นับเป็นเวลา 25 ปีแล้วที่ ฌอง-มาร์ค บอสแมน กองกลางชาวเบลเยียมถูกศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปตัดสินให้เป็นผู้ชนะคดีจนนำไปสู่การพลิกโฉมหน้าของกฏการย้ายทีมแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การเปลี่ยนแปลงกฏการว่าจ้างนี้ หมายความว่านักฟุตบอลสามารถติดต่อเจรจากับทีมใหม่ได้ทันทีที่เข้าสู่ 6 เดือนสุดท้ายของสัญญา โดยที่สโมสรใหม่ไม่ต้องจ่ายค่าตัวสักบาท
แม้จะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอล แต่ใครกันแน่คือนักเตะที่ดีที่สุดจาก "กฏบอสแมน" และประสบความสำเร็จมากที่สุดหลังกฎนี้ถูกบัญญัติขึ้นมา
นี่คือสุดยอด 10 ผู้เล่นที่ย้ายทีมด้วย "กฏบอสแมน" ซึ่ง บีบีซี สปอร์ต ได้รวบรวมมา
1. โซล แคมป์เบลล์ - ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ไป อาร์เซนอล (ปี 2001)
แชมป์หลังย้ายทีม - พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2001-2002, 2003-2004 / เอฟเอ คัพ 2002, 2005
“ไก่เดือยทอง” เสนอสัญญาใหม่ให้กับปราการหลังทีมชาติอังกฤษ ด้วยค่าเหนื่อยมากที่สุดในลีก ณ เวลานั้น แต่ “บิ๊กโซล” ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวแล้วย้ายไปอยู่กับศัตรูตัวฉกาจอย่าง “ปืนใหญ่”
“มันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ” แคมป์เบลล์ กล่าว “ผมอาจจะได้รับเงินก้อนโตหากผมย้ายไปเล่นต่างประเทศ แต่ผมรู้สึกได้ว่า พรีเมียร์ลีก คือสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับผม”
“จูดาส” คือ สมญานามที่เขาได้รับจากแฟนๆ สเปอร์ส ตลอดการค้าแข้ง แต่ แคมป์เบลล์ ก็ไม่สนคำครหา และยังเป็นกำลังสำคัญของ อาร์เซนอล ในการคว้าถ้วยรางวัลมาประดับสโมสร ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลีก 2 สมัย และยังเคยทำประตูในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2006 ที่พ่ายให้กับ บาร์เซโลนา ไป 1-2
2. ซลาตัน อิบราฮิโมวิช - ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ปี 2016)
แชมป์หลังย้ายทีม - ลีก คัพ 2017 / ยูโรปา ลีก 2017
เขาเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่สุดปัง ซลาตัน คือยอดดาวยิงในโลกแห่งฟุตบอลและยังเป็นนักเตะที่มีค่าตัวกระฉูด หัวหอกนาม “พระเจ้า” ยิงประตูถล่มทลายจนเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของ เปแอสเช เมื่ออายุ 30 กะรัต
แต่เมื่อซัมเมอร์ปี 2016 การย้ายมายังถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยกฏบอสแมน กลับเต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์เชิงสบประมาทในวงกว้าง เพราะอายุอานามก็ล่วงเลยมาถึงวัย 34 ปี หลายคนต่างคาดคะเนกันว่า ซลาตัน ได้เลยจุดพีคไปแล้ว เหมาะที่จะเป็นซูเปอร์ซับมากกว่าตัวจริง
อย่างไรก็ตาม ผลงาน 28 ประตูจาก 46 นัดในฤดูกาลแรกกับ “ปิศาจแดง” ก็ตอกหน้าบรรดานักวิจารณ์ได้จนหมดสิ้น และยังเป็นหนึ่งในผู้ทำประตูในลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 2017 ที่ชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1 เสกถ้วยแชมป์ให้ โชเซ มูรินโญ ได้ 2 ใบ รวมถึงยูโรปาลีกที่ชนะ อาแจกซ์ 2-0 ด้วย
