" สัตว์ "---ตอนที่ 4 :..สัตว์..ท่องเที่ยวในสังสารวัฏ...อย่างยาวนาน..เลือดที่ไหลเพราะโดนฆ่านั้น..มากกว่ามหาสมุทร

กระทู้สนทนา

๓ ติงสมัตตาสูตร 
[๔๔๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน เขตพระนคร ราชคฤห์ 
ครั้งนั้นแล ภิกษุชาวเมืองปาวาประมาณ ๓๐ รูป ทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร 
ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรถือทรงผ้าไตรจีวรเป็นวัตร แต่ทั้งหมดล้วนยัง เป็นผู้มีสังโยชน์อยู่ 
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ฯ 

[๔๔๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า ภิกษุชาวเมืองปาวาประมาณ ๓๐ รูปเหล่านี้แล 
ทั้งหมดล้วนถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็น วัตร ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตร 
ทั้งหมดล้วนยังมีสังโยชน์ ถ้ากระไรหนอ เราพึงแสดงธรรมโดย ประการที่ภิกษุเหล่านี้จะพึงมีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ 
เพราะไม่ถือมั่น ณ อาสนะนี้ทีเดียว 

ลำดับ นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระ ผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฯ 

[๔๔๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ 
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้ยังมีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่
สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ 
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน 

โลหิตที่ หลั่งไหลออกของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมาซึ่งถูกตัดศีรษะโดยกาลนานนี้ กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ 
สิ่งไหนจะมากกว่ากันภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย 
ย่อมทราบธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า โลหิตที่หลั่งไหลออกของพวกข้าพระองค์ ผู้ท่องเที่ยวไปมา 
ซึ่งถูกตัดศีรษะโดยกาลนานนี้แหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มาก กว่าเลย ดังนี้ ฯ 

[๔๔๘] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว โลหิตที่หลั่งไหลออกของพวกเธอ 
ผู้ท่องเที่ยวไปมาซึ่งถูกตัดศีรษะโดยกาลนานนี้ นี้แหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

เมื่อเธอทั้งหลายเกิดเป็นโค ซึ่งถูก ตัดศีรษะตลอดกาลนาน โลหิตที่หลั่งไหลออกนั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔
ไม่มากกว่าเลย 

เมื่อเธอทั้งหลายเกิดเป็นกระบือ ซึ่งถูกตัดศีรษะตลอดกาลนาน โลหิตที่หลั่งไหลออกนั่นแหละมากกว่า ... 

เมื่อเธอทั้งหลายเกิดเป็นแกะ ... เกิดเป็นแพะ ... เกิดเป็นเนื้อ ... เกิด เป็นสุกร ... เกิดเป็นไก่ ... 

เมื่อพวกเธอถูกจับตัดศีรษะโดยข้อหาว่า เป็นโจรฆ่าชาวบ้านตลอดกาล นาน โลหิตที่หลั่งไหลออกนั่นแหละมากกว่า ... 
ถูกจับตัดศีรษะโดยข้อหาว่าเป็นโจรคิดปล้น ... 
ถูกจับตัดศีรษะ โดยข้อหาว่าเป็นโจรประพฤติผิดในภรรยาของผู้อื่น ตลอดกาลนาน โลหิต ที่หลั่งไหลออกนั่นแหละมากกว่า 
น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ... 

พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ 

[๔๔๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างพอใจชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุชาวเมืองปาวาประมาณ ๓๐ รูป พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ฯ
จบสูตรที่ ๓

https://etipitaka.com/read/thai/16/186/

และจะไม่สามารถหลุดจาก...สังสารวัฏอันเป็นทุกข์นี้ได้เลย  ถ้าไม่ทะลายอวิชชา...ทำวิชชาให้เกิดโดย..พระสัทธรรมของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธ

สรุป... <----อันนี้เป็นความเข้าใจของผม...หากมีคำแนะนำ-หรือ-เห็นต่าง..นำหลักฐานมาแสดง...ก็ยินดีเลยครับ

1. จากพระสูตร.... จะเห็นว่าเราเกิด-ตาย  เกิด-ตาย...มานานมากแล้ว...และก็จะไม่สามารถหลุดพ้นไปจากวงจรนี้ได้เลย...
    หากไม่รู้วิธี    พระศาสดาท่านจึงแสดงโดยการเปรียบเอา...เฉพาะเลือดที่ไหลจากคอเนื่องจากเราได้เคยเกิดเป็น ...โค
    ..กระบื..สุกร9ล9..  เอาแค่สัตว์ชนิดเดียว...เลือดที่ไหลจากคอก็มากกว่ามหาสมุทร .... มันแลดูไม่น่าจะเป็นไปได้...
     เพราะเลือดจะมีกี่ลิตรเชี่ยว..ก็จริงอยู่   แต่เพราะการเวียนตาย-เวี่ยนเกิดซ้ำๆกัน...อันเป็นระยะเวลาที่นานจนหาจุดเริ่มต้น
     ไม่ได้...ดังนั้น เลือดที่รวมๆกันมันจึงมากกว่ามหาสมุทรโดยแท้....พระศาสดาท่านกล่าวได้แม่นยำมากครับ

2. อันนี้...เป็นปัณหามาก...  ก็ในเมื่อ " สัตว์ "...มันเวียนตาย-เวียนเกิด...ไม่สิ้นสุด  <---- อย่างนี้ " สัตว์เที่ยงหรือไม่?"
     มันเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือไม่?   ผมจะบอกว่าเห็นถูกแล้วหละ...ไอ้การที่ไปเห็นว่า " สัตว์ไม่มี "..นี่หละผิดก่อน..ผิดมากว่า
     ส่วนที่ไปการเห็นว่า " สัตว์เที่ยง "..อันนี้ผิดที่หลัง... แต่ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้ง คู่

    การเห็นว่า  " สัตว์ไม่มี "---เป็นอุจเฉทิฏฐิ...
    ถ้าสัตว์ไม่มี.มันก็ไม่มีการได้รับสุขทุกข์, การกระทำอะไรก็เป็นเพียงกริยาของขันธ์..การเห็นอย่างนี้มันมีหลายระดับ..
    อาจจะเลยเถิดไปถึงบุญปาปไม่มี... 
    
    การเห็นว่า  " สัตว์เที่ยง "---ก็เป็นสัสสตทิฏฐิ
    การเห็นว่าสัตว์เที่ยงก็มีหลายๆแบบ..เอาแบบที่ใกล้กับความถูกต้องก็คือ...รู้ว่าบุญบาปส่งผลขอขันธ์จึง
    ประกอบกรรมดีไปสู่สุขคติ    แต่ที่แย่คือ...ไปคิดว่าเที่ยงแท้ในสิ่งที่ไม่เที่ยง(...ที่จริงเข้าก็หาสิ่งที่เที่ยงอยู่นะ...
    แต่หาไม่เจอ) คือพอไปเข้าใจว่าขันธ์๕.. ที่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนว่านี่หละ...ของเที่ยง  เช่น คิดว่า...รูปภพนั้นเที่ยง   
    อรูปภพนั้นเที่ยง   แล้วเมื่อมันแสดงความไม่เที่ยงขึ้นมา....มันก็เป็นทุกข์ 

    คือ..การคิดว่าเที่ยงมันก็คิดได้   แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น    พระศาสดาเองท่านเคยกล่าวไว้ว่า..  ในอดีตกาลเราสอน
    หมู่คณะของเราไปอุบัติสู่ความเป็นพรหม..ไม่มาสู่โลกนี้หลายกัป  แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาเกิดอีก...
     แต่คราวนี้...ธรรมวินัยนี้..จะไม่กลับมาอีกต่อไป

   ที่ถูก..ต้องเห็นว่า " สัตว์ไม่เที่ยง "...จึงจะหลุดจากความเป็นสัตว์ไปได้
    คือถ้า " สัตว์ "...มันไม่รู้อริยสัจ๔....มันก็จะเกิด-ตาย...วงเวียนอยู่อย่างนี้...แทบจะเป็นอมตะ..แทบจะเป็นสิ่งที่เที่ยง
     (..แต่ก็ไม่เที่ยงนะ..)  แต่ถ้า " สัตว์ "...รู้อริยสัจและปฏิบัติมรรค8.....ก็จะหลุดพ้น....ไม่มีการเวียนตาย-เวียนเกิด..
     อีกต่อไป  ความเป็น " สัตว์ก็จะหมดไป "...นี่หละ...สัตว์มันก็ไม่เที่ยง----มันตายไปได้..  เพียงแต่ความไม่เที่ยง
     ของมัน...มันนานมากๆ นานเป็นระยะเวลาตลอดสังสารวัฏของสัตว์นั้นๆ (จนเข้าใจผิดเป็นสัสสตทิฏฐิ)

3. ผมจึงสรุปว่า

    " สัตว์นะ...ตังแต่เกิดขึ้นมามันยังไม่ตายเลย..สำหรับผู้ที่มีอุปาทาน
       แต่สำหรับอรหันต์นะ..สัตว์มันตายไปแล้ว "

อยากรู้ไม่ว่าสัตว์มันเกิดมาอย่างไร?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่