[เล่าประสบการณ์] มีเงิน 8 แสนตอนอายุ 23 ฉบับหาเงินเอง

สวัสดีครับ เชื่อว่าการมีเงินล้านคงเป็นความฝันของใครหลายๆ คน แม้ตอนนี้ผมจะยังมีไม่ถึงแต่ตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้ต้องถึงให้ได้ วันนี้ผมจึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การเงินของชีวิตคนๆ นึงที่ครอบครัวไม่รวยและมีปัญหาการเงินช่วงนึงก็ว่าได้ แต่ทำอย่างไรถึงมีเงินเก็บ 8 แสนตอนอายุ 23 ?

ชีวิตการเงินผมเริ่มตอน ม.4 ครับก่อนหน้านั้นไม่มีเงินเก็บเลย เพราะพ่อแม่ให้เงินแค่พอสำหรับกินข้าวที่โรงเรียน ไม่เคยให้เงินมากกว่านั้น ถามว่าทำไมเป็นตอน ม.4? จริงๆ แล้วตอนนั้นเป็นเวลาที่ผมสอบติดโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งพร้อมกับได้ทุนการศึกษาทั้งค่าเล่าเรียนและค่าอาหาร (ถ้าจำไม่ผิดได้เดือนละ 2,600 บาท) บวกกับที่บ้านให้เพิ่มอีกอาทิตย์ละ 500 บาท คือตกคร่าวๆ ได้เดือนละ 4,600 บาท ตอนนั้นผมกินใช้ประมาณวันละ 100 บาท ทั้งข้าวเช้า กลางวัน เย็น (ด้วยความที่อยู่โรงเรียนประจำค่าอาหารจึงค่อนข้างถูก) ทำให้ผมเริ่มมีเงินเก็บประมาณเดือนละ 1,600 บาท บวกกับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้เงินก้อนตอนนั้น คือไปแข่งขันเกี่ยวกับคณิตศาสตร์อะไรซักอย่างแล้วผมได้เงินก้อนมา 30,000 บาท ระหว่างช่วง ม.ปลายผมก็เป็นตัวแทนไปแข่งได้เงินรางวัลมาเรื่อยๆ ผมไม่แน่ใจว่ารวมๆ แล้วเท่าไหร่ เพราะก็ไม่เคยนับจริงจังเลย แต่ทุกครั้งที่ผมได้เงินมาผมจะเก็บไว้ในธนาคาร พอเก็บเงินได้ระดับนึงก็เริ่มมีคำถามกับตัวเองว่าควรจะเอาเงินไปทำอะไรดี?

จึงได้ลองค้นคว้าทั้ง Google ทั้ง Youtube ทั้งเดินตามร้านหนังสือ แล้วไปสะดุดตาการลงทุนในหุ้น ตอนนั้นก็ยังลงทุนไม่เป็น ความรู้เป็น 0 เลย ครอบครัวก็มีลงทุนในหุ้นบ้างแต่ซื้อไปแบบไม่มีหลักการ พอลองถามครอบครัวว่าทำไมถึงซื้อหุ้นตัวนี้ก็ดูปันผล ตอนแรกผมก็ลองผิดลองถูกซื้อตามเค้าไป แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตอนหลังพึ่งมารู้ว่าเหตุผลสำคัญคือ "เราไม่รู้ว่าหุ้นตัวที่กำลังพูดถึงกันอยู่ควรจะมีราคาเท่าไหร่" ตอนนั้นจึงเลิกลงทุนในหุ้นไปพักนึ่งแล้วศึกษาการลงทุนหุ้นอย่างจริงจัง อ่านหนังสือเยอะมาก ดูคลิปใน Yotube ทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ (ไม่เคยลงเรียนแบบเสียเงินนะครับ ไม่ใช่ว่าคอร์สเสียเงินไม่ดี แต่ตอนนั้นไม่มีกำลังครับ) มีการลองผิดลองถูกไประหว่างทางด้วย ช่วงชีวิต ม.ปลาย ผมจึงถือว่าเป็นอะไรที่คุ้มมากๆ ช่วงเวลานึง บอกก่อนเลยว่าผมไม่ใช่เด็กเรียนนะครับ มีกิจกรรมอะไรผมทำหมด เป็นรองประธานนักเรียน เล่นกีฬาได้ทุกอย่าง ตรงนี้ต้องยกเครดิตให้ป๊าม๊าผม เพราะตอนเด็กๆ เค้าพาไปเรียนกีฬาที่สนามกีฬาแห่งชาติ ถ้าจำไม่ผิดชื่อโครงการกีฬาเพื่อลูกรัก แน่นอนว่า "ฟรี" ครับ 5555