จากนั้น “อิบรา” ก็ย้ายไปยิงประตูอย่างถล่มถลายที่ แอลเอ กาแล็กซี่ ในปี 2018 และอีกครั้งที่ เอซี มิลาน ในฤดูกาล 2019-2020 ด้วยการย้ายทีมแบบไร้ค่าตัว หรือเราอาจเรียก ซลาตัน ว่าเป็น "ราชาแห่งกฏบอสแมน” ตัวจริงก็คงไม่ผิดนัก
3. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี - โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไป บาเยิร์น มิวนิค (ปี 2014)
แชมป์หลังย้ายทีม - บุนเดสลีกา 6 สมัยซ้อน ตั้งแต่ ฤดูกาล 2014-2015 ถึง ฤดูกาล 2019-2020 / แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 2016, 2019, 2020 / ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2020
นี่อาจจะเป็นการย้ายทีมที่คุ้มค่าที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกมลูกหนังเลยก็ว่าได้ และ “เสือเหลือง” ก็มีเหตุผลพอที่จะไม่ไปโกรธแค้นคำตัดสินคดีในศาลของ บอสแมน เมื่อปี 1995
เลวานดอฟสกี ไม่ใช่ผู้เล่นคนแรกหรือคนสุดท้ายที่ย้ายออกจากถิ่น “เวสต์ฟาเลน” ไปยัง “อัลลิอันซ์ อารีนา” เพราะก่อนหน้านี้ก็มีหลายรายที่กลายร่างจาก “เสือเหลือง” ไปเป็น “เสือใต้" แต่การจากไปของเขาน่าจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเหล่ากองเชียร์ “เยลโล่วอลล์” ไม่น้อย
ตัวเลขที่ เลวานดอฟสกี ยิงไปถึงประตู 250 ลูกจาก 201 นัดที่ลงสนามให้ บาเยิร์น (นับจากสถิติล่าสุด) ถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าแฟนบอลดอร์ทมุนด์ต้องเสียดายกับการย้ายทีมครั้งนี้ หนำซ้ำเขายังพาคู่แข่งกวาดแชมป์ลีกไปถึง 6 สมัยซ้อน แถมฤดูกาลล่าสุดยังคว้า แชมเปียนส์ลีก มาครอง และยังได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี 2020 ของ ฟีฟ่า อีก
ที่น่าทึ่งคือ การย้ายทีมของเขาเกิดขึ้นโดยที่ “เสือใต้” ไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาท
4. แกรี แม็คอัลลิสเตอร์ - โคเวนทรี ซิตี้ ไป ลิเวอร์พูล (ปี 2000)
แชมป์หลังย้ายทีม - เอฟเอ คัพ 2001 / ลีก คัพ 2001 / ยูฟ่า คัพ 2001
เชราร์ อุลลิเยร์ สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการลูกหนังเมืองผู้ดี เมื่อเขาต้องการคว้าตัว แม็คอัลลิสเตอร์ ในวัย 35 ปี จากทีมขาประจำในการหนีตกชั้นอย่าง โคเวนทรี ซิตี้ มายังถิ่นแอนฟิลด์
เพราะในซัมเมอร์เดียวกัน “หงส์แดง” ก็จ่ายเงินซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นิค บาร์มบี, คริสเตียน ซีเก รวมถึง มาร์คุส บับเบิล ที่ย้ายมาด้วยกฎบอสแมนเช่นเดียวกัน
แต่สำหรับ อุลลิเยร์ เขากล่าวถึงนักเตะรายนี้ว่า “เขาเป็นผู้เล่นที่ดลใจให้ผมอยากเซ็นเขามาร่วมทีมมากที่สุด” ขณะที่ดาวรุ่งไฟแรงอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด กำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลัก
แม็คอัลลิสเตอร์ ถูกจับให้เป็นผู้รับเหมาเล่นลูกตั้งเตะประจำทีม หากใครยังจำได้ ขอให้นึกถึงประตูสุดคลาสสิกที่ซัดจากระยะเกือบครึ่งสนามใส่ เอฟเวอร์ตัน หรือแม้แต่จุดโทษที่เขายิง บาร์เซโลนา และ เบอร์มิงแฮม รวมถึงฟรีคิกใน ยูฟ่า คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 2001 กับ อลาเบส
