สวัสดีค่ะ ตามหัวข้อเลย ครอบครัวแฟนเราจะซื้อบ้าน แต่ให้แฟนเราเป็นคนกู้ซื้อ เพราะพ่อแม่แฟนเครดิตไม่ดี ด้วยราคาบ้านที่ค่อนข้างสูง แฟนเรากู้ไม่ผ่าน เพราะมีภาระที่ต้องผ่อนรายเดือนให้พ่อแม่ เราเลยเสนอกู้ร่วม เพื่อที่จะให้ธุรกรรมผ่าน ต้องบอกก่อนว่าเราแค่ใช้ชื่อกู้ร่วมเฉยๆ ไม่ได้ผ่อนด้วย
ก่อนจะยื่นเรื่องกับธนาคาร แม่แฟนพูดกับเราดี จะให้เรามาอยู่บ้านด้วย ขอความเห็นเราตลอด เราก็รู้สึกว่าโอเค เราเตรียมเอกสารให้หมดทั้งของเรา ของครอบครัวแฟน ไปธนาคาร ทำนู่นนี่ให้หมด แต่พอกู้ผ่านเรียบร้อย ได้โฉนดมาเรียบร้อย อะไรๆก็เปลี่ยนไป (โฉนดเป็นชื่อเรากับแฟน) สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เราแทบไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลย เงินส่วนที่กู้เกินมาจากราคาบ้าน เรากับแฟนตั้งใจจะใช้ต่อเติมบ้านอยู่แล้ว แต่พอเริ่มเข้าสถานการณ์โควิด ด้วยความที่เรากับแฟนทำงานบริษัทเอกชน เลยทำให้อะไรๆไม่ค่อยแน่นอน มีโดนลดOTบ้าง เรากับแฟนก็ปรึกษากันแล้วว่า จะต่อเติมส่วนที่สำคัญจิงๆก่อน แล้วเงินส่วนที่เหลือจะเก็บไว้เป็นเงินสำรองก่อน เพราะไม่มีอะไรแน่นอน แต่แม่แฟน จะทำนู่น จะทำนี่ จะซื้อนั่น ซื้อนี่ ซึ่งแต่ละสิ่งที่จะซื้อก็ใช้เงินหลักหมื่นทั้งนั้น พอเราเสนอความคิดเห็นก็ทำหน้าไม่พอใจ เมื่อก่อนก่อนที่จะกู้ผ่าน เราไปบ้านแฟนบ่อย แม่แฟนยิ้มแย้มต้อนรับเราดี แต่พอหลังทำเรื่องเสร็จ เวลาเราไป ก็ทำหน้าหงุดหงิด เหมือนไม่ยินดีที่เรามา จนเราเริ่มคิดในใจว่า หรือเพราะเราหมดประโยชน์กับเขาแล้ว นิสัยคนเป็นแบบนี้เหรอ เราคิดด้านลบทันที เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกมา
เราคุยเรื่องนี้กับแฟน แฟนก็บอกว่าเราคิดมาก คิดไปเอง จนเราบอกกับแฟนว่า เราจะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรกับครอบครัวเธอแล้วนะ เพราะเรารู้สึกว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แฟนชวนเราไปอยู่ด้วย แฟนบอกนี่คือบ้านของเรา เราบอกว่าไม่ นี่ไม่ใช่บ้านของเรา ถ้าเป็นบ้านของเรา เราจะต้องมีสิทธิแสดงความคิดเห็นร่วมกัน เรายื่นคำขาดไปว่า ถ้าเรา2คนจะแต่งงานกัน ก็ต่อเมื่อเราซื้อบ้านที่อยู่กัน2คน แต่นี่ไม่ใช่ เพราะแม่แฟนจะขนญาติมาอยู่ด้วย
เราคิดผิดมั้ยคะ ที่เอาชื่อตัวเองไปกู้ร่วมเพื่อซื้อบ้านกับแฟน ถ้าวันนั้นเราไม่เสนอตัวเองเพื่อกู้ร่วม ป่านนี้แฟนก็ยังซื้อบ้านไม่ได้ เพราะความติดแบลคลิสของพ่อแม่แฟน แต่เมื่อเราช่วยไปแล้ว แล้วทำเหมือนเราไม่มีตัวตน ไม่เห็นค่าเราเหมือนเดิม เรากับแฟนเข้าใจกันดีนะคะ
