ตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคม อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของหลายๆ สโมสร เพราะหากพวกเขาสายตาเฉียบคมในการเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ อาจจะช่วยพลิกสถานการณ์ที่เลวร้ายให้กลายเป็นสุดยอดแบบที่หลายๆ คนไม่คาดคิด
อย่างในกรณีของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะเห็นได้ชัดว่าก่อนที่เขาจะย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผลงานของ "ปีศาจแดง" มีแต่ทรงกับทรุด แต่พอนักเตะย้ายมาร่วมทีมบทสรุปคือติดท็อปโฟร์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้
ฉะนั้นในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาสโมสรในพรีเมียร์ลีก ลงทุนในการซื้อนักเตะเดือนม.ค.มาแล้วมากมาย และมีอยู่ 5 แข้งที่ต้องยอมรับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในช่วงต้นปีเลยก็ว่าได้
1. บรูโน่ แฟร์นันด์ส (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้เกิดดราม่าต้องบอกว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส ประสบความสำเร็จอย่างมาในเรื่องผลงานที่สร้างเอาไว้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่ที่เขาหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้านเกิดในโปรตุเกส มาเล่นที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
จอมทัพชาวโปรตุกีส ย้ายจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน มาสวมเครื่องแบบ "ปีศาจแดง" ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีที่แล้ว ด้วยค่าตัวเบื้องต้นประมาณ 50 ล้านปอนด์ (ราว 1,900 ล้านบาท) โดยต้องยอมรับว่า แฟร์นันด์ส ตอบแทนเม็ดเงินทุกเพนนีที่สโมสรเสียไปจริงๆ
แฟร์นันด์ส เริ่มต้นผลงานระดับมาสเตอร์พีซกับอาชีพที่ ยูไนเต็ด โดยช่วยให้ต้นสังกัดคว้าตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมทั้งยิงไปเบาๆ 8 ประตู กับ 7 แอสซิสต์จากการลงสนามเกมพรีเมียร์ลีก 14 แมตช์เท่านั้น
ดาวเตะวัย 26 ปียังคงสร้างผลงานดีมีคุณภาพในฤดูกาล 2020/2021 ด้วยการตะบันตาข่ายคู่แข่งไปแล้ว 11 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ จากการเล่น 16 เกมลีก ฉะนั้นต้องยอมรับว่า แฟร์นันด์ส คือลมหายใจและคือทุกสิ่งสำหรับเกมรุก "เร้ด เดวิลส์"
เพลย์เมกเกอร์เลือดฝอยทอง มักจะมีสายตาที่เฉียบคมราวกับเหยี่ยวในการมองหาพื้นที่ว่างในเขตโทษ เพื่อที่จะส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมหลุดเข้าไปกระซวกตาข่าย หรือลากบอลเข้าไปด้วยตัวเองก็ได้ นอกจากนี้ แฟร์นันด์ส ยังมีอิสระในการช่วยเกมรุกของทีม และคอยป้อนบอลให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยิงประตู
ถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ แน่นอนว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส คือกุญแจสำคัญสำหรับความสำเร็จที่พวกเขาโหยหามานานหลายปี
2. ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง (อาร์เซน่อล)
โอบาเมยอง โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงนับตั้งแต่ที่ย้ายจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาเล่นกับ อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัว 55 ล้านปอนด์ (ราว 2,090 ล้านบาท) ต้นปี 2018 และกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของเหล่าสาวก "เดอะ กันเนอร์ส"