เขาคือผู้เล่นคนสำคัญในฤดูกาลที่ “หงส์แดง” คว้าทริปเปิลแชมป์
5. สตีฟ แม็คมานามาน - ลิเวอร์พูล ไป เรอัล มาดริด (ปี 1999)
แชมป์หลังย้ายทีม - ลา ลีกา ฤดูกาล 2000-2001, 2002-2003 / ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2000, 2002
เขาอาจเป็นนักเตะชื่อดังของทีมชาติอังกฤษคนแรกๆ ที่ได้ประโยชน์จากกฎบอสแมนในการคว้าโอกาสย้ายไปค้าแข้งในต่างแดน และการที่เขาได้ร่วมงานกับ เรอัล มาดริด ก็ถือเป็นเป็นข่าวใหญ่ ณ เวลานั้นเลยทีเดียว
ก่อนหน้านั้นราว 2-3 ปี ปีกสัญชาติผู้ดีเกือบได้ย้ายไปร่วมทัพ บาร์เซโลนา เมื่อปี 1997 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ แต่การเจรจาเรื่องสัญญากินเวลายาวนานจนไม่ได้บทสรุป อย่างไรก็ตาม “แม็คกา” ได้บอกอยู่เสมอว่าเขาอยากออกไปเล่นลีกนอกประเทศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ข้อสงสัยเกี่ยวกับทักษะและความสามารถในการเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ได้ชื่อว่า “กาลาคติกอส” ถูกเก็บเข้ากรุไป เมื่อเขาซัดประตูใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ปี 2000 พา “ราชันชุดขาว” ถล่ม บาเลนเซีย 3-0 ส่งผลให้ แม็คมานามาน เป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกที่คว้าถ้วย “บิ๊กเอียร์” กับทีมนอกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จ
6. เจมส์ มิลเนอร์ - แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป ลิเวอร์พูล (ปี 2015)
แชมป์หลังย้ายทีม - พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019-2020 / ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2019
มิลเนอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 ครั้ง สมัยค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนตัดสินใจเดินทางข้ามถนนสาย M62 มายังทีมคู่แข่งร่วมลีก หลัง “เรือใบสีฟ้า” ไม่ต่อสัญญากับเขา
เหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” ต่างพากันสงสัยว่าดีลนี้ให้ประโยชน์อะไรแก่ทีมรักพวกเขาบ้าง แต่ตอนนี้ก็กระจ่างแล้ว
มิลเนอร์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ใน 2 ปีแรกกับ ลิเวอร์พูล ภายใต้การทำทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ในตำแหน่งแบ็กซ้าย แต่เขาก็ยังเป็นสุดยอดนักเตะอเนกประสงค์ที่ไว้ใจได้ในทุกตำแหน่งที่ลงเล่น เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือคุณภาพที่เขาตอบแทนให้กับแฟนบอลในทุกๆ นาทีที่ลงสนาม
7. เจย์-เจย์ โอโคชา - ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไป โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส (ปี 2002)
ดีลของจอมลากเลื้อยชาวไนจีเรียจาก ปาร์ก เดส์ แปร็งส์ ไป รีบอค สเตเดียม อาจดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่นี่คือสุดยอดความอัจฉริยะที่ แซม อัลลาร์ไดซ์ ได้ฝากไว้สมัยเป็นกุนซือโบลตัน
เฟร์นานโด เอียร์โร, อีบัน คัมโป, ยูริ จอร์เกฟฟ์ รายชื่อเหล่านี้ “บิ๊กแซม” ล้วนดึงมาเพื่อเป็นกำลังเสริม แต่ โอโคชา นั้นคือกำลังหลักของทีมจริงๆ ชนิดขาดไม่ได้
เขาคือผู้เล่นที่มักสร้างความตื่นตะลึงให้ได้เห็นเป็นประจำ ทั้งลูกไขว้, เรนโบว์ ฟลิคส์, ลูกยิงไกล หรือแม้แต่การซัดฟรีคิกสวยๆ ทั้งหมดนี้บอกได้เลยว่าเขานี่แหละคือ “ของจริง"
8. อันเดรีย ปิร์โล - เอซี มิลาน ไป ยูเวนตุส (ปี 2011)
แชมป์หลังย้ายทีม - เซเรีย อา 4 สมัยซ้อน ตั้งแต่ฤดูกาล 2011-2012 ถึงฤดูกาล 2014-2015 / โคปปา อิตาเลีย 2015
“ตอนที่ อันเดรีย บอกผมว่า เขาจะย้ายทีมมาเล่นกับพวกเรา สิ่งแรกที่ผมคิดเลยนะ “โอ้! พระเจ้ามีจริง!” นักเตะระดับเขาและความสามารถทั้งหมด พูดไปก็ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะย้ายทีมแบบฟรีๆ ผมคิดว่ามันเป็นการเซ็นสัญญาแห่งศตวรรษเลยล่ะ”
หากดูจากฝีเท้าของเขาคงไม่มีใครอยากโต้แย้งคำยืนยันจากปากของตำนาน “ม้าลาย” ยูเวนตุส อย่าง จานลุยจิ บุฟฟอน
ปิร์โล เป็นตัวสำรองเสียส่วนใหญ่ในฤดูกาลสุดท้ายกับ มิลาน ก่อนร่วมทัพ ยูเว ในวัย 32 ปี แต่การย้ายมาที่นี่เขาอาจเป็นเพียงตัวเลือกเสริมบนม้านั่งข้างสนาม
แต่ช้าก่อน! ปิร์โล เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของ “ม้าลาย” ในยุคที่ อันโตนิโอ คอนเต กุมบังเหียน พาทีมคว้า "สคูเด็ตโต" ถึง 4 สมัยซ้อน ขณะที่ ปิร์โล ยังอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของอาชีพการค้าแข้ง
ความสำเร็จมากมายที่เคยสร้างให้กับสโมสร ทำให้ตอนนี้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนปัจจุบันของ ยูเวนตุส
9. กุสตาโว โปเยต์ - เรอัล ซาราโกซา ไป เชลซี (ปี 1997)
แชมป์หลังย้ายทีม - เอฟเอ คัพ 2000 / ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1998 / ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 1998
โปเยต์ เปรียบเสมือนผู้เล่นโนเนมสำหรับแฟนบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อตอนที่ถูกเซ็นมาแบบไร้ค่าตัวจาก ซาราโกซา แต่เขากลับสร้างความอันตรายทันทีที่ได้ลงสนาม ด้วยทักษะในการหาโอกาสเข้าทำประตูที่ยอดเยี่ยมจากตำแหน่งมิดฟิลด์
เขาคือเทพแห่งลูกกลางอากาศและการวอลเลย์ยิงอันเด็ดขาด กองกลางชาวอุรุกวัย ทำ 2 ประตูใน เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ปี 2000 และทำไปถึง 49 ประตูในช่วงเวลาเพียง 145 เกม ก่อนผันตัวไปเป็นผู้จัดการทีม
10. จานลูกา วิอัลลี - ยูเวนตุส ไป เชลซี (ปี 1996)
แชมป์หลังย้ายทีม - เอฟเอ คัพ 1997, 2000 (ในฐานะผู้จัดการทีม) / ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1998 (ในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการทีม) / ลีก คัพ 1998 (ในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการทีม)
ปี 1992 วิอัลลี ย้ายจาก ซามพ์โดเรีย มายัง ยูเวนตุส ด้วยค่าตัวสถิติโลกในเวลานั้นที่ 12.5 ล้านปอนด์ (512 ล้านบาท) ก่อนที่ 4 ปีต่อมา รุด กุลลิท จะเซ็นเขามาร่วมงานในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แบบไร้ค่าตัว
ตลอดเวลาที่ค้าแข้งกับ “สิงห์บลู” เขาเข้ามาเป็นกำลังหลักของทีม ก่อนขึ้นมารับตำแหน่งกุนซือต่อจาก กุลลิท และทำสถิติเป็นผู้จัดการทีมอายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์บอลถ้วยของ ยูฟ่า ในศึกคัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1998 ด้วยวัยเพียง 34 ปีเท่านั้น
3 แชมป์ระดับเมเจอร์ในฐานะกุนซือเชลซี และผลงาน 40 ประตูจาก 88 นัด ทำให้ วิอัลลี เข้ามาอยู่ในลิสต์นี้ได้อย่างไร้ข้อกังขา
credit : www.thairath.co.th
25 ปีแห่ง กฎบอสแมน ใครคือสุดยอดนักเตะไร้ค่าตัว
การเปลี่ยนแปลงกฏการว่าจ้างนี้ หมายความว่านักฟุตบอลสามารถติดต่อเจรจากับทีมใหม่ได้ทันทีที่เข้าสู่ 6 เดือนสุดท้ายของสัญญา โดยที่สโมสรใหม่ไม่ต้องจ่ายค่าตัวสักบาท
แม้จะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอล แต่ใครกันแน่คือนักเตะที่ดีที่สุดจาก "กฏบอสแมน" และประสบความสำเร็จมากที่สุดหลังกฎนี้ถูกบัญญัติขึ้นมา
นี่คือสุดยอด 10 ผู้เล่นที่ย้ายทีมด้วย "กฏบอสแมน" ซึ่ง บีบีซี สปอร์ต ได้รวบรวมมา
1. โซล แคมป์เบลล์ - ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ไป อาร์เซนอล (ปี 2001)
แชมป์หลังย้ายทีม - พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2001-2002, 2003-2004 / เอฟเอ คัพ 2002, 2005
“ไก่เดือยทอง” เสนอสัญญาใหม่ให้กับปราการหลังทีมชาติอังกฤษ ด้วยค่าเหนื่อยมากที่สุดในลีก ณ เวลานั้น แต่ “บิ๊กโซล” ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวแล้วย้ายไปอยู่กับศัตรูตัวฉกาจอย่าง “ปืนใหญ่”
“มันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ” แคมป์เบลล์ กล่าว “ผมอาจจะได้รับเงินก้อนโตหากผมย้ายไปเล่นต่างประเทศ แต่ผมรู้สึกได้ว่า พรีเมียร์ลีก คือสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับผม”
“จูดาส” คือ สมญานามที่เขาได้รับจากแฟนๆ สเปอร์ส ตลอดการค้าแข้ง แต่ แคมป์เบลล์ ก็ไม่สนคำครหา และยังเป็นกำลังสำคัญของ อาร์เซนอล ในการคว้าถ้วยรางวัลมาประดับสโมสร ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลีก 2 สมัย และยังเคยทำประตูในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2006 ที่พ่ายให้กับ บาร์เซโลนา ไป 1-2
2. ซลาตัน อิบราฮิโมวิช - ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ปี 2016)
แชมป์หลังย้ายทีม - ลีก คัพ 2017 / ยูโรปา ลีก 2017
เขาเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่สุดปัง ซลาตัน คือยอดดาวยิงในโลกแห่งฟุตบอลและยังเป็นนักเตะที่มีค่าตัวกระฉูด หัวหอกนาม “พระเจ้า” ยิงประตูถล่มทลายจนเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของ เปแอสเช เมื่ออายุ 30 กะรัต
แต่เมื่อซัมเมอร์ปี 2016 การย้ายมายังถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยกฏบอสแมน กลับเต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์เชิงสบประมาทในวงกว้าง เพราะอายุอานามก็ล่วงเลยมาถึงวัย 34 ปี หลายคนต่างคาดคะเนกันว่า ซลาตัน ได้เลยจุดพีคไปแล้ว เหมาะที่จะเป็นซูเปอร์ซับมากกว่าตัวจริง
อย่างไรก็ตาม ผลงาน 28 ประตูจาก 46 นัดในฤดูกาลแรกกับ “ปิศาจแดง” ก็ตอกหน้าบรรดานักวิจารณ์ได้จนหมดสิ้น และยังเป็นหนึ่งในผู้ทำประตูในลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 2017 ที่ชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1 เสกถ้วยแชมป์ให้ โชเซ มูรินโญ ได้ 2 ใบ รวมถึงยูโรปาลีกที่ชนะ อาแจกซ์ 2-0 ด้วย
