หลังจากที่ภาคแรกนั้นทางด้าน Wonder Woman เป็นหนังที่เรียกได้ว่าจุดกระแส หนังฮีโร่หญิงแบบเต็มตัว และเป็นเรื่องแรกๆที่ต้องบอกว่ากล้าเล่าในมุมมองของฝั่ง ฮีโร่หญิงกันบ้างและเล่าในเรื่องราวที่จะเป็นยุคสงครามโลกนั้นเอง หรืออีกมุมก็เป็นช่วงที่ต้นกำเนิดอะไรหลายๆอย่างของทาง Wonder Womanเองด้วยเช่นกัน และกระแสตอบรับอะไรทั้งเรื่องของคุณภาพหนังหรือความแปลกใหม่ก็มีกระแสออกมาค่อนข้างดี จนมาถึงภาคต่อของทาง Wonder Woman ในชื่อ WW84 นั้นเองจะเป็นการเล่ายุค 80s ยังไม่ใช่ปัจจุบันนะครับ และตัวหนังเองนั้นจะเน้นไปที่การเล่าเรื่องช่วงยุคนั้นของทาง Wonder Woman ที่เจอเรื่องราว ระหว่างการทำงานในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่โบราณคดีในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน นั้นเองครับ และยังคงได้ ผกก คนเดิม แพตตี้ เจนกินส์ และ ดารานำอย่าง กัล กาโดท เช่นเดิม หลังจากที่ดูจบจริงๆพอเข้าใจว่าตัวหนังนั้นไม่ได้เน้นแอคชั่น และหนัง ฮีโร่ไม่จำเป็นต้องเน้นแต่แอคชั่น เลยพอเข้าใจว่าตัวหนังจะเล่นในแนว โรแมนติค คอเมดี้ มากกว่าครั้งอื่นๆหรือเรียกได้ว่าเป็นหนังฮีโร่เรื่องแรกๆเลยก็ว่าได้ที่เล่นในแนวนี้ของทาง DCEU นะครับ ทำให้หลายๆคนอาจจะบ่นว่าแอคชั่นน้อย ไม่จัดเต็ม อันนี้ก็ไม่ได้เป็นแนวทางตั้งแต่แรก และเป็นภาคที่ออกมาเซอร์วิส แฟนทั้งหมด ทั้งความสามารถที่ยกมาจากคอมมิคทั้งหมด และ หลายๆสิ่งหลายๆอย่างถ้าเป็นแฟนๆ DC น่าจะยิ้มและเข้าใจที่มาที่ไปได้อย่างดีว่าทำอะไรได้ยังไงบ้าง แต่ถ้าคนอื่นๆอาจจะไม่อินมากหรือ งงๆอยู่บ้างว่าทำไม ทำแบบนั้นหรือแบบนี้ได้ครับ เพราะตัวหนังก็ไม่ได้อธิบายละเอียดอะไรมากด้วย
ตัวเนื้อเรื่องหนังนั้นแน่นอนว่าเป็นการเล่าเรื่องยุค 1980 ทำให้โทนหนังอะไรก็เข้ากันกับการที่สื่อออกมาได้เป็นอย่างดีเลยแหละ และ ฉากเปิดทั้ง 2 ฉากทำออกมาได้ดีมากๆเป็นการเล่าเรื่องถึงตอนเด็กๆ เหตุผลและการตัดสินใจหลายๆอย่าง รวมถึงทำให้เรารู้เรื่องราวมากขึ้นของตัว Wonder Woman เอง และ ภาพรวมนั้นเนื้อเรื่องเน้นไปทางแนว ความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละคร ทั้งฝ่ายดี ฝ่ายร้ายได้ดีเลยนะ แต่มันมีจุดที่อาจจะขอบ่นคือ มันไม่ค่อนสุดซักเท่าไรนักในหลายๆอย่าง เลยทำให้หนังไม่พาเราไปอินมากนักในแต่ละ ดราม่า หรือ ความรักต่าง เลยแบบกึ่งกลางๆไปทั้งหมด