ดาวเตะชาวกาบอง สร้างชื่อให้กับตัวเองในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีตั้งแต่เกมแรกด้วยการตะบันตาข่าย "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน จากนั้นก็ซัดประตูเบ็ดเสร็จจำนวน10 ลูกกับ 4แอสซิสต์จากการเล่น 13 เกมในซีซั่น 2017/2018
ในปี 2019 โอบาเมยอง ระเบิดฟอร์มด้วยการคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุด หรือ "รองเท้าทองคำ" (โกลเด้น บูท) หลังจากซัดไป 22 ประตูกับ 5 แอสซิสต์จากการเล่น 36 เกม ที่สำคัญนอกจากจะเล่นเป็นหน้าเป้าชั้นยอดได้แล้ว ยังสามารถขยับไปเล่นเกมรุกทางกราบก็ได้
ส่วนเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โอบาเมยอง ซัดไป 22 ประตูในเกมลีก แต่เป็นรอง เจมี่ วาร์ดี้ เจ้าของ "โกลเด้น บูท" เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น สำหรับในซีซั่นนี้ กัปตันทีมอาร์เซน่อล ฟอร์มในช่วงแรกไม่ค่อยโสภาสถาพรมากนัก
จะว่าไปแล้ว โอบาเมยอง มีอะไรที่คล้ายคลึงกับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ ตำนาน "ปืนใหญ่" ที่ยิงประตูเป็นว่าเล่นและสามารถขยับไปเล่นตำแหน่งอื่นๆ ในแผงเกมรุก เช่นเดียวกับ โอบาเมยอง ที่เล่นได้หลากหลาย ที่สำคัญเขากลายเป็นส่วนสำคัญของ อาร์เซน่อล นับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่กับทีมแล้ว
3. หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล)
ลิเวอร์พูล ยินดีจ่ายเงินจำนวน 23 ล้านปอนด์ (ราว 874 ล้านบาท) ให้กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม หลังจากที่ยอมปล่อย หลุยส์ ซัวเรซ ย้ายมาเล่นกับ "หงส์แดง" ในเดือนมกราคมปี 2011 และจากนั้นเขาก็กลายเป็นตำนานกองหน้าที่เก่งที่สุดของ "เดอะ เร้ดส์" และของโลกด้วย
หัวหอกชาวอุรุกวัย สวมบทจอมโหดถล่มประตูด้วยการซัดไป 69 ลูกกับ 39 แอสซิสต์จากการเล่น 110 เกมพรีเมียร์ลีกให้กับ ลิเวอร์พูล และแน่นอนว่านี่คือหนึ่งในนักเตะที่สาวก "เดอะ ค็อป" เทิดทูนอย่างมากจากความทุ่มเทที่เขามีให้กับทีม
"คิง หลุยส์" มีโอกาสได้โชว์ฟอร์มที่สุดยอดจนเป็นสถิติตลอดกาลซึ่งเกิดขึ้นในซีซั่น 2013/2014 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายภายใต้เครื่องแบบ "หงส์แดง" โดยเขาซัดไป 31 ประตูกับ 17 แอสซิสต์ในการเล่นเกมลีก 33 แมตช์ พร้อมกับคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุด และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก
ที่สำคัญ ซัวเรซ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ในปี 2014 แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝันในซีซั่นนั้น ขณะเดียวกันเส้นทางของลิเวอร์พูล กับซัวเรซ ก็มาถึงทางตัว และนักเตะต้องยอมปล่อยให้กับ บาร์เซโลน่า ในฤดูกาลต่อมา
ถึงแม้ ซัวเรซ จะไปแล้ว แต่ตำนานของเขากับ "หงส์แดง" ในฐานะหนึ่งในกองหน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของสโมสร ก็ยังคงอยู่ตลอดไป
4. เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (ลิเวอร์พูล)
ตอนที่ ลิเวอร์พูล ควักกระเป๋าจำนวน 80 ล้านปอนด์ (ราว 3,040 ล้านบาท) เพื่อเป็นสินสอดให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน เพื่อสู่ขอ ฟาน ไดค์ มาคุมแนวรับ "หงส์แดง" ในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งฤดูหนาว ปี 2018 ซึ่งในเวลานั้นมีหลายคนงงเป็นไก่ตาแตก บางคนถึงกับพูดจาเย้ยหยันว่า "มีเงินอย่างเดียวไม่พอต้อง.....(เติมเอง) ด้วย"
ช่วงเวลานั้น ฟาน ไดค์ โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งทั้งเกมรับ และเกมรุกให้กับ "นักบุญ" แต่หลายๆ คนมองว่าเขาไม่ได้เก่งฉกาจจนถึงขั้นได้ชื่อว่ามีค่าตัวสูงลิบลิ่วขนาดนั้น แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่คิดแบบนั้น เพราะเขามองเห็นศักยภาพชั้นยอดในตัวกองหลังชาวดัตช์รายนี้
