สวัสดีค่ะ...
วันนี้จะมาเล่าเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งมี "หนี้" ในระบบประมาณ 500,000 บาท
อายุ 30 กว่าค่ะ แต่ล้มเหลวในเรื่องวางแผนทางการเงิน เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลหลายบัตรหลายสถาบัน ดังนี้
1.บัตรเครดิต BBL 18,000 บาท
2.บัตรเครดิต SCB 30,000 บาท
3.อีซี่บาย(ยูเมะพลัส) กดเงินสด 68,300 บาท
4.สินเชื่อ CIMB 70,000 บาท
5.สินเชื่อ TMB 156,000 บาท
6.บัตรเครดิต KTC 70,000 บาท
7.บัตรกดเงินสด KTC 70,000 บาท
เรามาถึงทางตันค่ะ จ่ายไม่ไหว จ่ายขั้นต่ำมาตลอด สุดท้ายตัดสินใจจบทุกอย่างด้วยตัวเอง หยุดจ่ายทุกอย่าง เริ่มทุกบัตรตั้งแต่ ต้นปี เดือนมกราคมค่ะ และเก็บเงินก้อนไว้ให้มากที่สุด
ของเราทวงหนักมากค่ะ แบบเอาให้ขาดใจตายไปข้าง พูดจิก กัด แต่ก็ไม่มีคำหยาบคาย แต่คำนางแต่ละคำนี่ สุดยอดจี้ไปถึงหัวใจ โทรตั้งแต่มือถือส่วนตัว ลามไปยันเบอร์โต๊ะทำงาน ลามไป Reception แล้วสุดท้ายนางก็โทรเข้าหาหัวหน้า HR. สำเร็จ (นางเก่งไหมล่ะ นางมีความพยายามมาก555)
แต่เราแก้ไขโดย
ข้อแรก ตั้งสติ ยอมรับความจริง เข้มแข็ง แรกๆ ทำใจไม่ได้ค่ะยอมรับเครียดจนนอนไม่หลับ 3 วัน ป่วยบ่อย นางโทรแบบ 3 เดือนแรกที่หยุดจ่าย กระหน่ำมาก วันละ 10 สาย หรือมากกว่านั้น เสา-ทิตย์ก็โทร โทรหาเราไม่ติด นางก็โทรหาบุคคลอ้างอิงที่เราเคยให้เบอร์ไว้ตอนสมัคร จนที่บ้านยอมเปลี่ยนเบอร์ 555
ข้อสอง ต้องบอกทุกคนที่เกี่ยวข้องให้รับรู้ อันนี้ต้องบอกก่อนว่า ถ้าตั้งใจจะหยุดจ่ายแล้ว และคิดดีแล้ว ไม่เครียดกับการติดบูโร ไม่อาย กล้าที่จะแก้ไข ก็บอกทุกคนรอบข้างได้เลย คนที่รักเราเค้าจะต้องเข้าใจเราค่ะ ตอนแรกบอกเลยว่ากว่าจะมาจุดที่ยอมรับการเป็นหนี้ที่ไม่มีทางออกแบบนี้ได้ มันไม่ง่าย เราผ่านมาทั้งเครียด กังวล นอนไม่หลับ ได้โรคแพนิคแถมมาอีก สมาธิกระจุยกระจาย เมื่อมันตัน เอาบัตรนี้ปิดบัตรนั้น คือหมุนจนตัน ไม่ไหวจะหมุนต่อเป็นแบบนี้ มากว่า 3 ปี เราก็ต้องตัด ยอมโดยการติดบูโร ซึ่งจะทำให้มันหมดหนี้ เราหาอ่านจากพันทิพนี่หล่ะ ครูที่ดีสำหรับเราเลย บอกแค่ครอบครัวไม่ได้ ต้องบอกแฟน บอกหัวหน้างาน บอกหัวหน้า HR เราโชคดีเพื่อนร่วมงานทุกคนในฝ่ายเข้าใจ หัวหน้าน่ารักมาก บอกว่าเรื่องหนี้สินมันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าไม่มีผลต่องานเค้าก็จะไม่ยุ่ง แล้วก็เดินไปสารภาพพูดความจริงกับ HR. แล้วก็โชคดีมาก ที่ HR.เค้าให้กำลังใจมาว่า ไม่ใช่เราคนเดียวในบริษัทที่เป็นแบบนี้ อย่ากังวล เค้าเห็นใจด้วยซ้ำที่เราพยายามจะแก้ไข ไม่ใช่หนี รับความจริงให้ได้
ข้อสาม อันนี้ วิธีของเราคือ เราหยุดจ่ายทุกใบ แล้วเอาเงินที่จะจ่ายขั้นต่ำนั้น เก็บไว้เพื่อรวมก้อนให้มากที่สุด เราเคลียร์ได้ 2 บัตร คือ BBl และ SCB ส่วนอีก 5 บัตร เราหยุดมันพร้อมกันเลย เริ่ม มกราคม 2561 มาดูกันค่ะว่า 5 บัตรนี้เรามีวิธีจัดการกับมันยังไง
1.อีซี่บายหรือยูเมะพลัส ยอดรวม 68,300 เป็นตัวแสบสุด ยอดน้อยสุดใน 5 บัตร แต่นางจิกแบบสุดๆ ถ้ายอดไม่ถึงแสนส่วนใหญ่จะไม่ฟ้อง อันนี้เราคิดเองนะคะ ให้นางโทรไป 3 เดือนแรกเราไม่รับ พอเข้าเดือนที่ 4 เราเริ่มรับสาย และพูดไปตามตรงเลย เราเป็นหนี้อยู่ เท่านี้ แต่พอดีเราหาให้ได้ แค่40,000 ถ้าพี่ลดให้ วันนี้40,000 หนูจ่ายทันที นางไม่ยอมค่ะ ดึงกันเกือบ 3 เดือน เปลี่ยนสำนักทวงเป็นสิบคนได้ จนสุดท้ายเค้ายอมปิดที่ 37,000 ประหยัดไป 31,300 บาท วันที่ 17/07/61 โล่งค่ะ คุ้มแก่การรอ ...
2.สินเชื่อ CIMB 70,000 บาท ขยันไม่แพ้กัน เรารับทุกสายถ้ารับได้ ยื้อกันไปมา สุดท้ายปิดจบที่ 51,000 บาท ประหยัดไป 18,000 บาท วันที่ 5/09/61 กว่าจะจบประสาทจะกินค่ะ
3.สินเชื่อ TMB 156,000 บาท อันนี้บอกเลยหินมาก ขอยาก ใจแข็ง เราพยายามขอความเห็นใจ ไม่อยากให้ถึงขั้นขึ้นศาล ยื้อมาร่วม 11 เดือน รับสายทุกครั้ง ส่วนมากทางเค้าจะมีเทคนิคให้เราจ่ายร้อยสองร้อย พันสองพันเข้าระบบตัดยอดไปบ้าง เราไม่จ่ายค่ะ รอจ่ายทีเดียว ปิดจบที่ 110,000 บาท ประหยัดไป 46,000 บาท วันที่ 1/11/61
4. และ 5. ตัวนี้คือหนักสุด ที่หนักเพราะเงินเราหมดค่ะ ไม่มีเงินก็เสียงดังไม่ได้ เครียดสุด KTC รวม 2 บัตร 140,000 ยังไม่รวมดอกเบี้ย และค่าปรับ ค่าทวงถามนี่นั่น อันนี้ปวดหัวสุด และบอกเลยฟ้องเร็วมาก 55555 บัตรอื่นยื้อได้ คุยได้บ้าง ของกรุงไทย KTC ใจแข็งไม่มีส่วนลด ยื้อมาได้ 5 เดือน ไม่จบ ไปจบที่ศาลค่ะ
ได้หมายศาลมาแขวนที่บ้าน (ตามที่อยู่ในทะเบียนบ้านที่มีชื่อเรา) เอาหมายมาอ่านมือสั่น น้ำตาไหล 5555 สมน้ำหน้าตัวเอง สะใจ ฮึบน้ำตาไว้ รอเวลาไปตามศาลนัด ห้ามสาย ไปก่อนเวลายิ่งดี
เมื่อถึงวันขึ้นศาลครั้งแรกกลัวใจจะขาด ฉี่จะราด ไปคนเดียวจะต้องผ่านไปให้ได้ เราก่อเอง เราต้องแก้เอง พ่อแม่จะไปด้วย ไม่ให้ไป เราจะไปด้วยตัวเองนี่แหละ ศึกษามาแล้วจาก พี่ ๆ ในพันธ์ทิพย์ พอไปถึงก็รีบไปที่กระดานหารายชื่อของตัวเอง แต่ไม่ยากเลย เพราะว่าคนเยอะมาก วันนี้เป็นเหมือนวันมหกรรมการไกล่เกลี่ยลูกหนี้ของ KTC หรือรวมๆกันนี่แหละค่ะ หลากหลาย แยกย้ายตามห้อง โดยการจับบัตรคิวใครมาก่อนหลังตามคิว พอถึงคิวเราก็ไปเจรจาเป็นโต๊ะธรรมดามีพนักงานของสินเชื่อนั้นๆ มาทำการเจรจาไกลเกลี่ย เริ่มที่ให้จ่ายจบในก้อนเดียวที่ยอดเบ็ดเสร็จ 159,000 บาท โดยประมาณ เราตีเป็นเลขกลม ๆ นะคะ เพราะรวมดอกเบี้ย รวมนี่นั่น จะเป็นลม ก้อนเดียวไม่สามารถหาจ่ายได้ สรุปไปมา เค้าให้ผ่อนที่ 24 เดือน ตกเดือนละ หกพันหก โห.....เราไม่ไหวอ่ะ ยอดจ่ายมากกว่าตอนที่ยังไม่โดนฟ้องอีก น้ำตาจะไหล นั่งกันอยู่นาน ตกลงกันไม่ได้ เราขอเลื่อนไป 30 วัน ให้ศาลท่านนัดมาเจรจาอีกครั้งนึงดีกว่า ยืดไปได้อีก เผื่อเรากลับไปหาเงินได้จะได้ต่อรองขอปิดยอดไป ถ้าหาไม่ได้ก็มาศาลอีกครั้งตามนัด เพราะยังไงข้อเสนอที่เค้าให้มา เราทำไม่ได้ค่ะ เกิดใจร้อนทำยอมไปแล้วอนาคตทำไม่ได้โดนบังคับคดีแน่ ๆ .......
ระหว่างนั้นมีเวลา 30 วัน เราพยายามหาเงินเพื่อให้พอกับยอดที่ต้องชำระ โดยขอส่วนลด ขอแบ่งจ่าย สามงวด ซึ่งโดนปฏิเสธทั้งสิ้น OMG!!!!! ครั้งนี้เรายอมแพ้ เค้าแบบใจหินมาก เลยตัดสินใจไปตามศาลนัดอีกครั้ง..
หลังจากนั้น...ก็มาถึงวันที่ศาลนัดครั้งที่สอง ครั้งนี้เราไปเช็คที่กระดานเหมือนเดิม เพื่อดูห้องเลขที่ บัลลังก์ ก็ไปตามนั้น ของเราอยู่ชั้น 3 ก็ไปตรวจดูรายชื่อที่หน้าห้อง ก็เข้าไปนั่ง พอไปถึงพบทนายของฝ่ายโจทก์ ก็ทำการเจรจาอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ส่วนลด ไม่ให้แบ่งจ่าย แต่อย่างใด เราเลยพอและ สุดและ รอผู้พิพากษาท่านขึ้นมาบังลังก์ก็ประมาณ 10 โมง เราใจเต้นมาก และเราคิวแรกเลยค่ะ 55555 เราท่องคำปฏิญาณตน และทนายโจทก์ก็ทำการแจ้งรายละเอียดนี่นั่น ศาลท่านก็อ่านสักพักนึง ท่านก็หันมาบอกเราว่าเป็นหนี้ก็ต้องจ่ายนะ เราก็บอก จ่ายค่ะท่าน แต่....ศาลท่านไปถามทนายฝ่ายโจทก์ว่า นี่มันบวกดอกเบี้ยในอัตราเกินจริงหรือป่าว (เราใจชื้นมาก ฟังอย่างเดียว ตอนนั้นรู้สึกมีความหวังเล็ก ๆ) เหมือนทนายโจทก์พยายามหาเอกสารเพื่อมายืนยันยอดอะไรสักอย่าง สุดท้าย ศาลท่านตัดยอดนี้ออก ตัดนี้ออก อันนี้คิดดอกเบี้ยแค่นี้พอ สรุปท่านตัดจบที่ 147,000 ดอกเบี้ย 10 % ชำระภายใน 36 งวด ไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ค่าทนายเป็นพับ (หมายถึงเราไม่ต้องจ่าย) เรานี่ดีใจมาก แต่ในใจเราคำนวนแล้วนะว่าเราต้องจ่ายราว ๆ เดือนละ 4,000 บาท เราจะไหวไหมนี่ แต่ก็สุดทางแล้วค่ะ ดีกว่า ได้แค่ 24 งวด เหมือนครั้งแรก ก็สรุปได้ตามนั้น ได้เอกสารมา 1 ใบ เป็นคำพิพากษาเก็บไว้ แล้วเราก็กลับบ้าน เป็นอันจบหนี้ในระบบตามระเบียบ
สุดท้ายที่เรามาเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ไม่ได้มุ่งไปที่จะหาประโยชน์ ประหยัดหนี้ เอาแต่ตัวเอง แต่เราล้มแล้วอ่ะ เราไปต่อไม่ได้ เราทำใจและศึกษาอยู่นานกว่าจะตัดสินใจด้วยวิธีนี้ มีครูที่ดีคือในพันธ์ทิพนี่แหละค่ะ ทำให้เราสามารถผ่านวิกฤติ ซึ่งมันเป็นความผิดพลาดที่เราทำตัวเอง เราก็อยากจะบอกว่า ที่เราเป็นหนี้บัตรมากขนาดนี้ เราเอามาดูแลครอบครัว แต่เมื่อเราผ่านมาได้แล้ว เราจะได้มีพลังใช้ชีวิตต่อไป ไม่มีใครอยากเป็นหนี้หรอกค่ะ แต่เป็นแล้วก็ต้องลุกขึ้นและแก้ไขมัน เราวางแผนและจัดการมันไม่ดี เลยล้มไม่เป็นท่าแบบนี้ แต่จะไปโพนทะนา ลงรายละเอียด หาความเห็นใจจากใครได้ ในเมื่อสุดท้ายก็เป็นหนี้อ่ะ เราโคตรเข้าใจเลยบางคนเค้าเลี้ยงทั้งครอบครัว ก็แตกต่างปัญหากันไป เราเองเอาเงินมาหมุน ค่ากิน ค่าอยู่ ส่งน้องเรียน รักษาบุพการีที่เรารัก โหค่าใช้จ่ายมากมายก่ายกอง ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นไปได้เหมือนเรานะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ^^
ปล : มียูสเข้ามาสอบถามว่าเรานำเงินก้อนมาจากไหน ถ้ามีเงินก้อนขนาดที่ปิดหนี้ได้ ทำไมต้องรอแฮร์คัท
ขอตอบว่า เรานำเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกมาค่ะ คืออันนี้เราต้องบอกว่า HR. ที่เราทำงานน่ารักมาก หารือได้ทุกเรื่อง ยินดีที่จะช่วย เค้าเสนอให้เราเอาเงินส่วนนี้ออกมา แต่ก็บอกข้อดีคือเราจะมีเงินก้อนนึงมาใช้หนี้ แต่อาจไม่ครอบคลุมทั้งหมดค่ะ มันไม่ได้มากขนาดนั้น ข้อเสียคือเราจะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลียงชีพได้อีก สำหรับการทำงานที่นี่ คือออกได้ครั้งเดียว เราก็จะไม่มีเงินเก็บ ซึ่งเรายอมรับทุกผลเสีย ขอให้การใช้หนี้ครั้งนี้จบลงเรายินดีค่ะ^^
มาแชร์เรื่องราวของคนมี "หนี้" 500,000 บาท ตัดสินใจแฮร์คัท
วันนี้จะมาเล่าเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งมี "หนี้" ในระบบประมาณ 500,000 บาท
อายุ 30 กว่าค่ะ แต่ล้มเหลวในเรื่องวางแผนทางการเงิน เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลหลายบัตรหลายสถาบัน ดังนี้
1.บัตรเครดิต BBL 18,000 บาท
2.บัตรเครดิต SCB 30,000 บาท
3.อีซี่บาย(ยูเมะพลัส) กดเงินสด 68,300 บาท
4.สินเชื่อ CIMB 70,000 บาท
5.สินเชื่อ TMB 156,000 บาท
6.บัตรเครดิต KTC 70,000 บาท
7.บัตรกดเงินสด KTC 70,000 บาท
เรามาถึงทางตันค่ะ จ่ายไม่ไหว จ่ายขั้นต่ำมาตลอด สุดท้ายตัดสินใจจบทุกอย่างด้วยตัวเอง หยุดจ่ายทุกอย่าง เริ่มทุกบัตรตั้งแต่ ต้นปี เดือนมกราคมค่ะ และเก็บเงินก้อนไว้ให้มากที่สุด
ของเราทวงหนักมากค่ะ แบบเอาให้ขาดใจตายไปข้าง พูดจิก กัด แต่ก็ไม่มีคำหยาบคาย แต่คำนางแต่ละคำนี่ สุดยอดจี้ไปถึงหัวใจ โทรตั้งแต่มือถือส่วนตัว ลามไปยันเบอร์โต๊ะทำงาน ลามไป Reception แล้วสุดท้ายนางก็โทรเข้าหาหัวหน้า HR. สำเร็จ (นางเก่งไหมล่ะ นางมีความพยายามมาก555)
แต่เราแก้ไขโดย
ข้อแรก ตั้งสติ ยอมรับความจริง เข้มแข็ง แรกๆ ทำใจไม่ได้ค่ะยอมรับเครียดจนนอนไม่หลับ 3 วัน ป่วยบ่อย นางโทรแบบ 3 เดือนแรกที่หยุดจ่าย กระหน่ำมาก วันละ 10 สาย หรือมากกว่านั้น เสา-ทิตย์ก็โทร โทรหาเราไม่ติด นางก็โทรหาบุคคลอ้างอิงที่เราเคยให้เบอร์ไว้ตอนสมัคร จนที่บ้านยอมเปลี่ยนเบอร์ 555
ข้อสอง ต้องบอกทุกคนที่เกี่ยวข้องให้รับรู้ อันนี้ต้องบอกก่อนว่า ถ้าตั้งใจจะหยุดจ่ายแล้ว และคิดดีแล้ว ไม่เครียดกับการติดบูโร ไม่อาย กล้าที่จะแก้ไข ก็บอกทุกคนรอบข้างได้เลย คนที่รักเราเค้าจะต้องเข้าใจเราค่ะ ตอนแรกบอกเลยว่ากว่าจะมาจุดที่ยอมรับการเป็นหนี้ที่ไม่มีทางออกแบบนี้ได้ มันไม่ง่าย เราผ่านมาทั้งเครียด กังวล นอนไม่หลับ ได้โรคแพนิคแถมมาอีก สมาธิกระจุยกระจาย เมื่อมันตัน เอาบัตรนี้ปิดบัตรนั้น คือหมุนจนตัน ไม่ไหวจะหมุนต่อเป็นแบบนี้ มากว่า 3 ปี เราก็ต้องตัด ยอมโดยการติดบูโร ซึ่งจะทำให้มันหมดหนี้ เราหาอ่านจากพันทิพนี่หล่ะ ครูที่ดีสำหรับเราเลย บอกแค่ครอบครัวไม่ได้ ต้องบอกแฟน บอกหัวหน้างาน บอกหัวหน้า HR เราโชคดีเพื่อนร่วมงานทุกคนในฝ่ายเข้าใจ หัวหน้าน่ารักมาก บอกว่าเรื่องหนี้สินมันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าไม่มีผลต่องานเค้าก็จะไม่ยุ่ง แล้วก็เดินไปสารภาพพูดความจริงกับ HR. แล้วก็โชคดีมาก ที่ HR.เค้าให้กำลังใจมาว่า ไม่ใช่เราคนเดียวในบริษัทที่เป็นแบบนี้ อย่ากังวล เค้าเห็นใจด้วยซ้ำที่เราพยายามจะแก้ไข ไม่ใช่หนี รับความจริงให้ได้
ข้อสาม อันนี้ วิธีของเราคือ เราหยุดจ่ายทุกใบ แล้วเอาเงินที่จะจ่ายขั้นต่ำนั้น เก็บไว้เพื่อรวมก้อนให้มากที่สุด เราเคลียร์ได้ 2 บัตร คือ BBl และ SCB ส่วนอีก 5 บัตร เราหยุดมันพร้อมกันเลย เริ่ม มกราคม 2561 มาดูกันค่ะว่า 5 บัตรนี้เรามีวิธีจัดการกับมันยังไง
1.อีซี่บายหรือยูเมะพลัส ยอดรวม 68,300 เป็นตัวแสบสุด ยอดน้อยสุดใน 5 บัตร แต่นางจิกแบบสุดๆ ถ้ายอดไม่ถึงแสนส่วนใหญ่จะไม่ฟ้อง อันนี้เราคิดเองนะคะ ให้นางโทรไป 3 เดือนแรกเราไม่รับ พอเข้าเดือนที่ 4 เราเริ่มรับสาย และพูดไปตามตรงเลย เราเป็นหนี้อยู่ เท่านี้ แต่พอดีเราหาให้ได้ แค่40,000 ถ้าพี่ลดให้ วันนี้40,000 หนูจ่ายทันที นางไม่ยอมค่ะ ดึงกันเกือบ 3 เดือน เปลี่ยนสำนักทวงเป็นสิบคนได้ จนสุดท้ายเค้ายอมปิดที่ 37,000 ประหยัดไป 31,300 บาท วันที่ 17/07/61 โล่งค่ะ คุ้มแก่การรอ ...
2.สินเชื่อ CIMB 70,000 บาท ขยันไม่แพ้กัน เรารับทุกสายถ้ารับได้ ยื้อกันไปมา สุดท้ายปิดจบที่ 51,000 บาท ประหยัดไป 18,000 บาท วันที่ 5/09/61 กว่าจะจบประสาทจะกินค่ะ
3.สินเชื่อ TMB 156,000 บาท อันนี้บอกเลยหินมาก ขอยาก ใจแข็ง เราพยายามขอความเห็นใจ ไม่อยากให้ถึงขั้นขึ้นศาล ยื้อมาร่วม 11 เดือน รับสายทุกครั้ง ส่วนมากทางเค้าจะมีเทคนิคให้เราจ่ายร้อยสองร้อย พันสองพันเข้าระบบตัดยอดไปบ้าง เราไม่จ่ายค่ะ รอจ่ายทีเดียว ปิดจบที่ 110,000 บาท ประหยัดไป 46,000 บาท วันที่ 1/11/61
4. และ 5. ตัวนี้คือหนักสุด ที่หนักเพราะเงินเราหมดค่ะ ไม่มีเงินก็เสียงดังไม่ได้ เครียดสุด KTC รวม 2 บัตร 140,000 ยังไม่รวมดอกเบี้ย และค่าปรับ ค่าทวงถามนี่นั่น อันนี้ปวดหัวสุด และบอกเลยฟ้องเร็วมาก 55555 บัตรอื่นยื้อได้ คุยได้บ้าง ของกรุงไทย KTC ใจแข็งไม่มีส่วนลด ยื้อมาได้ 5 เดือน ไม่จบ ไปจบที่ศาลค่ะ
ได้หมายศาลมาแขวนที่บ้าน (ตามที่อยู่ในทะเบียนบ้านที่มีชื่อเรา) เอาหมายมาอ่านมือสั่น น้ำตาไหล 5555 สมน้ำหน้าตัวเอง สะใจ ฮึบน้ำตาไว้ รอเวลาไปตามศาลนัด ห้ามสาย ไปก่อนเวลายิ่งดี
เมื่อถึงวันขึ้นศาลครั้งแรกกลัวใจจะขาด ฉี่จะราด ไปคนเดียวจะต้องผ่านไปให้ได้ เราก่อเอง เราต้องแก้เอง พ่อแม่จะไปด้วย ไม่ให้ไป เราจะไปด้วยตัวเองนี่แหละ ศึกษามาแล้วจาก พี่ ๆ ในพันธ์ทิพย์ พอไปถึงก็รีบไปที่กระดานหารายชื่อของตัวเอง แต่ไม่ยากเลย เพราะว่าคนเยอะมาก วันนี้เป็นเหมือนวันมหกรรมการไกล่เกลี่ยลูกหนี้ของ KTC หรือรวมๆกันนี่แหละค่ะ หลากหลาย แยกย้ายตามห้อง โดยการจับบัตรคิวใครมาก่อนหลังตามคิว พอถึงคิวเราก็ไปเจรจาเป็นโต๊ะธรรมดามีพนักงานของสินเชื่อนั้นๆ มาทำการเจรจาไกลเกลี่ย เริ่มที่ให้จ่ายจบในก้อนเดียวที่ยอดเบ็ดเสร็จ 159,000 บาท โดยประมาณ เราตีเป็นเลขกลม ๆ นะคะ เพราะรวมดอกเบี้ย รวมนี่นั่น จะเป็นลม ก้อนเดียวไม่สามารถหาจ่ายได้ สรุปไปมา เค้าให้ผ่อนที่ 24 เดือน ตกเดือนละ หกพันหก โห.....เราไม่ไหวอ่ะ ยอดจ่ายมากกว่าตอนที่ยังไม่โดนฟ้องอีก น้ำตาจะไหล นั่งกันอยู่นาน ตกลงกันไม่ได้ เราขอเลื่อนไป 30 วัน ให้ศาลท่านนัดมาเจรจาอีกครั้งนึงดีกว่า ยืดไปได้อีก เผื่อเรากลับไปหาเงินได้จะได้ต่อรองขอปิดยอดไป ถ้าหาไม่ได้ก็มาศาลอีกครั้งตามนัด เพราะยังไงข้อเสนอที่เค้าให้มา เราทำไม่ได้ค่ะ เกิดใจร้อนทำยอมไปแล้วอนาคตทำไม่ได้โดนบังคับคดีแน่ ๆ .......
ระหว่างนั้นมีเวลา 30 วัน เราพยายามหาเงินเพื่อให้พอกับยอดที่ต้องชำระ โดยขอส่วนลด ขอแบ่งจ่าย สามงวด ซึ่งโดนปฏิเสธทั้งสิ้น OMG!!!!! ครั้งนี้เรายอมแพ้ เค้าแบบใจหินมาก เลยตัดสินใจไปตามศาลนัดอีกครั้ง..
หลังจากนั้น...ก็มาถึงวันที่ศาลนัดครั้งที่สอง ครั้งนี้เราไปเช็คที่กระดานเหมือนเดิม เพื่อดูห้องเลขที่ บัลลังก์ ก็ไปตามนั้น ของเราอยู่ชั้น 3 ก็ไปตรวจดูรายชื่อที่หน้าห้อง ก็เข้าไปนั่ง พอไปถึงพบทนายของฝ่ายโจทก์ ก็ทำการเจรจาอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ส่วนลด ไม่ให้แบ่งจ่าย แต่อย่างใด เราเลยพอและ สุดและ รอผู้พิพากษาท่านขึ้นมาบังลังก์ก็ประมาณ 10 โมง เราใจเต้นมาก และเราคิวแรกเลยค่ะ 55555 เราท่องคำปฏิญาณตน และทนายโจทก์ก็ทำการแจ้งรายละเอียดนี่นั่น ศาลท่านก็อ่านสักพักนึง ท่านก็หันมาบอกเราว่าเป็นหนี้ก็ต้องจ่ายนะ เราก็บอก จ่ายค่ะท่าน แต่....ศาลท่านไปถามทนายฝ่ายโจทก์ว่า นี่มันบวกดอกเบี้ยในอัตราเกินจริงหรือป่าว (เราใจชื้นมาก ฟังอย่างเดียว ตอนนั้นรู้สึกมีความหวังเล็ก ๆ) เหมือนทนายโจทก์พยายามหาเอกสารเพื่อมายืนยันยอดอะไรสักอย่าง สุดท้าย ศาลท่านตัดยอดนี้ออก ตัดนี้ออก อันนี้คิดดอกเบี้ยแค่นี้พอ สรุปท่านตัดจบที่ 147,000 ดอกเบี้ย 10 % ชำระภายใน 36 งวด ไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ค่าทนายเป็นพับ (หมายถึงเราไม่ต้องจ่าย) เรานี่ดีใจมาก แต่ในใจเราคำนวนแล้วนะว่าเราต้องจ่ายราว ๆ เดือนละ 4,000 บาท เราจะไหวไหมนี่ แต่ก็สุดทางแล้วค่ะ ดีกว่า ได้แค่ 24 งวด เหมือนครั้งแรก ก็สรุปได้ตามนั้น ได้เอกสารมา 1 ใบ เป็นคำพิพากษาเก็บไว้ แล้วเราก็กลับบ้าน เป็นอันจบหนี้ในระบบตามระเบียบ
สุดท้ายที่เรามาเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ไม่ได้มุ่งไปที่จะหาประโยชน์ ประหยัดหนี้ เอาแต่ตัวเอง แต่เราล้มแล้วอ่ะ เราไปต่อไม่ได้ เราทำใจและศึกษาอยู่นานกว่าจะตัดสินใจด้วยวิธีนี้ มีครูที่ดีคือในพันธ์ทิพนี่แหละค่ะ ทำให้เราสามารถผ่านวิกฤติ ซึ่งมันเป็นความผิดพลาดที่เราทำตัวเอง เราก็อยากจะบอกว่า ที่เราเป็นหนี้บัตรมากขนาดนี้ เราเอามาดูแลครอบครัว แต่เมื่อเราผ่านมาได้แล้ว เราจะได้มีพลังใช้ชีวิตต่อไป ไม่มีใครอยากเป็นหนี้หรอกค่ะ แต่เป็นแล้วก็ต้องลุกขึ้นและแก้ไขมัน เราวางแผนและจัดการมันไม่ดี เลยล้มไม่เป็นท่าแบบนี้ แต่จะไปโพนทะนา ลงรายละเอียด หาความเห็นใจจากใครได้ ในเมื่อสุดท้ายก็เป็นหนี้อ่ะ เราโคตรเข้าใจเลยบางคนเค้าเลี้ยงทั้งครอบครัว ก็แตกต่างปัญหากันไป เราเองเอาเงินมาหมุน ค่ากิน ค่าอยู่ ส่งน้องเรียน รักษาบุพการีที่เรารัก โหค่าใช้จ่ายมากมายก่ายกอง ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นไปได้เหมือนเรานะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ^^
ปล : มียูสเข้ามาสอบถามว่าเรานำเงินก้อนมาจากไหน ถ้ามีเงินก้อนขนาดที่ปิดหนี้ได้ ทำไมต้องรอแฮร์คัท
ขอตอบว่า เรานำเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกมาค่ะ คืออันนี้เราต้องบอกว่า HR. ที่เราทำงานน่ารักมาก หารือได้ทุกเรื่อง ยินดีที่จะช่วย เค้าเสนอให้เราเอาเงินส่วนนี้ออกมา แต่ก็บอกข้อดีคือเราจะมีเงินก้อนนึงมาใช้หนี้ แต่อาจไม่ครอบคลุมทั้งหมดค่ะ มันไม่ได้มากขนาดนั้น ข้อเสียคือเราจะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลียงชีพได้อีก สำหรับการทำงานที่นี่ คือออกได้ครั้งเดียว เราก็จะไม่มีเงินเก็บ ซึ่งเรายอมรับทุกผลเสีย ขอให้การใช้หนี้ครั้งนี้จบลงเรายินดีค่ะ^^