แอคชั่นก็จัดเต็มให้ 3 ฉากหลักๆแต่ส่วนนี้พอเข้าใจได้ว่าไม่ได้เน้นครับ จะไปเน้นเรื่องราวของตัวละครหลายๆคนมากกว่า แต่น่าเสียดายมันไม่สุดทั้ง คู่ของ ไดอาน่า สตีฟเอง มีฉากซึ้งๆอันนี้ถือว่าทำได้ดีในช่วงนึง แต่ส่วนอื่นๆกลับทำได้ไม่เด่นมากนัก รวมถึง ความสัมพัทธ์ของ คู่อื่นๆทั้ง ตัวร้าย พ่อลูก เอง หรือแม้จะเป็น ตัวชีตาร์เองนั้นที่น่าจะลงลึกไปได้มากกว่านี้ถ้ามองในแง่หนัง 2.30 ชั่วโมง ทำให้มันพลาดจุดพีคๆในการเข้าถึงไปเยอะ แต่จะไปเน้นฉาก บิน หรือ โชว์ของตัว WW มากกว่าอันนี้พอเข้าใจว่าจะเซอร์วิสแฟนๆหลายๆส่วนแต่ก็แอบเยอะเกินไป ทำให้เนื้อเรื่องนั้นดี แต่การเล่าเรื่องในภาพรวมทั้ง 2 ชั่วโมงครึ่งกลับไม่กระชับเท่าที่ควรและทำให้พลาดจุดพีคๆไปไม่ได้เน้นมาก
นักแสดงอันนี้ส่วนตัวไม่ติดปัญหาเลยแม้แต่น้อย ทั้งทาง กัล กาโดท เอง หรือแม้จะเป็น ตัวร้ายอย่าง คริสเตน วิก และ เพโดร ปาสคาล รวมถึง ทาง คริส ไพน์ ต้องบอกเลยว่าแต่ละคนนั้นแสดงออกมาได้ดีมากๆ ยิ่ง คริสเตร วิก คือเป็นนักแสดงที่พลิกบทบาท ทั้งช่วงต้นของเรื่อง และ หลังของเรื่องได้ดีมากๆ แสดงได้เข้าถึงและเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจน รวมถึงทาง เพโดร ปาสคาล เองนั้นในชื่อ Max Lord ก็ทำออกมาได้ลงตัว แต่น่าเสียดายอย่างที่บอกไปว่า บทน่าจะลงลึกในส่วนของ ความสัมพัทธ์ได้ดีกว่านี้ ทั้งระหว่างตัวร้ายด้วยกัน พ่อลูก หรือจะเป็น ไดอาน่า กับทาง บาบารา เองก็ตามครับไม่งั้นหนังจะลงตัวมากกว่านี้ แต่ก็เป็นหนังที่ดูแล้ว อบอุ่น ความรักในแต่ละคน และ พ่อลูกต่างๆ ให้ความหวังได้ดีมากๆ ในการเล่าเรื่องกับตัวละคร แต่ถ้าลงสุดมากกว่านี้จะเป็นหนังที่ลงตัวและดีมากๆเรื่องนึง
งานภาพนั้นส่วนตัวยังคงชอบในแง่ของมุมมองและโทนของหนังที่พยายามสื่อถึงยุค 80s ได้ดี แต่ฉากมี CG น่าจะเนียนกว่านี้ได้ชัดๆ 1 ฉากครับ จริงๆบางฉากไม่ต้องใส่มาก็ได้เพราะไม่ได้มีผลมากนัก แต่ในส่วนอื่นๆนั้นก็ถือว่างานภาพยังคงเด่นและไว้ใจได้ ไม่ได้สโลว์เยอะเกิน และเล่นกับมุมมองได้ดี แต่อาจจะไม่ได้หวือหวามากนักครับ ส่วนเพลงประกอบ ยังคงไว้ใจได้กับ Hans Zimmer รอบนี้ปรับเข้ากับธีมหนังได้ดี มีเพลงติดหูเช่นเดิม แต่ความแปลกใหม่แอบน้อยไปนิด มีการใช้เพลงเดียวกับ BVS เข้ามาด้วยปรับแต่งใหม่ แต่เพลงธีมใหม่ๆยังไม่ค่อยหลากหลายหรือติดหูเท่าไรนัก และ เพลงยุค 80s น่าจะใส่เข้ามาได้มากกว่านี้ในบางฉากอันนี้แอบน่าเสียดายเลย