เพียงแค่ 2 ปีแรกที่ย้ายมาอยู่กับ "เดอะ เร้ดส์" กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ พิสูจน์ให้ทุกๆ คนได้เห็นแล้วว่าคิดผิดที่วิจารณ์หรือปรามาสเขา โดย ฟาน ไดค์ ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเซนเตอร์แบ็กที่เก่งที่สุดในโลก และยังมีส่วนสำคัญต่อการกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล
ฟาน ไดค์ คือปราการเหล็กที่สำคัญมากๆ ของทีม และช่วยนำความสำเร็จสู่สโมสรทั้งคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมานาน 3 ทศวรรษ นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า และแข้งยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำปี 2019
5. เนมานย่า วิดิช (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
มันเป็นอะไรที่บ้าบอสุดๆ ที่คิดว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่ายเงินเพียงแค่ 7.5 ล้านปอนด์ (ราว 285 ล้านบาท) เพื่อซื้อ เนมานย่า วิดิช มาจาก สปาร์ตัก มอสโก ในช่วงต้นปี 2006 เพราะหลังจากนั้น ดาวเตะเลือดเซิร์บ กลายเป็นหนึ่งในกองหลังที่เก่งที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
วิดิช แข็งแกร่งดั่งภูผาหินในการคุมเกมรับให้ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับคู่กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ เป็นอะไรที่ยากลำบากสุดๆ สำหรับกองหน้าที่จะหลุดเข้าไปทำประตู "ปีศาจแดง" ในช่วงเวลานั้น
ที่สำคัญ วิดิช ภายใต้การดูแลของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย
ฉะนั้นหากมองในแง่ของตัวเงินที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมจ่ายไป ต้องบอกเลยว่า วิดิช เป็นการเซ็นสัญญาที่สุดยอดที่สุดในรอบ 30 ปีของวงการลีกสูงสุดเมืองผู้ดีก็ว่าได้
cr : www.siamsport.co.th
5 สุดยอด! การเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกช่วงเดือนมกราคม
อย่างในกรณีของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะเห็นได้ชัดว่าก่อนที่เขาจะย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผลงานของ "ปีศาจแดง" มีแต่ทรงกับทรุด แต่พอนักเตะย้ายมาร่วมทีมบทสรุปคือติดท็อปโฟร์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้
ฉะนั้นในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาสโมสรในพรีเมียร์ลีก ลงทุนในการซื้อนักเตะเดือนม.ค.มาแล้วมากมาย และมีอยู่ 5 แข้งที่ต้องยอมรับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในช่วงต้นปีเลยก็ว่าได้
1. บรูโน่ แฟร์นันด์ส (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้เกิดดราม่าต้องบอกว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส ประสบความสำเร็จอย่างมาในเรื่องผลงานที่สร้างเอาไว้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่ที่เขาหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้านเกิดในโปรตุเกส มาเล่นที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
จอมทัพชาวโปรตุกีส ย้ายจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน มาสวมเครื่องแบบ "ปีศาจแดง" ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีที่แล้ว ด้วยค่าตัวเบื้องต้นประมาณ 50 ล้านปอนด์ (ราว 1,900 ล้านบาท) โดยต้องยอมรับว่า แฟร์นันด์ส ตอบแทนเม็ดเงินทุกเพนนีที่สโมสรเสียไปจริงๆ
แฟร์นันด์ส เริ่มต้นผลงานระดับมาสเตอร์พีซกับอาชีพที่ ยูไนเต็ด โดยช่วยให้ต้นสังกัดคว้าตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมทั้งยิงไปเบาๆ 8 ประตู กับ 7 แอสซิสต์จากการลงสนามเกมพรีเมียร์ลีก 14 แมตช์เท่านั้น
ดาวเตะวัย 26 ปียังคงสร้างผลงานดีมีคุณภาพในฤดูกาล 2020/2021 ด้วยการตะบันตาข่ายคู่แข่งไปแล้ว 11 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ จากการเล่น 16 เกมลีก ฉะนั้นต้องยอมรับว่า แฟร์นันด์ส คือลมหายใจและคือทุกสิ่งสำหรับเกมรุก "เร้ด เดวิลส์"
เพลย์เมกเกอร์เลือดฝอยทอง มักจะมีสายตาที่เฉียบคมราวกับเหยี่ยวในการมองหาพื้นที่ว่างในเขตโทษ เพื่อที่จะส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมหลุดเข้าไปกระซวกตาข่าย หรือลากบอลเข้าไปด้วยตัวเองก็ได้ นอกจากนี้ แฟร์นันด์ส ยังมีอิสระในการช่วยเกมรุกของทีม และคอยป้อนบอลให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยิงประตู
ถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ แน่นอนว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส คือกุญแจสำคัญสำหรับความสำเร็จที่พวกเขาโหยหามานานหลายปี
2. ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง (อาร์เซน่อล)
โอบาเมยอง โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงนับตั้งแต่ที่ย้ายจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาเล่นกับ อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัว 55 ล้านปอนด์ (ราว 2,090 ล้านบาท) ต้นปี 2018 และกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของเหล่าสาวก "เดอะ กันเนอร์ส"
ดาวเตะชาวกาบอง สร้างชื่อให้กับตัวเองในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีตั้งแต่เกมแรกด้วยการตะบันตาข่าย "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน จากนั้นก็ซัดประตูเบ็ดเสร็จจำนวน10 ลูกกับ 4แอสซิสต์จากการเล่น 13 เกมในซีซั่น 2017/2018
ในปี 2019 โอบาเมยอง ระเบิดฟอร์มด้วยการคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุด หรือ "รองเท้าทองคำ" (โกลเด้น บูท) หลังจากซัดไป 22 ประตูกับ 5 แอสซิสต์จากการเล่น 36 เกม ที่สำคัญนอกจากจะเล่นเป็นหน้าเป้าชั้นยอดได้แล้ว ยังสามารถขยับไปเล่นเกมรุกทางกราบก็ได้
ส่วนเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โอบาเมยอง ซัดไป 22 ประตูในเกมลีก แต่เป็นรอง เจมี่ วาร์ดี้ เจ้าของ "โกลเด้น บูท" เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น สำหรับในซีซั่นนี้ กัปตันทีมอาร์เซน่อล ฟอร์มในช่วงแรกไม่ค่อยโสภาสถาพรมากนัก
จะว่าไปแล้ว โอบาเมยอง มีอะไรที่คล้ายคลึงกับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ ตำนาน "ปืนใหญ่" ที่ยิงประตูเป็นว่าเล่นและสามารถขยับไปเล่นตำแหน่งอื่นๆ ในแผงเกมรุก เช่นเดียวกับ โอบาเมยอง ที่เล่นได้หลากหลาย ที่สำคัญเขากลายเป็นส่วนสำคัญของ อาร์เซน่อล นับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่กับทีมแล้ว
3. หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล)
ลิเวอร์พูล ยินดีจ่ายเงินจำนวน 23 ล้านปอนด์ (ราว 874 ล้านบาท) ให้กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม หลังจากที่ยอมปล่อย หลุยส์ ซัวเรซ ย้ายมาเล่นกับ "หงส์แดง" ในเดือนมกราคมปี 2011 และจากนั้นเขาก็กลายเป็นตำนานกองหน้าที่เก่งที่สุดของ "เดอะ เร้ดส์" และของโลกด้วย
หัวหอกชาวอุรุกวัย สวมบทจอมโหดถล่มประตูด้วยการซัดไป 69 ลูกกับ 39 แอสซิสต์จากการเล่น 110 เกมพรีเมียร์ลีกให้กับ ลิเวอร์พูล และแน่นอนว่านี่คือหนึ่งในนักเตะที่สาวก "เดอะ ค็อป" เทิดทูนอย่างมากจากความทุ่มเทที่เขามีให้กับทีม
