การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลที่ไม่ปกติ 2020-21 ในเรื่องการเบียดลุ้นแชมป์นั้นสู้กันได้อย่างสนุก แต่ในช่วงบ็อกซิ่งเดย์ที่มีโปรแกรมหนักต้องเล่น 2 นัดภายใน 3 วัน อาการล้าของนักเตะนั้นได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน
.
.
.
โดยเฉพาะกับ “สิงห์บลูส์” เชลซี ที่กำลังผลงานย่ำแย่สุด ๆ จากเคยทำอันดับอยู่บนหัวตารางกลายเป็นหล่นไปอยู่อันดับ 9
.
.
.
ซึ่ง 5 เกมหลังสุดของ เชลซี ชนะได้แค่เกมเดียวเท่านั้น แถมล่าสุดยังบุกไปแพ้ เลสเตอร์ซิตี้ 0-2 ถือว่าเสียหายเป็นอย่างมาก เราไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับ เชลซี และเหตุผลอะไรที่ทำให้พวกเขาผลงานไม่ดีเลยในช่วงหลัง
.
.
.
การขาดหายไปของมิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกม
.
.
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลงานของ เชลซี นั้นย่ำแย่อันเนื่องมาจากเกมรุกที่ขาดตัวสร้างสรรค์เกม ซึ่งในอดีตนั้น ทัพสิงห์บลูส์ไม่เคยขาดนักเตะประเภทนี้ ไล่เรียงตั้ง โจ โคล,ฆวน มาต้า , เอเดน อาซาร์ หรือแม้กระทั้งตัวของ แฟรงค์ แลมพาร์ดเอง
.
.
แต่ฤดูกาลนี้การขาดหายไปของดาวเตะ โมร็อกโก ฮาคิม ซิเย็ค ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ถ้าเทียบผลงานในตอนที่มีดาวเตะชาวโมรอกโคและไม่มี นั้นต่างกันอย่างชัดเจน เพราะการโจมตีนั้นดูจะหลากหลายมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเจาะโซนเกมรับคู่แข่งที่รับแน่น ซีเย็ค มักจะมีวิธีการส่งบอลเข้าประตู หรือการเปลี่ยนบอลเร็ว ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เชลซีนั้นขาดหายไป
.
.
โดยกุนซือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ได้ออกมายอมรับถึงจุดนี้ว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลงานทีมนั้นออกมาไม่ดี
.
.
“มันไม่บังเอิญหรอกที่เราทำผลงานได้ไม่ดี แต่เราจะไปหวังพึ่ง ซีเย็ค เพียงคนเดียวไม่ได้ เขาเป็นนักเตะที่มีประสิทธิภาพสูงในแง่ของการสร้างสรรค์เกมรุกและการยิงประตู ในตอนนี้มีเขาในทีมเราเล่นกันได้อย่างไหลลื่น แน่นอนว่าผมต้องการให้เขากลับมาและน่าจะเร็ว ๆ นี้” แลมพาร์ด กล่าว
.
.
ความกดดันจากการลงทุน
.
.
ในช่วงแรกที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เข้ามาคุมเชลซี เชื่อว่าแฟนบอลหลาย ๆ คนไม่ได้คาดหวังอะไรกับเขามากมาย เพราะในตอนนั้นไม่สามารถซื้อตัวผู้เล่นได้เนื่องจากถูกลงโทษแบนห้ามซื้อนักเตะ เขาสามารถพาทีมที่มีแต่บรรดาดาวรุ่งจบอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถือว่าเป็นผลงานที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง
.
.
แต่ฤดูกาลนี้เชลซีสามารถซื้อผู้เล่นได้เหมือนกับทีมอื่น ๆ แน่นอนว่า “เสี่ยหมี” โรมัน อับราโมวิช ไม่รีรอพร้อมทุ่มสวนกระแสโควิด-19 ช็อปผู้เล่นอย่าง ติโม แวร์เนอร์, ไค ฮาแวร์กซ์, ฮาคิม ซีเย็ค, เบน ชิลเวลล์ และผู้เล่นคนอื่น ๆ อีก เบ็ดเสร็จแล้วใช้เงินไปถึง 222 ล้านปอนด์ มากกว่าทุกทีมบนโลกในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ที่ผ่านมา
.
.
แน่นอน คนที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบจากการลงทุนในครั้งนี้ก็คือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ต้องดึกศักยภาพลูกทีมออกมาให้สมกับเม็ดเงินที่ “เสี่ยหมี” ได้ลงทุนไป และนี่คือปีแรกที่เขาต้องทำทีมให้ใกล้เคียงกับการลุ้นแชมป์หรืออย่างน้อย ๆ ต้องติดท็อปโฟร์ เป็นโจทย์บังคับที่เขาต้องทำให้ได้
.
.
ผู้เล่นแนวรุกเล่นเหมือนกันเกินไป
.
.
บรรดาแนวรุกของ เชลซี นั้นดูมีความรวดเร็วร้อนแรง ด้วยผู้เล่นดาวรุ่งที่อยู่ในวัยกำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต แต่รูปแบบการเล่นของพวกเขานั้นคล้ายคลึงกันมากเกินไป โดยเฉพาะตัวริมเส้นสองฝั่ง ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน พูลิซิซ, คั่ลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย, เมสัน เม้าท์ รวมไปถึง ติโม แวร์เนอร์ ในยามที่ต้องรับบทบาทเป็นตัวริมเส้น
.
.
สไตล์การเล่นนั้นเป็นปีกสมัยใหม่หมด ลากเลื้อยตัดเข้าในเพื่อทำประตูน้อยครั้งที่จะเห็นการพาบอลไปสุดริมเส้นเปิดยัดเข้ามาทันที ทำให้หน้าที่นี้ตกไปอยู่กับสองฟูลแบ็กซ้าย-ขวาอย่าง เบน ชิลเวลล์ และรีซ เจมส์ ซะเป็นส่วนใหญ่
.
.
ส่วน ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่แบกความกดดันกับค่าตัว 72 ล้านปอนด์ ถือว่าแพงที่สุดในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ปี 2020 ก็ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสไตล์ฟุตบอลอังกฤษ หลายจังหวะยังดูช้าเกินไป อ้อนแอ้นไม่แข็งแรง
.
.
แดนกลางไร้ทีเด็ด
.
.
ในแดนกลางของ เชลซี ถือว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน แม้ว่าในช่วงหลังจะจับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มายืนในตำแหน่งที่เคยสร้างชื่อ แต่มิดฟิลด์ตัวรุกที่รับบทบาทโดย เมสัน เม้าท์ นั้นไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เลย โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นคือความขยันในการเล่นเกมรับ แต่เกมรุกพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ประสิทธิภายในการเข้าทำของเชลซีนั้นลดลงไป
.
.
นี่คือก็เหตุผลว่าทำไม เชลซี ถึงผลงานไม่ดีในเวลานี้ ทั้งหมดเป็นเพียงมุมมองและการวิเคราะห์เท่านั้น เรื่องการลุ้นแชมป์นั้นอีกยาวไกลทุกอย่างเป็นไปได้หมด
.
.
แต่ทว่าผลงานในสนามของพวกเขานั้นน่าผิดหวังจริง ๆ ต้องรอดูว่า กุนซือคนใหม่จะแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ในตอนนี้อย่างไร?
.
.
#goalstorm #โกลสตรอม #gs #Lampard #Chelsea #Timeout
ที่มา
⁉️ เกิดอะไรขึ้น ? กับ“สิงห์บลูส์” ทำไมต้องปลดแลมพาร์ด
การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลที่ไม่ปกติ 2020-21 ในเรื่องการเบียดลุ้นแชมป์นั้นสู้กันได้อย่างสนุก แต่ในช่วงบ็อกซิ่งเดย์ที่มีโปรแกรมหนักต้องเล่น 2 นัดภายใน 3 วัน อาการล้าของนักเตะนั้นได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน
.
.
.
โดยเฉพาะกับ “สิงห์บลูส์” เชลซี ที่กำลังผลงานย่ำแย่สุด ๆ จากเคยทำอันดับอยู่บนหัวตารางกลายเป็นหล่นไปอยู่อันดับ 9
.
.
.
ซึ่ง 5 เกมหลังสุดของ เชลซี ชนะได้แค่เกมเดียวเท่านั้น แถมล่าสุดยังบุกไปแพ้ เลสเตอร์ซิตี้ 0-2 ถือว่าเสียหายเป็นอย่างมาก เราไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับ เชลซี และเหตุผลอะไรที่ทำให้พวกเขาผลงานไม่ดีเลยในช่วงหลัง
.
.
.
การขาดหายไปของมิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกม
.
.
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลงานของ เชลซี นั้นย่ำแย่อันเนื่องมาจากเกมรุกที่ขาดตัวสร้างสรรค์เกม ซึ่งในอดีตนั้น ทัพสิงห์บลูส์ไม่เคยขาดนักเตะประเภทนี้ ไล่เรียงตั้ง โจ โคล,ฆวน มาต้า , เอเดน อาซาร์ หรือแม้กระทั้งตัวของ แฟรงค์ แลมพาร์ดเอง
.
.
แต่ฤดูกาลนี้การขาดหายไปของดาวเตะ โมร็อกโก ฮาคิม ซิเย็ค ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ถ้าเทียบผลงานในตอนที่มีดาวเตะชาวโมรอกโคและไม่มี นั้นต่างกันอย่างชัดเจน เพราะการโจมตีนั้นดูจะหลากหลายมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเจาะโซนเกมรับคู่แข่งที่รับแน่น ซีเย็ค มักจะมีวิธีการส่งบอลเข้าประตู หรือการเปลี่ยนบอลเร็ว ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เชลซีนั้นขาดหายไป
.
.
โดยกุนซือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ได้ออกมายอมรับถึงจุดนี้ว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลงานทีมนั้นออกมาไม่ดี
.
.