คิดผิดหรือคิดผิด ใช้ชื่อตัวเองซื้อบ้านร่วมกับแฟน
ก่อนจะยื่นเรื่องกับธนาคาร แม่แฟนพูดกับเราดี จะให้เรามาอยู่บ้านด้วย ขอความเห็นเราตลอด เราก็รู้สึกว่าโอเค เราเตรียมเอกสารให้หมดทั้งของเรา ของครอบครัวแฟน ไปธนาคาร ทำนู่นนี่ให้หมด แต่พอกู้ผ่านเรียบร้อย ได้โฉนดมาเรียบร้อย อะไรๆก็เปลี่ยนไป (โฉนดเป็นชื่อเรากับแฟน) สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เราแทบไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลย เงินส่วนที่กู้เกินมาจากราคาบ้าน เรากับแฟนตั้งใจจะใช้ต่อเติมบ้านอยู่แล้ว แต่พอเริ่มเข้าสถานการณ์โควิด ด้วยความที่เรากับแฟนทำงานบริษัทเอกชน เลยทำให้อะไรๆไม่ค่อยแน่นอน มีโดนลดOTบ้าง เรากับแฟนก็ปรึกษากันแล้วว่า จะต่อเติมส่วนที่สำคัญจิงๆก่อน แล้วเงินส่วนที่เหลือจะเก็บไว้เป็นเงินสำรองก่อน เพราะไม่มีอะไรแน่นอน แต่แม่แฟน จะทำนู่น จะทำนี่ จะซื้อนั่น ซื้อนี่ ซึ่งแต่ละสิ่งที่จะซื้อก็ใช้เงินหลักหมื่นทั้งนั้น พอเราเสนอความคิดเห็นก็ทำหน้าไม่พอใจ เมื่อก่อนก่อนที่จะกู้ผ่าน เราไปบ้านแฟนบ่อย แม่แฟนยิ้มแย้มต้อนรับเราดี แต่พอหลังทำเรื่องเสร็จ เวลาเราไป ก็ทำหน้าหงุดหงิด เหมือนไม่ยินดีที่เรามา จนเราเริ่มคิดในใจว่า หรือเพราะเราหมดประโยชน์กับเขาแล้ว นิสัยคนเป็นแบบนี้เหรอ เราคิดด้านลบทันที เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกมา
เราคุยเรื่องนี้กับแฟน แฟนก็บอกว่าเราคิดมาก คิดไปเอง จนเราบอกกับแฟนว่า เราจะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรกับครอบครัวเธอแล้วนะ เพราะเรารู้สึกว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แฟนชวนเราไปอยู่ด้วย แฟนบอกนี่คือบ้านของเรา เราบอกว่าไม่ นี่ไม่ใช่บ้านของเรา ถ้าเป็นบ้านของเรา เราจะต้องมีสิทธิแสดงความคิดเห็นร่วมกัน เรายื่นคำขาดไปว่า ถ้าเรา2คนจะแต่งงานกัน ก็ต่อเมื่อเราซื้อบ้านที่อยู่กัน2คน แต่นี่ไม่ใช่ เพราะแม่แฟนจะขนญาติมาอยู่ด้วย
เราคิดผิดมั้ยคะ ที่เอาชื่อตัวเองไปกู้ร่วมเพื่อซื้อบ้านกับแฟน ถ้าวันนั้นเราไม่เสนอตัวเองเพื่อกู้ร่วม ป่านนี้แฟนก็ยังซื้อบ้านไม่ได้ เพราะความติดแบลคลิสของพ่อแม่แฟน แต่เมื่อเราช่วยไปแล้ว แล้วทำเหมือนเราไม่มีตัวตน ไม่เห็นค่าเราเหมือนเดิม เรากับแฟนเข้าใจกันดีนะคะ