"คิง หลุยส์" มีโอกาสได้โชว์ฟอร์มที่สุดยอดจนเป็นสถิติตลอดกาลซึ่งเกิดขึ้นในซีซั่น 2013/2014 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายภายใต้เครื่องแบบ "หงส์แดง" โดยเขาซัดไป 31 ประตูกับ 17 แอสซิสต์ในการเล่นเกมลีก 33 แมตช์ พร้อมกับคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุด และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก
ที่สำคัญ ซัวเรซ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ในปี 2014 แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝันในซีซั่นนั้น ขณะเดียวกันเส้นทางของลิเวอร์พูล กับซัวเรซ ก็มาถึงทางตัว และนักเตะต้องยอมปล่อยให้กับ บาร์เซโลน่า ในฤดูกาลต่อมา
ถึงแม้ ซัวเรซ จะไปแล้ว แต่ตำนานของเขากับ "หงส์แดง" ในฐานะหนึ่งในกองหน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของสโมสร ก็ยังคงอยู่ตลอดไป
4. เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (ลิเวอร์พูล)
ตอนที่ ลิเวอร์พูล ควักกระเป๋าจำนวน 80 ล้านปอนด์ (ราว 3,040 ล้านบาท) เพื่อเป็นสินสอดให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน เพื่อสู่ขอ ฟาน ไดค์ มาคุมแนวรับ "หงส์แดง" ในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งฤดูหนาว ปี 2018 ซึ่งในเวลานั้นมีหลายคนงงเป็นไก่ตาแตก บางคนถึงกับพูดจาเย้ยหยันว่า "มีเงินอย่างเดียวไม่พอต้อง.....(เติมเอง) ด้วย"
ช่วงเวลานั้น ฟาน ไดค์ โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งทั้งเกมรับ และเกมรุกให้กับ "นักบุญ" แต่หลายๆ คนมองว่าเขาไม่ได้เก่งฉกาจจนถึงขั้นได้ชื่อว่ามีค่าตัวสูงลิบลิ่วขนาดนั้น แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่คิดแบบนั้น เพราะเขามองเห็นศักยภาพชั้นยอดในตัวกองหลังชาวดัตช์รายนี้
เพียงแค่ 2 ปีแรกที่ย้ายมาอยู่กับ "เดอะ เร้ดส์" กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ พิสูจน์ให้ทุกๆ คนได้เห็นแล้วว่าคิดผิดที่วิจารณ์หรือปรามาสเขา โดย ฟาน ไดค์ ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเซนเตอร์แบ็กที่เก่งที่สุดในโลก และยังมีส่วนสำคัญต่อการกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล
ฟาน ไดค์ คือปราการเหล็กที่สำคัญมากๆ ของทีม และช่วยนำความสำเร็จสู่สโมสรทั้งคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมานาน 3 ทศวรรษ นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า และแข้งยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำปี 2019
5. เนมานย่า วิดิช (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
มันเป็นอะไรที่บ้าบอสุดๆ ที่คิดว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่ายเงินเพียงแค่ 7.5 ล้านปอนด์ (ราว 285 ล้านบาท) เพื่อซื้อ เนมานย่า วิดิช มาจาก สปาร์ตัก มอสโก ในช่วงต้นปี 2006 เพราะหลังจากนั้น ดาวเตะเลือดเซิร์บ กลายเป็นหนึ่งในกองหลังที่เก่งที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
วิดิช แข็งแกร่งดั่งภูผาหินในการคุมเกมรับให้ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับคู่กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ เป็นอะไรที่ยากลำบากสุดๆ สำหรับกองหน้าที่จะหลุดเข้าไปทำประตู "ปีศาจแดง" ในช่วงเวลานั้น
ที่สำคัญ วิดิช ภายใต้การดูแลของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย
ฉะนั้นหากมองในแง่ของตัวเงินที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมจ่ายไป ต้องบอกเลยว่า วิดิช เป็นการเซ็นสัญญาที่สุดยอดที่สุดในรอบ 30 ปีของวงการลีกสูงสุดเมืองผู้ดีก็ว่าได้
cr : www.siamsport.co.th