สวีสดีค่ะ วันนี้มายอยากมาแบ่งปันสิ่งที่กล้าหาญที่สุดในชีวิตนั่นก้อคือ เอาสารไบโอออกจากจมูก
มายเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปฉีดสารไบโอโดยที่ไม่รู้ว่ามันอันตรายมากแค่ไหน เริ่มจากตัวเองมีปมด้อยแต่เด็กว่าอยากมีดั้งเหมือนคนอื่นๆ เค้าเพราะคิดว่าการมีดั้งมันจะทำให้เราสวยขึ้น วันที่เรียนจบก็เข้ามาอยู่ในกรุงเทพกับลูกพี่ลูกน้องซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาว และพี่คนนี้ก็พาไปเสริมจมูกด้วยสารไบโอ โดยที่พี่สาวของมายก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันเป็นสารอันตราย โดยสถานที่ฉีดก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นๆ เท่าไร แถวคลีนิคดอนเมือง แรกๆ รูปจมูกก้อสวยดีเพราะหมอฉีดให้เยอะมากและเติมที่ปลายจมุกให้เป็นรูปหยดน้ำ เวลาผ่านไปๆ เริ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติจมูกค่อยๆ โตขึ้น เริ่มมีสีแดง สีเขียว สีม่วงช้ำเลือดช้ำนอง พอทำไปได้ 7 ปีก้อลองเสิดหาข้อมูลจนโทรไปสอบถามที่เลอลักษณ์เพื่อจะสอบถามเรื่องการเอาสารไบโอออก พนักงานที่รับสายบอกว่าทำมากี่ปีแล้วคะ เราก้อตอบว่า 7 ปี พนักงานตอบว่า ถ้าเกิน 7 ปีแล้วไม่เป็นอะไรก้ออย่าไปยุ่งกับมันเลยค่ะ .... ตอนนั้นก้อล้มเลิกความตั้งใจ
จนปี 2020 ปลายปีเริ่มเหนความผิดปกติได้ชัดมากๆ เพราะเริ่มได้กลิ่นสารอะไรในจมูก รวมทั้งจมูกโตบวมผิดรูป จึงหาข้อมุลเพิ่มเติมอีก 2-3 ที่ จนตัดสินใจไปพบแพทย์ที่คลีนิคแห่งหนึ่งที่หมอเคยอยู่เลอลักษณ์ แต่ย้ายไปเปิดคลีนิคแถถวศรีนครินทร์ ใช้เวลาขับรถจากรัชดาไปแถวนั้น 1 ชม ด้วยความที่ถนนทำทางและรถติด พบหมอไม่ถึง 3 นาที หมอให้เปิดจมูกถอดหน้ากาก แล้วพูดว่า "ผมแก้ให้ไม่ได้หรอกคับ แก้ไปมีแต่พังกับพัง จงใช้ชีวิตอยู่กับมันและยอมรับที่จะอยู่กับมัน" มายถามต่อว่า แล้วในอนาคตถ้ามันอันตรายกว่านี้จะทำยังไงคะ หมอตอบว่า ก้อต้องอยู่กับมันให้ได้ ฟังแล้วคุณรู้สึกอะไรไหมคะ ??? ส่วนหนึ่งเข้าใจแพทย์ว่าถ้าเค้าทำให้ไม่ได้เค้าก้อจะบอกว่าทำไม่ได้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำร้ายชื่อเสียงหากทำไม่สำเร็จ แต่ด้วยจรรยาบรรณแพทย์ น่าจะมีคำพูดที่ดีกว่านี้ หรือแนะนำอะไรที่ดีกว่านี้ หมอพูดอารมณ์เหมือนว่า ถ้าคุณเป็นมะเร็ง คุณก้อแค่รอความตายต่อไป อย่าไปพยายามทำอะไรอีกเลย ไม่โกรธหมอนะคะ ที่จะเซฟตัวเอง แต่ก้อแค่ได้เห็นสัจธรรมของโลกใบนี้ว่าต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไร
หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษาจากกระทู้และอินเตอร์เน็ตอย่างจริงใจ โดยเคสแก้ไขสารไบโอทั้งหมดจะขึ้นชื่อ ณพลักษณ์คลีนิค จึงตัดสินใจนัดพบหมอวันที่ 9 มกราคม 2564 วันที่เข้าไปคลีนิคนั่งอ่านเอกสารเป็นชม. จากอุณภูมิปกติเป็นตัวร้อนผ่าวตอนได้พบกับคุณเฟียต คุณเฟียตก้ออธิบายทุกอย่างให้ฟังโดยละเอียด มีแอบน้ำตาไหลด้วยเพราะคุณเฟียตจะรับมายไว้เป็นคนไข้ เกือบ 2 สัปดาห์นอนไม่ค่อยหลับคะ กังวลแต่เรื่องผ่าตัดเนื่องจากเป็นการฉีดยาชาเฉพาะที่ เราจะรับรู้ตลอดเวลา ประกอบกับเป็นคนที่จิตตกเลยกังวลไปซะทุกกอย่าง บอกตัวเองทุกวันว่าเด๋วมันก้อผ่านไป หลังจากนั้น 19 มค ก็ได้พบกับคุณหมออรรถพันธ์ คุณหมอ น่ารักมากค่ะ คุยเป็นกันเอง บอกเรื่องจริงที่เราจะต้องพบเจอทุกอย่าง บอกว่าระดับอันตรายในจมูกเราที่มีไว้ 5 ระยะ เราอยู่ระยะไหน ถ่ายรูปส่องให้เห็นกันชัดๆ คุณหมอบอกตอนท้ายว่า ชีวิตเรามีค่า มีราคา และวันนี้คุณจะมาเป็นคนไข้ของหมอ หมอจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด วันนั้นได้ยาไปทานก่อนการผ่าตัด 1วันค่ะ และรู้สึกคลายกังวลขึ้นเยอะหลังจากได้คุยกับคุณหมอที่จะผ่าตัดเราแล้ว
ก่อนวันผ่าตัด 1-2 วันหมอให้มายไปตรวจโควิทแล้วเอาผลมาให้ภายใน 24 ชม ก่อนการผ่าตัดเพราะต้องการเซฟทั้งตัวเราและทีมแพทย์ผ่าตัดของคุณหมอ จากที่ไม่คิดว่าต้องตรวจ วันผ่าตัดหมอให้ทานข้าวให้เรียบร้อย ไปถึงประมาณบ่ายโมง นั่งเหม่อลอยในรถแท็กซี่เพราะตัดสินใจไปผ่าตัดแค่คนเดียว โดยที่ไมไ่ด้บอกครอบครัวเพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง บอกกับตัวเองว่า เด๋วมันก้อผ่านไป ถึงคลีนิคแล้วพบคุณหมออรรถพันธ์อีกครั้ง Step ก้อล้างหน้า 5 ครั้ง แปรงฟัน 2 ครั้ง ฮึบๆ ตอนนั้นท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดเลย ทั้งปวดท้องเบาและท้องหนัก เหมือนคุมร่างกายไม่ได้ พยายามหายใจลึกๆ หลังจากนั้นก้อเข้าไปคุยกับคุณหมออีกรอบเพื่อเก็บรูปก่อนที่จะผ่าตัด
ขึ้นห้องผ่าตัดแล้วค่ะ ใจก้อยังตุ๊บๆต่อมๆ แต่หมอจะให้ยาคลายเครียดเราทาน ครึ่งเม็ดนะคะ หากเราเป็นคนที่กังวลมากๆ หมอจะเปิดเพลงเบาๆ ให้เราฟังและชวนเราคุยเพื่อผ่อนคลาย และเป็นที่ทุกกระทู้บอกว่า การฉีดยาชาของหมอไม่เจ็บเลย เจ็บสุดๆ ก้อคือ 5 วินาทีแรก แต่สำหรับมายการไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาลรู้สึกเจ็บกว่า ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความเจ็บปวดนะคะ ไม่มีเลยแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว แม้จะโดนไปเกือบ 500 เข็ม เนื่องจากเป็นวัยต่อยาชาเลยโดนมากกว่าปกติ
ทำเสร็จแล้วค่ะ เคสของมายใช้เวลาผ่าตัดทั้งสิ้น 4 ชม. เนื่องจากไม่ได้เสริมสิริโคนต่อเพราะเนื้อบางมาก หากเสริมไปก้อจะทะลุและต้องถอดออก จึงรอให้แผนสมานและเตรียมผ่าตัดรอบสองเพื่อปลูกถ่ายเนื้อเยื้อ (แว๊ก ยังกลัวอยู่ถึงแม้จะไม่เจ็บ) เดินลงมาข้างล่างด้วยอาการมึนๆ ยาชาและเมากับใบหน้าของตัวเองหลังผ่าตัดเสร็จ โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย น่ากลัวไปไหมเทอ แต่ทำใจไว้แล้วเพราะทุกเคสที่ผ่าตัดไบโอ หน้าจะบล๊อกเดียวกันหมด สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก้อคือ คุณหมอเลาะเจ้าเนื้อร้ายออกได้สวยงามมากค่ะเพราะคิดว่ามันคงออกมาเป็นชิ้ๆ แล้วเรียงประกบกัน แต่ไม่เลย มันออกมาเป็นชิ้นเนื้อเดียว จับแล้วก้อเหมือนเอ็นหมู ความใส่ใจของหมออีกอย่างคือ คุณหมอจะเอาชิ้นเนื้อนั้นไปตรวจหาเชื้อมะเร็งให้ด้วยนะคะ
ตอนนี้มายกำลังรักษาตัวอยู่ค่ะ หน้ายุบลงทุกๆวัน โดยจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่วันที่ 2 ซึ่งวันนี้วันที่ 4 แล้วหลังจากผ่าตัด ซึ่งวันนี้คุณเฟียตนัดพบเพื่อทำแผลค่ะ ถ้ามีอะไรอัพเดตเพิ่มจะมาอัพเดตอีกทีนะคะ อยากบอกทุกคนว่าไม่ต้องกลัวเรื่องที่จะเอาสารไบโอออกนะคะ เพราะยิ่งอยู่กับเรานานยิ่งทำร้ายตัวเรา ทำร้ายเนื้อเยื้อในจมูกเรา ทำร้ายสุขภาพเรา เราทุกคนเป็นคนเก่งในแบบของตัวเอง เป็นคนกล้าในแบบของตัวเองอยู่ที่ว่าเราจะกล้าพอที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องและควรทำหรือเป่า หากถามมายว่า ผ่าตัดรอบ 2 ยังกลัวไหม บอกได้เต็มปากเลยค่ะ ว่ายังกลัวอยู่ แต่ความกลัวที่สุดมันผ่านมาตอนเอาสารไบโอออกแล้ว ตอนนี้โล่งใจแล้วว่าไม่มีสิ่งอันตรายเกาะอยู่ด้านในอีกแล้วเพราะคุณหมอบอกว่าเคสของมาย เอาออกได้มากกว่า 95% แทบไม่เหลือ ถึงไมไ่ด้เสริมสิริโคนก้อไม่ต้องเสียใจเพราะมันเป็นความโชคดีที่สุดแล้วที่เราได้เอาสารร้ายออกไปจากร่างกาย
ผ่านไป 4 วันได้ทำแผลครั้งแรกค่ะ สิวขึ้นจมูกบวกกับหนอง หมอก้อทำการเจาะหนองและสิวออกมา แต่ในเอกสารหมอเขียนไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้แหละไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี่บอกเรื่องจริงทุกอย่าง คุณหมอจับมือด้วยนะคะว่าไม่ต้องกลัวนะ คุณเป็นคนไข้ของหมอ หมอจะดูแลคุณให้ดีที่สุด หมอจะพูดแบบนี้ตลอด ทั้งตอนผ่าตัดและการดูแลหลังการผ่าตัด เพราะชีวิตเรามีค่า มีราคา
สำหรับใครที่ยังลังเลเรื่องการเอาสารไบโอออก ไม่ต้องลังเลนะคะ มายแนะนำว่าต้องเป็นณพลักษณ์คลีนิคนะคะ เพราะคุณหมอใส่ใจเรามากจริงๆ และคุณหมอเอาออกได้จริง และใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอนและรายละเอียด มายมาทำกระทู้ไม่ได้เงินค่าจ้างนะคะ แต่อยากทำบุญโดยการบอกต่อหากใครที่ยังไม่ตัดสินใจอยากให้รีบตัดสินใจก่อนที่จะสายเกินไป ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้นะคะ แค่ก้าวผ่านความกลัวแค่นั้นเอง
มายเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ และหวังว่ากระทู้เล้กๆนี้จะทำให้ใครบางคนกล้าที่จะเปิดใจและตัดสินใจที่จะเอาชนะความกลัวค่ะ เพราะชีวิตของเรามีค่าสำ
https://ppantip.com/topic/40616944
กระทู้ที่ 2 หลังจากพักรักษาตัวอยู่ 2 เดือนค่ะ
เอาสารไบโอออกกับคุณหมออรรถพันธ์ ณพลักษณ์คลีนิค
มายเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปฉีดสารไบโอโดยที่ไม่รู้ว่ามันอันตรายมากแค่ไหน เริ่มจากตัวเองมีปมด้อยแต่เด็กว่าอยากมีดั้งเหมือนคนอื่นๆ เค้าเพราะคิดว่าการมีดั้งมันจะทำให้เราสวยขึ้น วันที่เรียนจบก็เข้ามาอยู่ในกรุงเทพกับลูกพี่ลูกน้องซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาว และพี่คนนี้ก็พาไปเสริมจมูกด้วยสารไบโอ โดยที่พี่สาวของมายก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันเป็นสารอันตราย โดยสถานที่ฉีดก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นๆ เท่าไร แถวคลีนิคดอนเมือง แรกๆ รูปจมูกก้อสวยดีเพราะหมอฉีดให้เยอะมากและเติมที่ปลายจมุกให้เป็นรูปหยดน้ำ เวลาผ่านไปๆ เริ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติจมูกค่อยๆ โตขึ้น เริ่มมีสีแดง สีเขียว สีม่วงช้ำเลือดช้ำนอง พอทำไปได้ 7 ปีก้อลองเสิดหาข้อมูลจนโทรไปสอบถามที่เลอลักษณ์เพื่อจะสอบถามเรื่องการเอาสารไบโอออก พนักงานที่รับสายบอกว่าทำมากี่ปีแล้วคะ เราก้อตอบว่า 7 ปี พนักงานตอบว่า ถ้าเกิน 7 ปีแล้วไม่เป็นอะไรก้ออย่าไปยุ่งกับมันเลยค่ะ .... ตอนนั้นก้อล้มเลิกความตั้งใจ
จนปี 2020 ปลายปีเริ่มเหนความผิดปกติได้ชัดมากๆ เพราะเริ่มได้กลิ่นสารอะไรในจมูก รวมทั้งจมูกโตบวมผิดรูป จึงหาข้อมุลเพิ่มเติมอีก 2-3 ที่ จนตัดสินใจไปพบแพทย์ที่คลีนิคแห่งหนึ่งที่หมอเคยอยู่เลอลักษณ์ แต่ย้ายไปเปิดคลีนิคแถถวศรีนครินทร์ ใช้เวลาขับรถจากรัชดาไปแถวนั้น 1 ชม ด้วยความที่ถนนทำทางและรถติด พบหมอไม่ถึง 3 นาที หมอให้เปิดจมูกถอดหน้ากาก แล้วพูดว่า "ผมแก้ให้ไม่ได้หรอกคับ แก้ไปมีแต่พังกับพัง จงใช้ชีวิตอยู่กับมันและยอมรับที่จะอยู่กับมัน" มายถามต่อว่า แล้วในอนาคตถ้ามันอันตรายกว่านี้จะทำยังไงคะ หมอตอบว่า ก้อต้องอยู่กับมันให้ได้ ฟังแล้วคุณรู้สึกอะไรไหมคะ ??? ส่วนหนึ่งเข้าใจแพทย์ว่าถ้าเค้าทำให้ไม่ได้เค้าก้อจะบอกว่าทำไม่ได้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำร้ายชื่อเสียงหากทำไม่สำเร็จ แต่ด้วยจรรยาบรรณแพทย์ น่าจะมีคำพูดที่ดีกว่านี้ หรือแนะนำอะไรที่ดีกว่านี้ หมอพูดอารมณ์เหมือนว่า ถ้าคุณเป็นมะเร็ง คุณก้อแค่รอความตายต่อไป อย่าไปพยายามทำอะไรอีกเลย ไม่โกรธหมอนะคะ ที่จะเซฟตัวเอง แต่ก้อแค่ได้เห็นสัจธรรมของโลกใบนี้ว่าต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไร
หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษาจากกระทู้และอินเตอร์เน็ตอย่างจริงใจ โดยเคสแก้ไขสารไบโอทั้งหมดจะขึ้นชื่อ ณพลักษณ์คลีนิค จึงตัดสินใจนัดพบหมอวันที่ 9 มกราคม 2564 วันที่เข้าไปคลีนิคนั่งอ่านเอกสารเป็นชม. จากอุณภูมิปกติเป็นตัวร้อนผ่าวตอนได้พบกับคุณเฟียต คุณเฟียตก้ออธิบายทุกอย่างให้ฟังโดยละเอียด มีแอบน้ำตาไหลด้วยเพราะคุณเฟียตจะรับมายไว้เป็นคนไข้ เกือบ 2 สัปดาห์นอนไม่ค่อยหลับคะ กังวลแต่เรื่องผ่าตัดเนื่องจากเป็นการฉีดยาชาเฉพาะที่ เราจะรับรู้ตลอดเวลา ประกอบกับเป็นคนที่จิตตกเลยกังวลไปซะทุกกอย่าง บอกตัวเองทุกวันว่าเด๋วมันก้อผ่านไป หลังจากนั้น 19 มค ก็ได้พบกับคุณหมออรรถพันธ์ คุณหมอ น่ารักมากค่ะ คุยเป็นกันเอง บอกเรื่องจริงที่เราจะต้องพบเจอทุกอย่าง บอกว่าระดับอันตรายในจมูกเราที่มีไว้ 5 ระยะ เราอยู่ระยะไหน ถ่ายรูปส่องให้เห็นกันชัดๆ คุณหมอบอกตอนท้ายว่า ชีวิตเรามีค่า มีราคา และวันนี้คุณจะมาเป็นคนไข้ของหมอ หมอจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด วันนั้นได้ยาไปทานก่อนการผ่าตัด 1วันค่ะ และรู้สึกคลายกังวลขึ้นเยอะหลังจากได้คุยกับคุณหมอที่จะผ่าตัดเราแล้ว
ก่อนวันผ่าตัด 1-2 วันหมอให้มายไปตรวจโควิทแล้วเอาผลมาให้ภายใน 24 ชม ก่อนการผ่าตัดเพราะต้องการเซฟทั้งตัวเราและทีมแพทย์ผ่าตัดของคุณหมอ จากที่ไม่คิดว่าต้องตรวจ วันผ่าตัดหมอให้ทานข้าวให้เรียบร้อย ไปถึงประมาณบ่ายโมง นั่งเหม่อลอยในรถแท็กซี่เพราะตัดสินใจไปผ่าตัดแค่คนเดียว โดยที่ไมไ่ด้บอกครอบครัวเพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง บอกกับตัวเองว่า เด๋วมันก้อผ่านไป ถึงคลีนิคแล้วพบคุณหมออรรถพันธ์อีกครั้ง Step ก้อล้างหน้า 5 ครั้ง แปรงฟัน 2 ครั้ง ฮึบๆ ตอนนั้นท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดเลย ทั้งปวดท้องเบาและท้องหนัก เหมือนคุมร่างกายไม่ได้ พยายามหายใจลึกๆ หลังจากนั้นก้อเข้าไปคุยกับคุณหมออีกรอบเพื่อเก็บรูปก่อนที่จะผ่าตัด
ขึ้นห้องผ่าตัดแล้วค่ะ ใจก้อยังตุ๊บๆต่อมๆ แต่หมอจะให้ยาคลายเครียดเราทาน ครึ่งเม็ดนะคะ หากเราเป็นคนที่กังวลมากๆ หมอจะเปิดเพลงเบาๆ ให้เราฟังและชวนเราคุยเพื่อผ่อนคลาย และเป็นที่ทุกกระทู้บอกว่า การฉีดยาชาของหมอไม่เจ็บเลย เจ็บสุดๆ ก้อคือ 5 วินาทีแรก แต่สำหรับมายการไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาลรู้สึกเจ็บกว่า ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความเจ็บปวดนะคะ ไม่มีเลยแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว แม้จะโดนไปเกือบ 500 เข็ม เนื่องจากเป็นวัยต่อยาชาเลยโดนมากกว่าปกติ
ทำเสร็จแล้วค่ะ เคสของมายใช้เวลาผ่าตัดทั้งสิ้น 4 ชม. เนื่องจากไม่ได้เสริมสิริโคนต่อเพราะเนื้อบางมาก หากเสริมไปก้อจะทะลุและต้องถอดออก จึงรอให้แผนสมานและเตรียมผ่าตัดรอบสองเพื่อปลูกถ่ายเนื้อเยื้อ (แว๊ก ยังกลัวอยู่ถึงแม้จะไม่เจ็บ) เดินลงมาข้างล่างด้วยอาการมึนๆ ยาชาและเมากับใบหน้าของตัวเองหลังผ่าตัดเสร็จ โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย น่ากลัวไปไหมเทอ แต่ทำใจไว้แล้วเพราะทุกเคสที่ผ่าตัดไบโอ หน้าจะบล๊อกเดียวกันหมด สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก้อคือ คุณหมอเลาะเจ้าเนื้อร้ายออกได้สวยงามมากค่ะเพราะคิดว่ามันคงออกมาเป็นชิ้ๆ แล้วเรียงประกบกัน แต่ไม่เลย มันออกมาเป็นชิ้นเนื้อเดียว จับแล้วก้อเหมือนเอ็นหมู ความใส่ใจของหมออีกอย่างคือ คุณหมอจะเอาชิ้นเนื้อนั้นไปตรวจหาเชื้อมะเร็งให้ด้วยนะคะ
ตอนนี้มายกำลังรักษาตัวอยู่ค่ะ หน้ายุบลงทุกๆวัน โดยจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่วันที่ 2 ซึ่งวันนี้วันที่ 4 แล้วหลังจากผ่าตัด ซึ่งวันนี้คุณเฟียตนัดพบเพื่อทำแผลค่ะ ถ้ามีอะไรอัพเดตเพิ่มจะมาอัพเดตอีกทีนะคะ อยากบอกทุกคนว่าไม่ต้องกลัวเรื่องที่จะเอาสารไบโอออกนะคะ เพราะยิ่งอยู่กับเรานานยิ่งทำร้ายตัวเรา ทำร้ายเนื้อเยื้อในจมูกเรา ทำร้ายสุขภาพเรา เราทุกคนเป็นคนเก่งในแบบของตัวเอง เป็นคนกล้าในแบบของตัวเองอยู่ที่ว่าเราจะกล้าพอที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องและควรทำหรือเป่า หากถามมายว่า ผ่าตัดรอบ 2 ยังกลัวไหม บอกได้เต็มปากเลยค่ะ ว่ายังกลัวอยู่ แต่ความกลัวที่สุดมันผ่านมาตอนเอาสารไบโอออกแล้ว ตอนนี้โล่งใจแล้วว่าไม่มีสิ่งอันตรายเกาะอยู่ด้านในอีกแล้วเพราะคุณหมอบอกว่าเคสของมาย เอาออกได้มากกว่า 95% แทบไม่เหลือ ถึงไมไ่ด้เสริมสิริโคนก้อไม่ต้องเสียใจเพราะมันเป็นความโชคดีที่สุดแล้วที่เราได้เอาสารร้ายออกไปจากร่างกาย
ผ่านไป 4 วันได้ทำแผลครั้งแรกค่ะ สิวขึ้นจมูกบวกกับหนอง หมอก้อทำการเจาะหนองและสิวออกมา แต่ในเอกสารหมอเขียนไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้แหละไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี่บอกเรื่องจริงทุกอย่าง คุณหมอจับมือด้วยนะคะว่าไม่ต้องกลัวนะ คุณเป็นคนไข้ของหมอ หมอจะดูแลคุณให้ดีที่สุด หมอจะพูดแบบนี้ตลอด ทั้งตอนผ่าตัดและการดูแลหลังการผ่าตัด เพราะชีวิตเรามีค่า มีราคา
สำหรับใครที่ยังลังเลเรื่องการเอาสารไบโอออก ไม่ต้องลังเลนะคะ มายแนะนำว่าต้องเป็นณพลักษณ์คลีนิคนะคะ เพราะคุณหมอใส่ใจเรามากจริงๆ และคุณหมอเอาออกได้จริง และใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอนและรายละเอียด มายมาทำกระทู้ไม่ได้เงินค่าจ้างนะคะ แต่อยากทำบุญโดยการบอกต่อหากใครที่ยังไม่ตัดสินใจอยากให้รีบตัดสินใจก่อนที่จะสายเกินไป ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้นะคะ แค่ก้าวผ่านความกลัวแค่นั้นเอง
มายเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ และหวังว่ากระทู้เล้กๆนี้จะทำให้ใครบางคนกล้าที่จะเปิดใจและตัดสินใจที่จะเอาชนะความกลัวค่ะ เพราะชีวิตของเรามีค่าสำ
https://ppantip.com/topic/40616944
กระทู้ที่ 2 หลังจากพักรักษาตัวอยู่ 2 เดือนค่ะ