พอมาถึงมหาลัยสอบคณะวิศวะ ของมหาลัยย่านสยามแห่งนึงครับ ครอบครัวให้เงินเพิ่มเป็น 800 บาทต่อสัปดาห์ ประกอบกับผมมีรายได้เพิ่มคือ "สอนพิเศษ" ถือว่าเป็น Active income ตัวแรกของผม ปัจจุบันก็ยังรับสอนอยู่ เรียกว่าเสาร์-อาทิตย์ต้องมีสอนอย่างน้อย 1 คน ต่อวัน ตอนนั้นคิดชั่วโมงละ 300 บาทก็ได้รายได้ประมาณ 5,000-10,000 ต่อเดือน แน่นอนว่ารายจ่ายผมไม่ได้เยอะมาก เพราะติดนิสัยประหยัดอยู่แล้วทำให้มีเงินเหลือเก็บตลอดและก็ยังลงทุนมาตลอดด้วย มีช่วงนึงที่กลุ่มเพื่อนๆ ผมไปต่างประเทศกัน (ครอบครัวเพื่อนผมค่อนข้างมีฐานะกัน) พูดตรงๆว่าผมไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศมาก่อนเลยถามว่าประมาณเท่าไหร่ พอเพื่อนบอกว่าประมาณ 50k หันมาดูเงินเก็บตัวเองถามว่าพอมั้ยมันก็พอ แต่ตอนนั้นผมคิดว่าเราอดเปรี้ยวไว้กินหวาน รอเก็บเงินให้ได้เยอะๆก่อนแล้วค่อยไปดีกว่า มาถึงวันนี้ผมคิดว่าตัดสินใจไม่ผิดเลย (แต่ถ้าไปต่างจังหวัดที่ไม่แพงมากผมไปหมดนะครับ) ตอนช่วงมหาลัยเริ่มรู้สึกว่าตัวเองลงทุนมาถูกทางแล้ว สามารถประเมินมูลค่าหุ้นเป็น มองความสามารถของกิจการออกว่าธุรกิจแต่ละประเภทควรจะมีมูลค่าประมาณไหน ผมจำได้แม่นเลยว่าหลังจากเรียนจบมาผมมี Wealth หรือทรัพย์สินที่สร้างมาเองประมาณ 3 แสนบาท ผมไม่รู้ว่ามันเยอะหรือน้อยนะ เพราะผมไม่เทียบกับคนอื่น แต่ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเองมากที่ถึงแม้ฐานะครอบครัวจะไม่ได้รวย ผมก็สามารถหาเงินก้อนเอาไว้ตั้งตัวได้ตอนเรียนจบ (ถ้าเป็นไปได้หากผมมีลูกก็คงอยากจะมีเงินก้อนไว้ให้ลูกเป็น Jump start ให้ชีวิตของเขาเช่นกัน) ซึ่งแน่นอนว่ามันมาจากการทุ่มเทศึกษาทั้งอ่านหนังสือและดู Youtube เกี่ยวกับหุ้นเป็นกิจวัตรประจำวัน

