน
ที่ยกตัวอย่างมาก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนตำแหน่งของนักเตะคนสำคัญ มันกระทบกับทีมค่อนข้างมาก จริงอยู่ที่มันอาจจะได้ผลในช่วงแรก หรือในบางครั้ง แต่ด้วย Nature ของการเล่น และ "Class" ของการเล่นในตำแหน่งที่ตัวเองถนัด มันก็จะเกิดผลกระทบกับทีมอย่างแน่นอน สำหรับการจัดตัวผู้เล่นในวันเสาร์นี้ หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็น ฟบญ และเฮนโด ลงมาประจำการในแผงมิดฟิลด์ ส่วนอีกคนนึงจะเป็นใครก็ได้ระหว่างดุม หรือธิอาโก แต่ข้อแม้อย่างเดียวก็คือ ถ้าเป็นธิอาโก คลอปและนักเตะคนอื่นๆ ต้องไม่เกรงบารมีความเป็นระดับโลกของเค้า และเน้นให้เค้าเป็นหัวใจในการทำเกม เพราะที่ผ่านมาธิอาโกก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเค้ายังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกับการปรับตัวให้เข้ากับความเร็วของเกาะอังกฤษ และสำคัญก็คือลิเวอร์พูลเล่นเป็นทีมมากกว่าที่จะฝากใจไว้กับใครซักคน ดังนั้นถ้าเค้าเป็นแค่หนึ่งกลไกในการเล่นร่วมกับทีม และปรับตัวได้ไว เราก็จะได้เห็นสิ่งดีๆ จากยอดมิดฟิลด์คนนี้อย่างแน่นอน
ในส่วนของแผงหลัง ต้องการให้วัดใจไปเลยว่าจะใช้กองหลังเติร์ก หรือของหลังจากลีครองมายืนคู่กับน้องแน็ตนมโต...เอ๊ย!!ตัวโต เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อเริ่มยุคของคลอป ลิเวอร์พูลก็เป็นทีมที่อยู่รอดได้ด้วยพลังแห่งเพรสซิ่ง และเกมรุก ส่วนกองหลังนี่ก็เล่นเพื่อสุขภาพมาตลอด ดังนั้นอย่าคิดอะไรให้มันมากความ มีของดีในจุดไหน ก็ใช้มันไปให้เต็มที่ ตรงไหนของไม่ตรงสเป็คนัก ก็ทนใช้มันไปก่อนเถอะครับ เล่นเกมรับด้วยเกมรุก คำนี้มันใช้ได้จริงๆ และถึงแม้ว่ากองหลังมันจะแย่แค่ไหนก็อย่าลืมว่าเรายังมี อลิสอุส...เอ๊ยยยย ซง ยืนจังก้าอยู่ในด่านสุดท้าย เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรดูแย่จนจะต้องย้ายนู่น ย้ายนี่จนผิดธรรมชาติไปหมด
ผมยังเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะกลับบมาเล่นได้ดีอีกครั้งในไม่ช้านี้ หลังจากคลอปได้ลองหลายๆสิ่ง หลายๆ วิธีจนค้นพบวิธีที่ใช่อีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ ขอเถอะครับ มิดฟิลด์ คือ มิดฟิลด์ เซนเตอร์ คือ เซนเตอร์ ขอแค่นี้เลยจริงๆ ผลออกมาอย่างไรก็จะทำใจรับให้ได้ และมั่นใจว่าถ้าแผงกลางกลับมาแน่นเมื่อไร มันจะช่วยสอดประสานให้เกมรุกลื่นไหล และเกมรับมีฟิลเตอร์แน่นๆ และทำให้หงส์แดงกลับมาเดินเครื่องได้อีกครั้ง
จะเสีย 3 แล้วยิง 4 หรือเสีย 4 แต่ยิง 5 เราก็เคยทำมาในยุค Heavy metal เริ่มแรกของคลอปไปแล้ว วันนี้ถ้ากลับไปเหมือนยุคแรกแบบชั่วคราวมันจะเป็นไรไป สำคัญคือช่วยลองเถอะครับ และมั่นใจว่าผลที่ออกมามันน่าจะดีกว่าเดิมถ้าอลิสซงไม่โดน "ของ" ของคาริอุสฝังติดตัวแบบเป่าจากตัวไม่ออกครับ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอยากบอกแฟนหงส์ทุกคนว่ากว่าจะทำให้ Doubters เป็น Believers มันใช้เวลาช่างยาวนาน ดังนั้นเวลาแค่ 2-3 เดือนคงจะไม่เปลี่ยนพวกคุณจาก Believers เป็น Doubters ได้อยู่แล้ว ถูกต้องมั้ยครับ เส้นทางอีก 15 เกมและเป้าหมายใหม่อันน่าสนุกเริ่มต้นขึ้นแล้ว หาทิศทางให้ถูกแล้วมาช่วยเชียร์ทีมฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกันนะครับ
Liverpool article#1: แค่เบนเป้า และมุ่งไป!
เกมในมืออีก 16 เกมที่ทีมจ่าฝูงยังเหลืออยู่ ผมมั่นใจเต็มที่ว่า จบฤดูกาลนี้ช่องว่างระหว่างที่ 1 และที่ 2 คงต้องมี 15 แต้มอัพแน่ๆ ถ้าต่ำกว่านั้นยอมให้ใครก็ได้อมอุนจิมาบ้วนใส่หน้าผมได้เลยครับ!
ผลของการดวลกันระหว่างคู่ขับเคี่ยวใน 3 ปีล่าสุด ได้บทสรุปแห่งฤดูกาลไปแบจะเรียบร้อยแล้ว
เอาเถอะครับ หันมามองทีมรักของตัวเอง นั่นคือทีมแชมป์เก่า และว่าที่เจ้ายุโรป 7 สมัยกันบ้าง 🤣😅 ตอนนี้ผลงานก็ทำลายแทบจะทุกประวัติศาสตร์เช่นกัน ด้วยการเตะ 9 นัดในลีคล่าสุด และคว้ามาได้ถึง 9 คะแนน ซึ่งการเก็บแต้มได้มากขนาดนี้ และมีการแพ้ในบ้าน 3 นัดรวด ก็คงจะมีแต่ทีมที่จะตกชั้นเท่านั้นล่ะครับที่ทำได้ เรื่องการลุ้นแชมป์กาทิ้งไปได้เลย เพราะต่อให้มีปาฏิหารย์ และสามารถชนะทุกเกมที่เหลืออยู่ ลิเวอร์พูลก็จะมีเพียง 85 แต้ม ซึ่งคงไม่พอกับการเป็นแชมป์ถ้าดูจากสถิติใน 3 ฤดูกาลล่าสุด ทำให้ตอนนี้สาวกหงส์แดง ต้องตักน้ำมาชะโงกกะโหลกดูความเป็นจริง และยอมรับเต็มตัวได้แล้วว่า ปีนี้เป็นการกลับมาลุ้นพื้นที่ Top 4 แบบจริงๆจังๆ หลังจากที่ 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้เล่นผิดฟอร์ม ทะลึ่งลุ้นแชมป์และคว้าแชมป์ได้อีกด้วย 555
สำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้ เชื่อเหลือเกินว่าคงมีแฟนบอลลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อย ต้องคิดในทำนองที่ว่ามันไม่ค่อยจะมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นใจให้กับทีมของพวกเค้าเลย ไม่ว่าจะเป็น
- ความด้อยประสบการณ์ของทีมงาน VAR ซึ่งขาดมาตรฐานที่ชัดเจนในการตัดสิน การล้ำหน้าแบบแปลกๆ การ (เหมือน) จงใจรีเพลย์แบบซ้ำๆ เวลาหงส์แดงได้ประตูในจังหวะก้ำกึ่ง ในทางกลับกันเวลาเสียประตูในจังหวะก้ำกึ่ง กลับไม่มีการรีเพลย์ VAR ให้ดูแบบชัดๆ ซึ่งมันโคตรคาใจ และทำให้พวกเค้าต้องเสียคะแนนสำคัญๆ ไปจากเหตุการณ์เหล่านี้
- อาการบาดเจ็บที่เกิดกับนักเตะหัวใจสำคัญของทีม ที่เกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน ทั้งฟานไดจ์ที่ไม่รู้จะหมดอนาคตไปเลยหรือเปล่ากับจังหวะเสียบแบบนั้น และจำเลยกลับไม่ได้รับโทษใด รวมถึงการบาดเจ็บของคู่ขาอย่างโกเมสจากแคมป์ทีมชาติ ซึ่งคู่หูนี้คือความลงตัวมากที่สุดสำหรับทีม และเมื่อพวกเค้าหายไป มันก็ไม่มีทางที่จะทดแทนได้
สองสิ่งที่กล่าวมานี้ เรียกสั้นๆก็คือความซวยของหงส์แดงนั่นเอง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทีมใหญ่ๆ ทีมอื่นก็เคยประสบกันมาทั้งนั้น เพียงแต่จะก้าวผ่านมันไปได้เร็วเท่าไรแค่นั้นเอง
ซาล่าห์มีโอกาสคว้าเกียรติยศหนึ่งเดียวให้กับทีมในตำแหน่งดาวซัลโว
จากปัญหาที่เกิดขึ้น คลอปสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเยี่ยม และยังทำให้ลิเวอร์พูลดูน่าเกรงขามมาจนกระทั่งช่วงคริสมาสต์ แต่หลังจากนั้นทุกๆ อย่างกลับแปรเปลี่ยนจากขาวไปเป็นดำอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลานี้ก็คือ ทั้งทีมเล่นอย่างขาดความมุ่งมั่น และไร้ซึ่งความมั่นใจ และยิ่งนานวันเข้า ลิเวอร์พูลก็อาจจะทำให้กลุ่มคนที่เคยเป็น Believers กลายเป็น Doubters อีกครั้งก็เป็นไปได้
ดังนั้นสำหรับเกมต่อไปในการไปเยือนจิ้งจอกสยาม จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่ลิเวอร์พูลจะพลิกกลับคืนความมั่นใจให้กับทีมและเหล่าแฟนบอลอีกครั้ง เพราะนี่คือการดวลกันซึ่งๆ หน้ากับทีมที่มีเป้าหมายเดียวกันคือการลุ้น Top 4 และ impact จากผลการแข่งขันในนัดนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญในอันดับการแข่งขันเมื่อจบฤดูกาลอย่างแน่นอน
สำหรับลิเวอร์พูลเองในนาทีนี้ถึงจะมีสภาพย่ำแย่อย่างไร แต่อย่างมากพวกเค้าก็ยังคงสภาพเป็น "เสือที่บาดเจ็บ" ที่ยังมีเขี้ยวเล็บซ่อนอยู่ และถ้าหมาจิ้งจอกอย่างเลสเตอร์ ติดประมาทและมั่นใจจนเกินไปรับรองว่าโดนขย้ำแน่นอน แต่เหนือสิ่งอื่นใด คลอปมีการบ้านที่ต้องทำอีกมากมาย ในการปรับรูปเกมของลิเวอร์พูดให้สู่สมดุลย์อีกครั้งหนึ่ง
การดวลกันรอบนี้ หงส์แดงห้ามแพ้เด็ดขาด!
หลายๆเกมที่ผ่านมา ช่วงที่ขาด ฟบญ เพราะต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บ และมีการส่งเฮนโดลงไปเล่นกองหลัง ถ้าเราดูเผินๆมันเหมือนกับว่าทำให้เกมรับดูไว้ใจได้มากกว่าการใช้กองหลังวัยรุ่นคุมแผงหลัง แต่อย่าลืมไปว่าในทางกลับกัน มันก็เป็นการตัดตัวขับเคลื่อนอย่างเฮนโดและตัวกรองเกมอย่าง ฟบญ ทิ้งไปจากแผงมิดฟิลด์ และทำให้มีผลกระทบกับเกมโดยรวมทั้งหมดของทีมเป็นอย่างมาก
- ผลกระทบกับเกมรุก : นาทีนี้ เฮนโดน่าจะเป็น MF box-to-box ที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดคนนึงของลีค เพราะถึงแม้เทคนิคจะไม่แพรวพราว แต่ด้วยพละกำลังและความทุ่มเท ทำให้เค้ามีส่วนร่วมกับทีมแทบตลอดเวลา ยิ่งใน 2 ฤดูกาลหลังสุด เค้าได้พัฒนาลูก cross ยาว รวมถึงจังหวะการวิ่งโดยไม่มีบอล ซึ่งมันทำให้ตัวรุกของลิเวอร์พูลคนอื่นๆ มีโอกาสเล่นบอลได้ง่ายมากขึ้น
- ผลกระทบกับเกมรับ : เซนส์บอลของ ฟบญ และการยืนตำแหน่งในบทบาท DMF ที่ยอดเยี่ยม เค้าสามารถช่วยตัดเกมรุกของคู่แข่ง และปรับจังหวะเกมให้กับทีมได้อย่างดี โดยถ้าแม้จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง ด้วยการยืนในตำแหน่งนี้เค้าก็ยังสามารถตัดฟาวล์ได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไรมากนัก ซึ่งการเล่นมิดฟิลด์ตัวรับในลักษณะดังกล่าว นาทีนี้ไม่มีใครในทีมทดแทนได้ และในเมื่อฟิลเตอร์ตัวแรกในเกมรับหายไป บรรดากองหลังก็จำต้องเผชิญหน้ากับตัวรุกฝ่ายตรงข้ามแบบลำพังมากขึ้น และก็จะทำให้ทีมเสียท่าได้ง่ายขึ้น สังเกตได้จากเกมล่าสุดกับเรือใบ ที่บรรดากองหลังของลิเวอร์พูล (รวม ฟบญ ด้วย) แทบจะต้องดวลกับตัวรุกของคู่แข่งในสถานการณ์อันตรายแทบจะตลอดเวลา และจากการเปลี่ยนตำแหน่งของ ฟบญ ในฤดูกาลนี้ ก็ทำให้เค้าแจกจุดโทษไปให้กับคู่แข่งทั้งหมด 2 ครั้ง ซึ่งอาจจะเกิดจากการไม่คุ้นชินในตำแหน่ง เพราะวิธีการตัดเกมในตำแหน่งกองกลาง และกองหลังบนพื้นที่สุดท้ายนั้น รายละเอียดในการเล่นมันย่อมจะแตกต่างกัน
ที่ยกตัวอย่างมาก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนตำแหน่งของนักเตะคนสำคัญ มันกระทบกับทีมค่อนข้างมาก จริงอยู่ที่มันอาจจะได้ผลในช่วงแรก หรือในบางครั้ง แต่ด้วย Nature ของการเล่น และ "Class" ของการเล่นในตำแหน่งที่ตัวเองถนัด มันก็จะเกิดผลกระทบกับทีมอย่างแน่นอน สำหรับการจัดตัวผู้เล่นในวันเสาร์นี้ หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็น ฟบญ และเฮนโด ลงมาประจำการในแผงมิดฟิลด์ ส่วนอีกคนนึงจะเป็นใครก็ได้ระหว่างดุม หรือธิอาโก แต่ข้อแม้อย่างเดียวก็คือ ถ้าเป็นธิอาโก คลอปและนักเตะคนอื่นๆ ต้องไม่เกรงบารมีความเป็นระดับโลกของเค้า และเน้นให้เค้าเป็นหัวใจในการทำเกม เพราะที่ผ่านมาธิอาโกก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเค้ายังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกับการปรับตัวให้เข้ากับความเร็วของเกาะอังกฤษ และสำคัญก็คือลิเวอร์พูลเล่นเป็นทีมมากกว่าที่จะฝากใจไว้กับใครซักคน ดังนั้นถ้าเค้าเป็นแค่หนึ่งกลไกในการเล่นร่วมกับทีม และปรับตัวได้ไว เราก็จะได้เห็นสิ่งดีๆ จากยอดมิดฟิลด์คนนี้อย่างแน่นอน
ในส่วนของแผงหลัง ต้องการให้วัดใจไปเลยว่าจะใช้กองหลังเติร์ก หรือของหลังจากลีครองมายืนคู่กับน้องแน็ตนมโต...เอ๊ย!!ตัวโต เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อเริ่มยุคของคลอป ลิเวอร์พูลก็เป็นทีมที่อยู่รอดได้ด้วยพลังแห่งเพรสซิ่ง และเกมรุก ส่วนกองหลังนี่ก็เล่นเพื่อสุขภาพมาตลอด ดังนั้นอย่าคิดอะไรให้มันมากความ มีของดีในจุดไหน ก็ใช้มันไปให้เต็มที่ ตรงไหนของไม่ตรงสเป็คนัก ก็ทนใช้มันไปก่อนเถอะครับ เล่นเกมรับด้วยเกมรุก คำนี้มันใช้ได้จริงๆ และถึงแม้ว่ากองหลังมันจะแย่แค่ไหนก็อย่าลืมว่าเรายังมี อลิสอุส...เอ๊ยยยย ซง ยืนจังก้าอยู่ในด่านสุดท้าย เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรดูแย่จนจะต้องย้ายนู่น ย้ายนี่จนผิดธรรมชาติไปหมด
ผมยังเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะกลับบมาเล่นได้ดีอีกครั้งในไม่ช้านี้ หลังจากคลอปได้ลองหลายๆสิ่ง หลายๆ วิธีจนค้นพบวิธีที่ใช่อีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ ขอเถอะครับ มิดฟิลด์ คือ มิดฟิลด์ เซนเตอร์ คือ เซนเตอร์ ขอแค่นี้เลยจริงๆ ผลออกมาอย่างไรก็จะทำใจรับให้ได้ และมั่นใจว่าถ้าแผงกลางกลับมาแน่นเมื่อไร มันจะช่วยสอดประสานให้เกมรุกลื่นไหล และเกมรับมีฟิลเตอร์แน่นๆ และทำให้หงส์แดงกลับมาเดินเครื่องได้อีกครั้ง
จะเสีย 3 แล้วยิง 4 หรือเสีย 4 แต่ยิง 5 เราก็เคยทำมาในยุค Heavy metal เริ่มแรกของคลอปไปแล้ว วันนี้ถ้ากลับไปเหมือนยุคแรกแบบชั่วคราวมันจะเป็นไรไป สำคัญคือช่วยลองเถอะครับ และมั่นใจว่าผลที่ออกมามันน่าจะดีกว่าเดิมถ้าอลิสซงไม่โดน "ของ" ของคาริอุสฝังติดตัวแบบเป่าจากตัวไม่ออกครับ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอยากบอกแฟนหงส์ทุกคนว่ากว่าจะทำให้ Doubters เป็น Believers มันใช้เวลาช่างยาวนาน ดังนั้นเวลาแค่ 2-3 เดือนคงจะไม่เปลี่ยนพวกคุณจาก Believers เป็น Doubters ได้อยู่แล้ว ถูกต้องมั้ยครับ เส้นทางอีก 15 เกมและเป้าหมายใหม่อันน่าสนุกเริ่มต้นขึ้นแล้ว หาทิศทางให้ถูกแล้วมาช่วยเชียร์ทีมฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกันนะครับ