เรื่องราวของพระเยซูโดยรวมแล้วท่านไม่ได้มาสร้างศาสนาคริสต์ ท่านไม่ได้เป็นพระเจ้าแต่ท่านเป็นเมสิยาห์(ผู้ไถ่)และกษัตริย์ของมนุษยชาติมีอำนาจอยู่เหนือทุกสิ่งแต่อยู่ภายใต้พระยาเวห์ผู้สูงสุดหนึ่งเดียวตามคำทำนายในศาสนายูดาห์ ท่านไม่เคยสร้างหลักข้อเชื่อใหม่ๆที่ขัดแย้งกับศาสนายูดาห์เลย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสาวกรุ่นหลังขาดความเข้าใจในศาสนายูดาห์จึงเอาความเชื่อในศาสนาเดิมของตนมาผสมกับเรื่องราวของพระเยซูที่ได้ยินคำบอกเล่าต่อกันมาเกิดเป็นข้อเชื่อใหม่ๆของตนเอง เกิดเป็นศาสนาคริสต์นิกายต่างๆที่มีหลักข้อเชื่อขัดแย้งกับสาระสำคัญในศาสนายูดาห์ เช่นหลักตรีเอกานุภาพ ทำให้พระเยซูกลายเป็นพระเจ้าไป พิธีกรรมศักดิ์สิทธิต่างๆซึ่งไม่มีในศาสนายูดาห์ ประเพณีทางศาสนาต่างๆที่กำหนดกันขึ้นมาเอง แม้กระทั่งวันคริสต์มาสเดิมทีก็เป็นบูชาเทพโรมัน(ศาสนายูดาห์ไม่ฉลองครบรอบวันเกิดประจำปี การฉลองวันเกิดเป็นประเพณีบูชาเทพประจำตัวตามตำนานพื้นบ้านยุโรปซึ่งใช้ขนมอบและเทียนประกอบพิธีกรรม แต่ชาวยิวจะมีพิธีการเมื่อครบกำหนดแต่ละช่วงอายุ เช่นครบ13ปีถือว่าเป็นผู้ใหญ่เป็นต้น . พระเยซูสั่งให้ใช้การกินอาหารในพิธีปัสกาของยิวเพื่อระลึกถึงความตายของท่านไม่ใช่วันเกิด) หรือธรรมเนียมการตกแต่งต้นไม้ก็มีที่มาจากความเชื่อในภูติผีตามตำนานพื้นบ้านหรือวันอีสเตอร์ก็มีที่มาจากการบูชาเทพีเอสตร้า เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิเป็นต้น(มีไข่และกระต่ายและพืชงอกใหม่เป็นสัญลักษณ์) แก้ไขรายละเอียดเทศกาลปัสกา ดังนั้นในทางทฤษฎีแล้วศาสนาคริสต์ไม่ใช่ศาสนาของพระยาเวห์หรือของพระเยซู แต่เป็นอีกศาสนาหนึ่งที่เอาเรื่องราวของพระยาเวห์/พระเยซูมาต่อยอดเป็นศาสนาใหม่ ถ้ามองในมุมศาสนาดั้งเดิมแล้วศาสนาคริสต์อาจเรียกได้ว่าเป็นศาสนานอกรีตก็เป็นได้ เพราะมีการดัดแปลงต่อเติมคำสอนให้แตกต่างขัดแย้งกับศาสนาเดิม จุดสังเกตุอีกประการคือพระเยซูบอกสาวกให้ไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวกของท่าน จุดนี้ไม่ใช่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ให้เผยแพร่ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูคือเมสิยาห์ที่ปลดปล่อยบาปซึ่งถูกฆ่าและคืนชีพและจะมาปกครองมนุษย์ตามคำทำนายในศาสนายูดาห์ออกไปทั่วโลก แต่สาวกได้ตกลงกันว่าจะไม่บังคับให้ชาวต่างชาติต้องยึดถือตามธรรมเนียมยูดาห์เพราะจะเป็นอุปสรรคกับชาวต่างชาติมากเกินไป(แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะตั้งธรรมเนียมอะไรขึ้นมาใหม่ได้ตามอำเภอใจ) ดังนั้นแล้วสำหรับคนที่สนใจเรื่องพระเจ้าอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าพระเจ้า=ศาสนาคริต์
มุมมองอีกแง่หนึ่งเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสาวกรุ่นหลังขาดความเข้าใจในศาสนายูดาห์จึงเอาความเชื่อในศาสนาเดิมของตนมาผสมกับเรื่องราวของพระเยซูที่ได้ยินคำบอกเล่าต่อกันมาเกิดเป็นข้อเชื่อใหม่ๆของตนเอง เกิดเป็นศาสนาคริสต์นิกายต่างๆที่มีหลักข้อเชื่อขัดแย้งกับสาระสำคัญในศาสนายูดาห์ เช่นหลักตรีเอกานุภาพ ทำให้พระเยซูกลายเป็นพระเจ้าไป พิธีกรรมศักดิ์สิทธิต่างๆซึ่งไม่มีในศาสนายูดาห์ ประเพณีทางศาสนาต่างๆที่กำหนดกันขึ้นมาเอง แม้กระทั่งวันคริสต์มาสเดิมทีก็เป็นบูชาเทพโรมัน(ศาสนายูดาห์ไม่ฉลองครบรอบวันเกิดประจำปี การฉลองวันเกิดเป็นประเพณีบูชาเทพประจำตัวตามตำนานพื้นบ้านยุโรปซึ่งใช้ขนมอบและเทียนประกอบพิธีกรรม แต่ชาวยิวจะมีพิธีการเมื่อครบกำหนดแต่ละช่วงอายุ เช่นครบ13ปีถือว่าเป็นผู้ใหญ่เป็นต้น . พระเยซูสั่งให้ใช้การกินอาหารในพิธีปัสกาของยิวเพื่อระลึกถึงความตายของท่านไม่ใช่วันเกิด) หรือธรรมเนียมการตกแต่งต้นไม้ก็มีที่มาจากความเชื่อในภูติผีตามตำนานพื้นบ้านหรือวันอีสเตอร์ก็มีที่มาจากการบูชาเทพีเอสตร้า เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิเป็นต้น(มีไข่และกระต่ายและพืชงอกใหม่เป็นสัญลักษณ์) แก้ไขรายละเอียดเทศกาลปัสกา ดังนั้นในทางทฤษฎีแล้วศาสนาคริสต์ไม่ใช่ศาสนาของพระยาเวห์หรือของพระเยซู แต่เป็นอีกศาสนาหนึ่งที่เอาเรื่องราวของพระยาเวห์/พระเยซูมาต่อยอดเป็นศาสนาใหม่ ถ้ามองในมุมศาสนาดั้งเดิมแล้วศาสนาคริสต์อาจเรียกได้ว่าเป็นศาสนานอกรีตก็เป็นได้ เพราะมีการดัดแปลงต่อเติมคำสอนให้แตกต่างขัดแย้งกับศาสนาเดิม จุดสังเกตุอีกประการคือพระเยซูบอกสาวกให้ไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวกของท่าน จุดนี้ไม่ใช่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ให้เผยแพร่ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูคือเมสิยาห์ที่ปลดปล่อยบาปซึ่งถูกฆ่าและคืนชีพและจะมาปกครองมนุษย์ตามคำทำนายในศาสนายูดาห์ออกไปทั่วโลก แต่สาวกได้ตกลงกันว่าจะไม่บังคับให้ชาวต่างชาติต้องยึดถือตามธรรมเนียมยูดาห์เพราะจะเป็นอุปสรรคกับชาวต่างชาติมากเกินไป(แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะตั้งธรรมเนียมอะไรขึ้นมาใหม่ได้ตามอำเภอใจ) ดังนั้นแล้วสำหรับคนที่สนใจเรื่องพระเจ้าอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าพระเจ้า=ศาสนาคริต์