จากนั้น “อิบรา” ก็ย้ายไปยิงประตูอย่างถล่มถลายที่ แอลเอ กาแล็กซี่ ในปี 2018 และอีกครั้งที่ เอซี มิลาน ในฤดูกาล 2019-2020 ด้วยการย้ายทีมแบบไร้ค่าตัว หรือเราอาจเรียก ซลาตัน ว่าเป็น "ราชาแห่งกฏบอสแมน” ตัวจริงก็คงไม่ผิดนัก
3. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี - โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไป บาเยิร์น มิวนิค (ปี 2014)
แชมป์หลังย้ายทีม - บุนเดสลีกา 6 สมัยซ้อน ตั้งแต่ ฤดูกาล 2014-2015 ถึง ฤดูกาล 2019-2020 / แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 2016, 2019, 2020 / ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2020
นี่อาจจะเป็นการย้ายทีมที่คุ้มค่าที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกมลูกหนังเลยก็ว่าได้ และ “เสือเหลือง” ก็มีเหตุผลพอที่จะไม่ไปโกรธแค้นคำตัดสินคดีในศาลของ บอสแมน เมื่อปี 1995
เลวานดอฟสกี ไม่ใช่ผู้เล่นคนแรกหรือคนสุดท้ายที่ย้ายออกจากถิ่น “เวสต์ฟาเลน” ไปยัง “อัลลิอันซ์ อารีนา” เพราะก่อนหน้านี้ก็มีหลายรายที่กลายร่างจาก “เสือเหลือง” ไปเป็น “เสือใต้" แต่การจากไปของเขาน่าจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเหล่ากองเชียร์ “เยลโล่วอลล์” ไม่น้อย
ตัวเลขที่ เลวานดอฟสกี ยิงไปถึงประตู 250 ลูกจาก 201 นัดที่ลงสนามให้ บาเยิร์น (นับจากสถิติล่าสุด) ถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าแฟนบอลดอร์ทมุนด์ต้องเสียดายกับการย้ายทีมครั้งนี้ หนำซ้ำเขายังพาคู่แข่งกวาดแชมป์ลีกไปถึง 6 สมัยซ้อน แถมฤดูกาลล่าสุดยังคว้า แชมเปียนส์ลีก มาครอง และยังได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี 2020 ของ ฟีฟ่า อีก
ที่น่าทึ่งคือ การย้ายทีมของเขาเกิดขึ้นโดยที่ “เสือใต้” ไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาท
4. แกรี แม็คอัลลิสเตอร์ - โคเวนทรี ซิตี้ ไป ลิเวอร์พูล (ปี 2000)
แชมป์หลังย้ายทีม - เอฟเอ คัพ 2001 / ลีก คัพ 2001 / ยูฟ่า คัพ 2001
เชราร์ อุลลิเยร์ สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการลูกหนังเมืองผู้ดี เมื่อเขาต้องการคว้าตัว แม็คอัลลิสเตอร์ ในวัย 35 ปี จากทีมขาประจำในการหนีตกชั้นอย่าง โคเวนทรี ซิตี้ มายังถิ่นแอนฟิลด์
เพราะในซัมเมอร์เดียวกัน “หงส์แดง” ก็จ่ายเงินซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นิค บาร์มบี, คริสเตียน ซีเก รวมถึง มาร์คุส บับเบิล ที่ย้ายมาด้วยกฎบอสแมนเช่นเดียวกัน
แต่สำหรับ อุลลิเยร์ เขากล่าวถึงนักเตะรายนี้ว่า “เขาเป็นผู้เล่นที่ดลใจให้ผมอยากเซ็นเขามาร่วมทีมมากที่สุด” ขณะที่ดาวรุ่งไฟแรงอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด กำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลัก
แม็คอัลลิสเตอร์ ถูกจับให้เป็นผู้รับเหมาเล่นลูกตั้งเตะประจำทีม หากใครยังจำได้ ขอให้นึกถึงประตูสุดคลาสสิกที่ซัดจากระยะเกือบครึ่งสนามใส่ เอฟเวอร์ตัน หรือแม้แต่จุดโทษที่เขายิง บาร์เซโลนา และ เบอร์มิงแฮม รวมถึงฟรีคิกใน ยูฟ่า คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 2001 กับ อลาเบส
เขาคือผู้เล่นคนสำคัญในฤดูกาลที่ “หงส์แดง” คว้าทริปเปิลแชมป์
5. สตีฟ แม็คมานามาน - ลิเวอร์พูล ไป เรอัล มาดริด (ปี 1999)
แชมป์หลังย้ายทีม - ลา ลีกา ฤดูกาล 2000-2001, 2002-2003 / ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2000, 2002
เขาอาจเป็นนักเตะชื่อดังของทีมชาติอังกฤษคนแรกๆ ที่ได้ประโยชน์จากกฎบอสแมนในการคว้าโอกาสย้ายไปค้าแข้งในต่างแดน และการที่เขาได้ร่วมงานกับ เรอัล มาดริด ก็ถือเป็นเป็นข่าวใหญ่ ณ เวลานั้นเลยทีเดียว
ก่อนหน้านั้นราว 2-3 ปี ปีกสัญชาติผู้ดีเกือบได้ย้ายไปร่วมทัพ บาร์เซโลนา เมื่อปี 1997 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ แต่การเจรจาเรื่องสัญญากินเวลายาวนานจนไม่ได้บทสรุป อย่างไรก็ตาม “แม็คกา” ได้บอกอยู่เสมอว่าเขาอยากออกไปเล่นลีกนอกประเทศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ข้อสงสัยเกี่ยวกับทักษะและความสามารถในการเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ได้ชื่อว่า “กาลาคติกอส” ถูกเก็บเข้ากรุไป เมื่อเขาซัดประตูใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ปี 2000 พา “ราชันชุดขาว” ถล่ม บาเลนเซีย 3-0 ส่งผลให้ แม็คมานามาน เป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกที่คว้าถ้วย “บิ๊กเอียร์” กับทีมนอกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จ
6. เจมส์ มิลเนอร์ - แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป ลิเวอร์พูล (ปี 2015)
แชมป์หลังย้ายทีม - พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019-2020 / ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2019
มิลเนอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 ครั้ง สมัยค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนตัดสินใจเดินทางข้ามถนนสาย M62 มายังทีมคู่แข่งร่วมลีก หลัง “เรือใบสีฟ้า” ไม่ต่อสัญญากับเขา
เหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” ต่างพากันสงสัยว่าดีลนี้ให้ประโยชน์อะไรแก่ทีมรักพวกเขาบ้าง แต่ตอนนี้ก็กระจ่างแล้ว
มิลเนอร์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ใน 2 ปีแรกกับ ลิเวอร์พูล ภายใต้การทำทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ในตำแหน่งแบ็กซ้าย แต่เขาก็ยังเป็นสุดยอดนักเตะอเนกประสงค์ที่ไว้ใจได้ในทุกตำแหน่งที่ลงเล่น เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือคุณภาพที่เขาตอบแทนให้กับแฟนบอลในทุกๆ นาทีที่ลงสนาม
7. เจย์-เจย์ โอโคชา - ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไป โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส (ปี 2002)
ดีลของจอมลากเลื้อยชาวไนจีเรียจาก ปาร์ก เดส์ แปร็งส์ ไป รีบอค สเตเดียม อาจดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่นี่คือสุดยอดความอัจฉริยะที่ แซม อัลลาร์ไดซ์ ได้ฝากไว้สมัยเป็นกุนซือโบลตัน
เฟร์นานโด เอียร์โร, อีบัน คัมโป, ยูริ จอร์เกฟฟ์ รายชื่อเหล่านี้ “บิ๊กแซม” ล้วนดึงมาเพื่อเป็นกำลังเสริม แต่ โอโคชา นั้นคือกำลังหลักของทีมจริงