เชื่อเสมอว่าหนังที่ดี เพลงที่ดี นิยายที่ดี เราอาจชอบเมื่อได้เสพครั้งแรก แต่งานที่ยอดเยี่ยม กลับไม่ใช่การได้ ดู ฟัง อ่าน เพียงครั้งแรก แล้วเราจะชอบทันที แต่เป็นงานที่เรายิ่งดู ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งเพราะ ยิ่งกินใจ มากขึ้น ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป อนิเมะยาวเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษเรื่องนี้ ก็เป็นงานที่หาได้ยากแบบนั้นเช่นกัน
เนื้อหาในเรื่องอาจเป็นความรักฝังใจตามแบบแผนที่เราเคยได้รู้จักกันมาดาษดื่น แต่เพราะการเล่าเรื่องธรรมดา ด้วยฝีมือไม่ธรรมดาของผู้กำกับ ทำให้เมื่อทั้งสามองค์ของหนังจบลง ความรู้สึกจึงไม่จบตาม
การใช้เรื่องของ 'ระยะทางและเวลา' ตามชื่อเรื่อง มาแทรกไปกับความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละคน เป็นการใช้แนวคิดตรงไปตรงมาของวิทยาศาสตร์ มาสะท้อนเรื่องที่ไม่อาจคำนวณหรือใช้เหตุผลอย่างเรื่องของหัวใจ ได้อย่างชาญฉลาด
เพราะไม่ว่า ดอกซากุระที่โปรยปลิวลงพื้น อัตราความเร็วของจรวดที่ทะยานไปสู่ฟ้า หรือการเดินตัดกันของสองคนเมื่อขบวนรถไฟแล่นผ่าน ท้ายสุดแล้ว ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของกาลและอวกาศทุกอย่าง ก็ไม่อาจมาใช้กับเรื่องของใจ ที่อยู่เหนือตรรกะเหตุผลใด
ตลอดทั้งเรื่อง เราจึงเห็นภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุ เกี่ยวข้องกับตัวละครตลอดเวลา แต่ภายในใจตัวละครนั้นกลับถูกตรึงไว้ด้วยหมุดอันปวดร้าว
การลำดับเรื่องราว การคุมจังหวะของเรื่อง ทำได้อย่างยอดเยี่ยม จนพาเราผ่านความราบเรียบ มาเร่งเร้าในช่วงท้ายสุด ต้องชื่นชมเพลงประกอบที่เสริมเรื่องราว จนเป็นบทสรุปได้อย่างสมบูรณ์
ดอกซากุระร่วงลงในแนวดิ่ง คนสองคนเดินสวนกันในทางตรง ขบวนรถไฟตัดกันแนวเส้นขอบฟ้า และอารมณ์นั้นยังคงเดินทางต่ออย่างไร้ทิศไร้กาล พลันที่ความจริงตรงหน้าทำให้เราได้รู้แล้วว่า...
ขอบคุณที่โลกนี้มีภาพยนตร์
9/10
5 Centimetres per Second (2007): สิ่งสัมพัทธ์ในความสัมพันธ์
เนื้อหาในเรื่องอาจเป็นความรักฝังใจตามแบบแผนที่เราเคยได้รู้จักกันมาดาษดื่น แต่เพราะการเล่าเรื่องธรรมดา ด้วยฝีมือไม่ธรรมดาของผู้กำกับ ทำให้เมื่อทั้งสามองค์ของหนังจบลง ความรู้สึกจึงไม่จบตาม
การใช้เรื่องของ 'ระยะทางและเวลา' ตามชื่อเรื่อง มาแทรกไปกับความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละคน เป็นการใช้แนวคิดตรงไปตรงมาของวิทยาศาสตร์ มาสะท้อนเรื่องที่ไม่อาจคำนวณหรือใช้เหตุผลอย่างเรื่องของหัวใจ ได้อย่างชาญฉลาด
เพราะไม่ว่า ดอกซากุระที่โปรยปลิวลงพื้น อัตราความเร็วของจรวดที่ทะยานไปสู่ฟ้า หรือการเดินตัดกันของสองคนเมื่อขบวนรถไฟแล่นผ่าน ท้ายสุดแล้ว ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของกาลและอวกาศทุกอย่าง ก็ไม่อาจมาใช้กับเรื่องของใจ ที่อยู่เหนือตรรกะเหตุผลใด
ตลอดทั้งเรื่อง เราจึงเห็นภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุ เกี่ยวข้องกับตัวละครตลอดเวลา แต่ภายในใจตัวละครนั้นกลับถูกตรึงไว้ด้วยหมุดอันปวดร้าว
การลำดับเรื่องราว การคุมจังหวะของเรื่อง ทำได้อย่างยอดเยี่ยม จนพาเราผ่านความราบเรียบ มาเร่งเร้าในช่วงท้ายสุด ต้องชื่นชมเพลงประกอบที่เสริมเรื่องราว จนเป็นบทสรุปได้อย่างสมบูรณ์
ดอกซากุระร่วงลงในแนวดิ่ง คนสองคนเดินสวนกันในทางตรง ขบวนรถไฟตัดกันแนวเส้นขอบฟ้า และอารมณ์นั้นยังคงเดินทางต่ออย่างไร้ทิศไร้กาล พลันที่ความจริงตรงหน้าทำให้เราได้รู้แล้วว่า...
ขอบคุณที่โลกนี้มีภาพยนตร์
9/10