“มันไม่บังเอิญหรอกที่เราทำผลงานได้ไม่ดี แต่เราจะไปหวังพึ่ง ซีเย็ค เพียงคนเดียวไม่ได้ เขาเป็นนักเตะที่มีประสิทธิภาพสูงในแง่ของการสร้างสรรค์เกมรุกและการยิงประตู ในตอนนี้มีเขาในทีมเราเล่นกันได้อย่างไหลลื่น แน่นอนว่าผมต้องการให้เขากลับมาและน่าจะเร็ว ๆ นี้” แลมพาร์ด กล่าว
.
.
ความกดดันจากการลงทุน
.
.
ในช่วงแรกที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เข้ามาคุมเชลซี เชื่อว่าแฟนบอลหลาย ๆ คนไม่ได้คาดหวังอะไรกับเขามากมาย เพราะในตอนนั้นไม่สามารถซื้อตัวผู้เล่นได้เนื่องจากถูกลงโทษแบนห้ามซื้อนักเตะ เขาสามารถพาทีมที่มีแต่บรรดาดาวรุ่งจบอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถือว่าเป็นผลงานที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง
.
.
แต่ฤดูกาลนี้เชลซีสามารถซื้อผู้เล่นได้เหมือนกับทีมอื่น ๆ แน่นอนว่า “เสี่ยหมี” โรมัน อับราโมวิช ไม่รีรอพร้อมทุ่มสวนกระแสโควิด-19 ช็อปผู้เล่นอย่าง ติโม แวร์เนอร์, ไค ฮาแวร์กซ์, ฮาคิม ซีเย็ค, เบน ชิลเวลล์ และผู้เล่นคนอื่น ๆ อีก เบ็ดเสร็จแล้วใช้เงินไปถึง 222 ล้านปอนด์ มากกว่าทุกทีมบนโลกในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ที่ผ่านมา
.
.
แน่นอน คนที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบจากการลงทุนในครั้งนี้ก็คือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ต้องดึกศักยภาพลูกทีมออกมาให้สมกับเม็ดเงินที่ “เสี่ยหมี” ได้ลงทุนไป และนี่คือปีแรกที่เขาต้องทำทีมให้ใกล้เคียงกับการลุ้นแชมป์หรืออย่างน้อย ๆ ต้องติดท็อปโฟร์ เป็นโจทย์บังคับที่เขาต้องทำให้ได้
.
.
ผู้เล่นแนวรุกเล่นเหมือนกันเกินไป
.
.
บรรดาแนวรุกของ เชลซี นั้นดูมีความรวดเร็วร้อนแรง ด้วยผู้เล่นดาวรุ่งที่อยู่ในวัยกำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต แต่รูปแบบการเล่นของพวกเขานั้นคล้ายคลึงกันมากเกินไป โดยเฉพาะตัวริมเส้นสองฝั่ง ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน พูลิซิซ, คั่ลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย, เมสัน เม้าท์ รวมไปถึง ติโม แวร์เนอร์ ในยามที่ต้องรับบทบาทเป็นตัวริมเส้น
.
.
สไตล์การเล่นนั้นเป็นปีกสมัยใหม่หมด ลากเลื้อยตัดเข้าในเพื่อทำประตูน้อยครั้งที่จะเห็นการพาบอลไปสุดริมเส้นเปิดยัดเข้ามาทันที ทำให้หน้าที่นี้ตกไปอยู่กับสองฟูลแบ็กซ้าย-ขวาอย่าง เบน ชิลเวลล์ และรีซ เจมส์ ซะเป็นส่วนใหญ่
.
.
ส่วน ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่แบกความกดดันกับค่าตัว 72 ล้านปอนด์ ถือว่าแพงที่สุดในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ปี 2020 ก็ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสไตล์ฟุตบอลอังกฤษ หลายจังหวะยังดูช้าเกินไป อ้อนแอ้นไม่แข็งแรง
.
.
แดนกลางไร้ทีเด็ด
.
.
ในแดนกลางของ เชลซี ถือว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน แม้ว่าในช่วงหลังจะจับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มายืนในตำแหน่งที่เคยสร้างชื่อ แต่มิดฟิลด์ตัวรุกที่รับบทบาทโดย เมสัน เม้าท์ นั้นไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เลย โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นคือความขยันในการเล่นเกมรับ แต่เกมรุกพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ประสิทธิภายในการเข้าทำของเชลซีนั้นลดลงไป
.
.
นี่คือก็เหตุผลว่าทำไม เชลซี ถึงผลงานไม่ดีในเวลานี้ ทั้งหมดเป็นเพียงมุมมองและการวิเคราะห์เท่านั้น เรื่องการลุ้นแชมป์นั้นอีกยาวไกลทุกอย่างเป็นไปได้หมด
.
.
แต่ทว่าผลงานในสนามของพวกเขานั้นน่าผิดหวังจริง ๆ ต้องรอดูว่า กุนซือคนใหม่จะแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ในตอนนี้อย่างไร?
.
.
#goalstorm #โกลสตรอม #gs #Lampard #Chelsea #Timeout ที่มา