โดยรวม ถ้ามองว่าเป็นภาคต่อส่วนตัวชอบ ภาคนี้มากกว่าภาคแรกในหลายๆเรื่องทั้งเรื่องของความลงตัวความกลมกล่อมของตัวหนัง และการที่ใส่อะไรหลายๆอย่างเข้ามาที่เป็นการ เซอร์วิสแฟนๆ ทั้งเรื่อง ความสามารถของตัวละคร เครื่องบินต่างๆที่ แฟนๆน่าจะเข้าใจกันดี รวมถึง ตัวละคร ตัวร้ายที่คุ้นเคยกัน และ End Credit ที่ต้องร้องว้าว เพราะได้ WW รุ่นซีรีย์ดั้งเดิมมาร่วม แจมในอีกบทบาทครับ เป็นการเซอร์วิสแบบเต็มที่ แต่ถ้ามองในมุมมองของคนทั่วไป หนังจะไม่สามารถอธิบายได้หลายๆอย่าง ว่ามี หิน Dreamstone ทำอะไรได้ยังไงบ้าง และพกวนี้ทำให้คนอาจจะมองว่าเวอร์เกินไป ทำไมทำแบบนั้นได้ เพราะตัวหนังก็ไม่ได้อธิบายด้วยเช่นกันครับ ก็อาจจะเป็นข้อเสียอย่างนึง และ การเล่าเรื่อง เน้นโชว์มากขึ้นทำให้ยืดเยื้อไปบ้าง ก็เป็นจุดหลักๆที่น่าเสียดาย และไม่สุดซักทางเท่าไรเช่นกัน แต่ฉากแอคชั่นส่วนตัวว่าไม่ต้องเยอะแบบนี้ดีแล้ว แต่แค่เล่าเรื่องให้มันสุดในเรื่องของความรัก หรือ เรื่องราวได้มากกว่านี้จะลงตัวเลยทีเดียวครับ
By Nineztr
[CR] รีวิว WONDER WOMAN 1984 แอคชั่นไม่เน้น แต่อบอุ่น !
หลังจากที่ภาคแรกนั้นทางด้าน Wonder Woman เป็นหนังที่เรียกได้ว่าจุดกระแส หนังฮีโร่หญิงแบบเต็มตัว และเป็นเรื่องแรกๆที่ต้องบอกว่ากล้าเล่าในมุมมองของฝั่ง ฮีโร่หญิงกันบ้างและเล่าในเรื่องราวที่จะเป็นยุคสงครามโลกนั้นเอง หรืออีกมุมก็เป็นช่วงที่ต้นกำเนิดอะไรหลายๆอย่างของทาง Wonder Womanเองด้วยเช่นกัน และกระแสตอบรับอะไรทั้งเรื่องของคุณภาพหนังหรือความแปลกใหม่ก็มีกระแสออกมาค่อนข้างดี จนมาถึงภาคต่อของทาง Wonder Woman ในชื่อ WW84 นั้นเองจะเป็นการเล่ายุค 80s ยังไม่ใช่ปัจจุบันนะครับ และตัวหนังเองนั้นจะเน้นไปที่การเล่าเรื่องช่วงยุคนั้นของทาง Wonder Woman ที่เจอเรื่องราว ระหว่างการทำงานในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่โบราณคดีในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน นั้นเองครับ และยังคงได้ ผกก คนเดิม แพตตี้ เจนกินส์ และ ดารานำอย่าง กัล กาโดท เช่นเดิม หลังจากที่ดูจบจริงๆพอเข้าใจว่าตัวหนังนั้นไม่ได้เน้นแอคชั่น และหนัง ฮีโร่ไม่จำเป็นต้องเน้นแต่แอคชั่น เลยพอเข้าใจว่าตัวหนังจะเล่นในแนว โรแมนติค คอเมดี้ มากกว่าครั้งอื่นๆหรือเรียกได้ว่าเป็นหนังฮีโร่เรื่องแรกๆเลยก็ว่าได้ที่เล่นในแนวนี้ของทาง DCEU นะครับ ทำให้หลายๆคนอาจจะบ่นว่าแอคชั่นน้อย ไม่จัดเต็ม อันนี้ก็ไม่ได้เป็นแนวทางตั้งแต่แรก และเป็นภาคที่ออกมาเซอร์วิส แฟนทั้งหมด ทั้งความสามารถที่ยกมาจากคอมมิคทั้งหมด และ หลายๆสิ่งหลายๆอย่างถ้าเป็นแฟนๆ DC น่าจะยิ้มและเข้าใจที่มาที่ไปได้อย่างดีว่าทำอะไรได้ยังไงบ้าง แต่ถ้าคนอื่นๆอาจจะไม่อินมากหรือ งงๆอยู่บ้างว่าทำไม ทำแบบนั้นหรือแบบนี้ได้ครับ เพราะตัวหนังก็ไม่ได้อธิบายละเอียดอะไรมากด้วย
ตัวเนื้อเรื่องหนังนั้นแน่นอนว่าเป็นการเล่าเรื่องยุค 1980 ทำให้โทนหนังอะไรก็เข้ากันกับการที่สื่อออกมาได้เป็นอย่างดีเลยแหละ และ ฉากเปิดทั้ง 2 ฉากทำออกมาได้ดีมากๆเป็นการเล่าเรื่องถึงตอนเด็กๆ เหตุผลและการตัดสินใจหลายๆอย่าง รวมถึงทำให้เรารู้เรื่องราวมากขึ้นของตัว Wonder Woman เอง และ ภาพรวมนั้นเนื้อเรื่องเน้นไปทางแนว ความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละคร ทั้งฝ่ายดี ฝ่ายร้ายได้ดีเลยนะ แต่มันมีจุดที่อาจจะขอบ่นคือ มันไม่ค่อนสุดซักเท่าไรนักในหลายๆอย่าง เลยทำให้หนังไม่พาเราไปอินมากนักในแต่ละ ดราม่า หรือ ความรักต่าง เลยแบบกึ่งกลางๆไปทั้งหมด แอคชั่นก็จัดเต็มให้ 3 ฉากหลักๆแต่ส่วนนี้พอเข้าใจได้ว่าไม่ได้เน้นครับ จะไปเน้นเรื่องราวของตัวละครหลายๆคนมากกว่า แต่น่าเสียดายมันไม่สุดทั้ง คู่ของ ไดอาน่า สตีฟเอง มีฉากซึ้งๆอันนี้ถือว่าทำได้ดีในช่วงนึง แต่ส่วนอื่นๆกลับทำได้ไม่เด่นมากนัก รวมถึง ความสัมพัทธ์ของ คู่อื่นๆทั้ง ตัวร้าย พ่อลูก เอง หรือแม้จะเป็น ตัวชีตาร์เองนั้นที่น่าจะลงลึกไปได้มากกว่านี้ถ้ามองในแง่หนัง 2.30 ชั่วโมง ทำให้มันพลาดจุดพีคๆในการเข้าถึงไปเยอะ แต่จะไปเน้นฉาก บิน หรือ โชว์ของตัว WW มากกว่าอันนี้พอเข้าใจว่าจะเซอร์วิสแฟนๆหลายๆส่วนแต่ก็แอบเยอะเกินไป ทำให้เนื้อเรื่องนั้นดี แต่การเล่าเรื่องในภาพรวมทั้ง 2 ชั่วโมงครึ่งกลับไม่กระชับเท่าที่ควรและทำให้พลาดจุดพีคๆไปไม่ได้เน้นมาก
นักแสดงอันนี้ส่วนตัวไม่ติดปัญหาเลยแม้แต่น้อย ทั้งทาง กัล กาโดท เอง หรือแม้จะเป็น ตัวร้ายอย่าง คริสเตน วิก และ เพโดร ปาสคาล รวมถึง ทาง คริส ไพน์ ต้องบอกเลยว่าแต่ละคนนั้นแสดงออกมาได้ดีมากๆ ยิ่ง คริสเตร วิก คือเป็นนักแสดงที่พลิกบทบาท ทั้งช่วงต้นของเรื่อง และ หลังของเรื่องได้ดีมากๆ แสดงได้เข้าถึงและเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจน รวมถึงทาง เพโดร ปาสคาล เองนั้นในชื่อ Max Lord ก็ทำออกมาได้ลงตัว แต่น่าเสียดายอย่างที่บอกไปว่า บทน่าจะลงลึกในส่วนของ ความสัมพัทธ์ได้ดีกว่านี้ ทั้งระหว่างตัวร้ายด้วยกัน พ่อลูก หรือจะเป็น ไดอาน่า กับทาง บาบารา เองก็ตามครับไม่งั้นหนังจะลงตัวมากกว่านี้ แต่ก็เป็นหนังที่ดูแล้ว อบอุ่น ความรักในแต่ละคน และ พ่อลูกต่างๆ ให้ความหวังได้ดีมากๆ ในการเล่าเรื่องกับตัวละคร แต่ถ้าลงสุดมากกว่านี้จะเป็นหนังที่ลงตัวและดีมากๆเรื่องนึง
งานภาพนั้นส่วนตัวยังคงชอบในแง่ของมุมมองและโทนของหนังที่พยายามสื่อถึงยุค 80s ได้ดี แต่ฉากมี CG น่าจะเนียนกว่านี้ได้ชัดๆ 1 ฉากครับ จริงๆบางฉากไม่ต้องใส่มาก็ได้เพราะไม่ได้มีผลมากนัก แต่ในส่วนอื่นๆนั้นก็ถือว่างานภาพยังคงเด่นและไว้ใจได้ ไม่ได้สโลว์เยอะเกิน และเล่นกับมุมมองได้ดี แต่อาจจะไม่ได้หวือหวามากนักครับ ส่วนเพลงประกอบ ยังคงไว้ใจได้กับ Hans Zimmer รอบนี้ปรับเข้ากับธีมหนังได้ดี มีเพลงติดหูเช่นเดิม แต่ความแปลกใหม่แอบน้อยไปนิด มีการใช้เพลงเดียวกับ BVS เข้ามาด้วยปรับแต่งใหม่ แต่เพลงธีมใหม่ๆยังไม่ค่อยหลากหลายหรือติดหูเท่าไรนัก และ เพลงยุค 80s น่าจะใส่เข้ามาได้มากกว่านี้ในบางฉากอันนี้แอบน่าเสียดายเลย
โดยรวม ถ้ามองว่าเป็นภาคต่อส่วนตัวชอบ ภาคนี้มากกว่าภาคแรกในหลายๆเรื่องทั้งเรื่องของความลงตัวความกลมกล่อมของตัวหนัง และการที่ใส่อะไรหลายๆอย่างเข้ามาที่เป็นการ เซอร์วิสแฟนๆ ทั้งเรื่อง ความสามารถของตัวละคร เครื่องบินต่างๆที่ แฟนๆน่าจะเข้าใจกันดี รวมถึง ตัวละคร ตัวร้ายที่คุ้นเคยกัน และ End Credit ที่ต้องร้องว้าว เพราะได้ WW รุ่นซีรีย์ดั้งเดิมมาร่วม แจมในอีกบทบาทครับ เป็นการเซอร์วิสแบบเต็มที่ แต่ถ้ามองในมุมมองของคนทั่วไป หนังจะไม่สามารถอธิบายได้หลายๆอย่าง ว่ามี หิน Dreamstone ทำอะไรได้ยังไงบ้าง และพกวนี้ทำให้คนอาจจะมองว่าเวอร์เกินไป ทำไมทำแบบนั้นได้ เพราะตัวหนังก็ไม่ได้อธิบายด้วยเช่นกันครับ ก็อาจจะเป็นข้อเสียอย่างนึง และ การเล่าเรื่อง เน้นโชว์มากขึ้นทำให้ยืดเยื้อไปบ้าง ก็เป็นจุดหลักๆที่น่าเสียดาย และไม่สุดซักทางเท่าไรเช่นกัน แต่ฉากแอคชั่นส่วนตัวว่าไม่ต้องเยอะแบบนี้ดีแล้ว แต่แค่เล่าเรื่องให้มันสุดในเรื่องของความรัก หรือ เรื่องราวได้มากกว่านี้จะลงตัวเลยทีเดียวครับ
By Nineztr
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้