สำหรับคนที่คิดถึงญี่ปุ่น นำบรรยากาศทริปคิวชู 5 วันมาฝาก

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมจะมาพาทุกท่านหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ไปอยู่ท่ามกลางเมืองแห่งธรรมชาติและประวัติศาสตร์ ในเส้นทางตะวันออกของเกาะคิวชูครับ
ก่อนอื่นเลยขอแนะนำก่อนว่าภูมิภาคคิวชูนั้น เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของญี่ปุ่น อยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศญี่ปุ่น ประกอบไปด้วย 7 จังหวัดคือ ฟุกุโอกะ โออิตะ ซากะ นางาซากิ คุมาโมโตะ คาโกชิมะ และ มิยาซากิ โดยที่ภูมิภาคนี้ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและออนเซ็น
ส่วนทริปที่ผมจะมาแนะนำทุกท่านในวันนี้คือเส้นทาง ฟุกุโอกะ-คุมาโมโตะ-โออิตะ-มิยาซากิครับ ผมเดินทางช่วงปลายพ.ย. ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในรอบที่ 2 

วันที่ 1
เริ่มต้นกันที่จ.ฟุกุโอกะกันก่อนเลย โดยท่านผู้อ่านที่มีความประสงค์จะมาที่ภูมิภาคนี้สามารถขึ้นเครื่องบินจากประเทศไทยมาลงที่สนามบินฟุกุโอกะได้เท่านั้น เมื่อท่านลงถึงสนามบินแล้วการเดินทางต่อจากนั้นก็บอกเลยว่าสะดวกสบายครับ สามารถนั่งรถไฟใต้ดินประมาณ 15 นาทีถึงสถานีฮากาตะ ซึ่งเป็นสถานีชุมทางรถไฟหลักในคิวชูได้เลย และเนื่องจากสถานีอยู่ใกล้กับสนามบินและแหล่งช็อปปิ้งมาก ผมจึงอยากแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ในวันสุดท้ายก่อนที่จะกลับครับ 
ส่วนตัวผมที่อาศัยอยู่ใน จ.ฟุกุโอกะอยู่แล้วปกติเวลาจะเริ่มเดินทางไปที่ไหนก็จะเริ่มจากสถานีฮากาตะครับ โดยจังหวัดแรกที่เราจะเดินทางไปก็คือ จ.คุมาโมโตะ จากสถานีฮากาตะเราสามารถเดินทางได้หลายวิธีครับ แต่ที่สะดวกที่สุดคือการเดินทางโดยรถไฟชินคันเซน โดยจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที ตั๋วไปเที่ยวเดียว ราคาที่ 5,230 เยนครับ
 
แต่ถ้าท่านผู้อ่านซื้อ JR Kyushu Rail Pass สำหรับการเดินทางได้ครับ เนื่องจากรายละเอียดเส้นทางและราคาตั๋วอาจมีการเปลี่ยนแปลง จึงชัวร์กว่าถ้าผู้อ่านทุกท่านตรวจสอบจากลิงค์ของการรถไฟคิวชูครับ JR Kyushu Rail Pass | JR KYUSHU RAILWAY COMPANY อีกทั้งตั๋วนี้สามารถซื้อได้ที่สถานีใหญ่ทุกสถานีในคิวชูเลยครับ หรือสามารถซื้ออนไลน์ก็ได้ครับ แต่ก็ต้องมารับตั๋วที่สถานีฮากาตะเหมือนกัน

หลังจากนั่งชินคันเซนมาถึงสถานีคุมะโมโตะแล้วเราจะไปกันที่ปราสาทคุมาโมโตะครับ โดยจากสถานีคุมะโมโตะสามารถเดินเท้าไปปราสาทได้ ถ้าใจและขาแข็งแรงพอนะครับ จะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไม่อยากเดิน เราก็สามารถนั่งรถรางของเมืองคุมะโมโตะได้ตลอดสาย 170 เยนครับ โดยจะใช้เวลาประมาณ 18 นาที และตอนที่จะลงรถต้องหย่อนเงินลงในเครื่องให้พอดีนะครับ เค้าไม่มีทอนนะ555 หรือใครที่คิดว่าจะนั่งรถรางเยอะก็แนะนำให้ซื้อ One day pass ของรถรางในราคา 500 เยนครับ จะคุ้มกว่ากันมากๆเลยครับ 
 
เมื่อถึงปราสาทคุมะโมโตะแล้วเราก็จะเห็นว่ายังคงมีความเสียหายจากแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อปี 2016 ให้เห็นได้อย่างชัดเจน เป็นที่น่าเสียดายที่เราเดินรอบปราสาทไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนครับ และการซ่อมแซมคาดว่าจะกินเวลานับจากปีนี้ (2021) ไปอีก 20 ปีเลยทีเดียว แต่ช้าก่อน! ทางปราสาทได้สร้างทางเดินพิเศษเพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชม สามารถเข้าชมตัวปราสาทหลักที่จะเปิดให้ชมได้ในเดือนเมษายนปีนี้ (4/2021) ครับ อนึ่ง ปราสาทคุมะโมโตะเป็นหนึ่งในปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็น “ป้อมปราการที่ไม่เคยถูกตีแตก” เนื่องจากผู้ออกแบบปราสาทได้ออกแบบโดยคำนึงถึงปัจจัยหลายๆด้านในการสงคราม จึงเป็นอีกหนึ่งในปราสาทที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่นครับ
อีกทั้งข้างๆปราสาทนั้นมีแหล่งช็อปปิ้งเล็กๆที่เรียกว่า “โจไซเอน” ซึ่งเป็นแหล่งรวมอาหารการกิน ของฝาก และอีกทั้งยังมีการแสดงที่อ้างอิงตามประวัติศาสตร์ของภูมิภาคคิวชูและความเป็นมาของปราสาทคุมะโมโตะที่สามารถชมได้ฟรีอีกด้วย 
หลังจากอิ่มมื้อเที่ยงที่โจไซเอนกันแล้วเราก็จะออกจากจังหวัดคุมะโมโตะ ไปที่ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยาซากิกันครับ แต่เนื่องจากสถานที่ที่เราจะไปกันนั้นมีความเป็นธรรมชาติสูง เราจึงต้องเช่ารถไปครับ โดยเดินทางประมาณสองชั่วโมง เราจะถึงที่ศาลเจ้า Amanoiwato (อามะ โนะ อิวาโตะ) โดยที่ใกล้ๆกับศาลเจ้านี้จะมีถ้ำที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเกี่ยวกับตำนานการสร้างประเทศญี่ปุ่นอยู่ด้วย โดยความเป็นมานั้นเกิดจาก “เทพอามะเทราสุ” ผู้ซึ่งเป็นเทพแห่งแสงสว่างได้เกิดอาการน้อยใจจากการโดนแกล้งจากเหล่าพี่น้องเทพด้วยกันเอง จึงหนีเข้าไปซ่อนตัวในถ้ำลึกและปิดปากถ้ำด้วยหินขนาดใหญ่ จึงทำให้โลกขาดแสงสว่างและเกิดความวุ่นวายมหาศาล เหล่าเทพจึงต้องมาประชุมกันที่ถ้ำข้างศาลเจ้าอามะ โนะ อิวาโตะแห่งนี้เพื่อหาวิธีนำตัวเทพอามะเทราสุออกมาจากถ้ำ นำแสงสว่างกลับสู่โลกและช่วยโลกใบนี้เอาไว้ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เหล่าทวยเทพมาประชุมกัน เลยมีความเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้มีพลังเทพสถิตย์อยู่ ชาวญี่ปุ่นจึงนิยมมาขอพรโดยการตั้งหินให้เป็นจำนวนคี่ เลยทำให้สถานที่แห่งนี้แม้จะเงียบสงบแทบจะปราศจากผู้คน แต่ก็ยังสัมผัสได้ซึ่งกลิ่นอายความคราคร่ำจากผู้คนนับพันที่ได้มาขอพรจากสถานที่แห่งนี้ตลอดมา เรียกได้ว่าขนาดผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่เดินเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงพลังจนต้องไปตั้งหินกับเค้าบ้างเลยครับ
หลังจากรับพลังจนรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว ถัดมาจากศาลเจ้าอามะ โนะ อิวาโตะ เราเดินทางไปที่ศาลเจ้าทาคาชิโฮ เพื่อรับชม “ระบำยามค่ำคืนฉบับย่อ” หรือเรียกชื่อตามภาษาญี่ปุ่นว่า Yokaguya โดยแท้จริงแล้วการระบำนี้จะทำตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ตกไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า แต่ครั้งนี้เนื่องจากเป็นการรำแสดงนักท่องเที่ยวที่มาดู จึงย่อลงให้เหลือประมาณหนึ่งชั่วโมงครับ และการร่ายรำนี้มีแสดงทุกวันช่วงตั้งแต่สองทุ่มเป็นต้นไป ท่านผู้อ่านคนไหนที่มีความสนใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่นและมีความเข้าใจในภาษาญี่ปุ่นก็แนะนำให้มาลองดูครับ อ่านมาจนถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านหลายๆท่านคงจะแอบรู้สึกคุ้นๆกับการรำ Yokaguya ว่าเคยเห็นในอนิเมะเรื่องไหนรึเปล่า ท่านจำไม่ผิดและไม่ได้คิดไปเองครับ เนื่องจากอาจารย์ผู้แต่งอนิเมะฯเรื่อง “ดาบพิฆาตอสูร” หรือ 鬼減の刃(Kimetsu no yaiba) นั้นเกิดและโตในภูมิภาคคิวชู จึงทำให้วัฒธรรมพื้นบ้านในภูมิภาคนี้หลายอย่างถูกนำไปเป็นแหล่งอ้างอิงและเรียบเรียงใหม่เป็นอนิเมะ ซึ่งการร่ายรำโยคางุยะนี้ ชาวเน็ตญี่ปุ่นก็คาดการว่าเป็นอย่างเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อของ คามาโดะ ทันจิโร่ ทำ แต่ในอนิเมะจะใช้ชื่อว่า 火の神楽 และเป็นการร่ายรำมาราธอนทั้งวันทั้งคืนต่างจากที่ทาคาชิโฮ ที่ร่ายรำแค่ช่วงกลางคืนครับ
หลังจากชมระบำเสร็จแล้วก็ถึงเวลาประมาณสามทุ่มพอดี และในคืนนี้เราจะพักกันที่ทาคาชิโฮ เพื่อเตรียมพร้อมในวันถัดไปครับ

วันที่ 2

หลังจากที่เราทานมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้วเราก็พร้อมที่จะเดินทางต่อไปที่ช่องเขาทาคาชิโฮครับ โดยเดินทางจากโรงแรมด้วยรถไม่ไกลมากประมาณห้านาทีจากศาลเจ้าทาคาชิโฮ เราก็จะมาถึงหุบเขาทาคาชิโฮอันเลื่องลือครับ โดยช่องเขานี้เราสามารถเช่าเรือพายเพื่อไปชมน้ำตก “มานาอิ” ใกล้ๆได้ ระหว่างพายเรือก็จะมีฝูงเป็ดว่ายน้ำไปรอบๆพวกเราด้วย เรียกได้ว่าสามารถสัมผัสธรรมชาติได้ใกล้ชิดมากๆเลยทีเดียว ถ้าจะถามว่าใกล้ขนาดไหน ก็บอกเลยว่าใกล้มากขนาดที่ว่าถ้าพายเรือไม่ระวัง รู้สึกตัวอีกทีอาจจะชุ่มไปด้วยน้ำจาก 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นไปแล้วก็ได้ครับ 
หลังจากที่เราออกจากทาคาชิโฮแล้ว เราจะไปกันที่ภูเขาไฟอะโสะซึ่งเป็นภูเขาไฟรูปโดนัทที่มีวงชั้นนอกกับชั้นใน เมื่อก่อนเชื่อกันว่าที่วงชั้นในเคยเป็นทะเลสาบมาก่อนจนกระทั่งเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่จนทำให้ภูเขารูปโดนัทชั้นนอกพังทลายลงไปบางส่วน จึงทำให้เกิดที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ขึ้นเนื่องจากมาตะกอนสะสมใต้น้ำและเถ้าภูเขาไฟอยู่มาก

สถานที่ที่ต้องมาบนภูเขาไฟอะโสะก็คือทุ่งหญ้า “คุสะเซ็นริ” เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างปากปล่องภูเขาไฟ ถัดมาไม่ไกลขับรถไปประมาณห้านาที ถ้าวันไหนที่ภูเขาไฟปะทุไม่แรงเราสามารถปีนขึ้นไปชมปากปล่องใกล้ๆได้ด้วย แต่น่าเสียดายครับ วันที่ผมไปไม่สามารถขึ้นได้เพราะเถ้าภูเขาไฟออกมาเยอะมาก
ที่สุดท้ายที่ของวันนี้คือ “ไดคังโบ”และ “นิชิยุโนะอุระ”(Nishiyunoura) ครับ 2 จุดนี้เป็นจุดชมวิวที่อยู่บนเขาวงนอกที่ล้อมรอบปากปล่องภูเขาไฟอีกทีนึง จากตรงนี้เราจะได้เห็นวิวทั้งหมดของภูเขาไฟอะโสะ และถ้ามองดีจากตรงนี้เราอาจจะเห็นภูเขาไฟอะโสะเป็นรูปพระนอนหงายได้อีกด้วยครับ
ส่วนภาพข้างล่างคือ จุดชมวิวนิชิยุโนะอุระ
เนื่องจากเราค่อยๆขับรถกัน บวกกับหยุดพักบ่อยระหว่างทางไปที่เที่ยวบนภูเขาไฟอะโสะ ในวันนี้เราก็พักการเดินทางไว้แค่นี้ก่อน

ขอกลับมาต่อวันที่เหลืออีกทีนะครับ
--------------------------
ติดตามกระทู้อื่นๆ
เที่ยวคิวชูจุใจ กับ SunQ Pass ประหยัดตังค์ได้เยอะ!พร้อมแนะนำPlanอย่างละเอียด3วัน https://ppantip.com/topic/39856894
ขอมาบอกเรื่อง 11 ที่กิน ที่เที่ยว เมือง Karatsu / Saga พร้อมวิธีการเดินทางถึงที่ ด้วยตัวเอง https://ppantip.com/topic/39719336
ไปเที่ยวเมือง Hita กันเถอะ (in Oita / Kyushu) https://ppantip.com/topic/39681368
--------------------------
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวคิวชูได้ที่
FB : https://www.facebook.com/japan.discovery.thai/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่