เริ่มต้นงานแรก ต้องบอกก่อนว่าผมได้งานก่อนที่จะเรียนจบ ผมแพลนไว้เลยว่าผมเรียนจบเดือน 5 เดือน 6 ผมเริ่มทำงานเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการหารายได้ ตอนนั้นจบมาทำงานด้าน IT consult เงินเดือน 32k (ก่อนผ่านโปร หลังผ่านโปร 4 เดือนเพิ่มเป็น 35k) พร้อมกับสอนพิเศษที่ผมคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์มากขึ้นจึงคิดเรทการสอนสูงขึ้นตามไปด้วย ผมให้ครอบครัวเดือนละ 6,000 บาท และนำเงินไปลงทุนอย่างน้อยเดือนละ 20,000 บาท ส่วนที่เหลือผมใช้จ่ายให้ตัวเองเพราะผมถือว่าเก็บเงินเดือนละ 20,000 บาทค่อนข้างโอเคสำหรับผมแล้ว เงินที่เหลือผมอยากใช้ให้ตัวเองได้มีความสุขบ้าง ผมเริ่มได้ไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน ได้กินอะไรที่อยากกิน มีกำลังซื้อของที่ตัวเองอยากได้มากขึ้น (ลืมบอกไปว่าตั้งแต่ตอน ม.ปลาย-มหาลัย อะไรที่ผมอยากได้ต้องซื้อเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โน๊ตบุ๊ค ค่าโทรศัพท์)

ระหว่างทางที่ผมทำงานผมมองว่าเงินเรามีเยอะระดับนึงแล้วควรจะบริหารอย่างไรให้มีความมั่นคงเพิ่มขึ้นมา ไม่ได้เน้นว่าจะให้มันโตขึ้นจากหุ้นอย่างเดียว จึงลองไปศึกษาเรื่อง Money management / Risk management ของการเงิน ทำให้ได้รู้ว่าคนที่มีความมั่งคั่งมากๆ เค้ามองเรื่อง "ความเสี่ยง" เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผมเคยฟังใครซักคนพูดใน Youtube ว่า "ผมไม่รีบรวย เพราะผมรู้ว่าผมรวยแน่" ผมรู้สึกว่าประโยคนี้เด็ดมาก ความหมายที่เขาต้องการจะสื่อคือเวลาลงทุน เราไม่ควรที่จะลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ให้กระจายไปในหลายๆสินทรัพย์ ยกตัวอย่างเหมือนทีมฟุตบอลยังต้องมีกองหน้า กองกลาง กองหลัง และผู้รักษาประตูเลย แต่สิ่งที่ผมมีอยู่ตอนนั้นมีแค่หุ้น (หรือจะเปรียบเทียบก็คือมีแค่กองหน้าอย่างเดียว) ด้วยความที่ผมมองแล้วว่ามันไม่เหมาะสมแน่ๆ ด้วยประการทั้งปวง ผมเลยเริ่มศึกษา Product การเงินอื่นที่จะช่วยตอบโจทย์ผมในเรื่องของความเสี่ยงด้วย Product ที่ว่าคือประกันชีวิต แต่ก่อนตอนผมเด็กๆ ครอบครัวมักจะสอนว่าประกันคือ "ค่าใช้จ่าย" หรือ "ประกันมันไม่ดี" คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมเข้าใจว่าประกันมันไม่ดีจริงๆ โดยที่ตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันไม่ดียังไง พอลองศึกษาเพิ่มอย่างจริงจัง ผมสาบานเลยว่าผมพึ่งรู้ว่าประกันมีหลายประเภท... ไมว่าจะเป็นประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันสะสมทรัพย์ ประกันบำนาญ ผมถึงกับงงว่าทำไมหลายคนถึงบอกว่าประกันไม่ดี? ทั้งๆ ที่ศึกษา Feature ของมันแล้วมีประโยชน์มาก ยกตัวอย่าง ถ้าเราไปตรวจเจอโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงๆ แต่เราดันไม่มีประกันสุขภาพ เราก็ต้องเอาเงินที่เราลงทุนมาทั้งชีวิตไปจ่ายค่ารักษา ผมคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลและไม่คุ้มเสี่ยงเลย ทำไมเราไม่บริหารความเสี่ยงโดยการซื้อประกันสุขภาพแทนที่เราจะต้องเอาเงินลงทุนเราที่เราสั่งสมมานานมาจ่ายด้วย หลายคนอาจมีคำถามว่าแล้วประกันสังคมใช้ไม่ได้หรอ? ผมมองว่าประกันสังคมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐมอบให้ประชาชนทุกคน แต่ในเมื่อเป็น "สิทธิขั้นพื้นฐาน" แสดงว่าหากเป็นโรคที่ไม่ Emergency หรือร้ายแรงถึงชีวิต ณ ตอนนั้น คุณจะต้องรอคิวต่อจากผู้ป่วยคนอื่น ผมเคยฟังเคสนึงเป็นผู้ป่วยที่ไปตรวจเจอโรคมะเร็ง แต่ต้องรอการรักษาถึง 6 เดือนเพราะใช้สิทธิประกันสังคม ถ้าเป็นคนในครอบครัวหรือคนที่ผมรัก ผมคงไม่อยากให้เค้ารอแบบนั้น 

หลังจากผมทำงานที่แรกได้ 1 ปีเต็ม ผมก็ออกมาหางานใหม่ เพราะผมรู้สึกไม่อยากทำงานแนวนี้ไปจนแก่ แต่ผมได้เรียนรู้จากที่ทำงานแรกเยอะมาก ถึงแม้ว่าจะทำงานด้าน Consult แต่บริษัทที่ผมทำมีพนักงานน้อยมาก เรียกได้ว่าเข้าไปแทบจะเป็นหัวหน้าตัวเองเลย เราต้องวางแผนเองทั้งหมด คุยกับลูกค้าเอง (พี่หัวหน้าไปด้วยบางครั้ง) ได้ Connection เยอะมาก แค่รู้สึกว่าอยากทำงานที่มีรายได้ที่มากกว่านี้และเป็นประโยชน์กับคนอื่น ด้วยความที่ชอบเรื่องการเงินมาตั้งแต่เด็กจึงมองหางานที่เกี่ยวข้องกับการเงินด้วย 6 เดือนที่ผ่านมาผมจึงเริ่มทำงานกับบริษัทใหม่ที่เกี่ยวข้องการการเป็นที่ปรึกษาการเงินอิสระ หรือ Wealth advisor ซึ่งรายได้จะได้ตามค่า Commission แสดงว่ายิ่งผมช่วยคนอื่นให้มีการวางแผนการเงินที่ถูกต้องผมก็จะยิ่งได้ค่า Commission มากขึ้นตามไปด้วย ผมคิดว่าเป็น Win-Win situation ที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวมและกับตัวเอง แน่นอนว่าระหว่างทางก็ทำงานเก็บเงินลงทุนพร้อมกับบริหารความเสี่ยงไปด้วย รวมเวลาทำงานมาประมาณ 1 ปีครึ่งจากตอนที่ผมจบมาตอนนี้มีเงินเพิ่มจากทุกสินทรัพย์อีก 5 แสนรวมเป็น 8 แสนในปัจจุบัน 

สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ อยากให้ทุกคนเชื่อว่าตัวเองทำได้ ตัวผมเองก็เชื่อว่าผมทำได้ ผมต้องรวย (ถ้าตัวเองไม่เชื่อใครจะมาเชื่อถูกไหมครับ) ผมอยากแนะนำ Documentary นึงใน Netflix ชื่อ The secret แนะนำให้ทุกคนดูนะครับ

สุดท้ายหวังว่าคนที่ได้เข้ามาอ่านจะมีกำลังใจในการเก็บเงินและบริหารเงินของตัวเองมากขึ้นนะครับ อย่าลืมว่าต้องเชื่อก่อนว่าตัวคุณเองทำได้ แล้วผลลัพธ์จะตามมาเองครับ ยิ้ม 

สวัสดีครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่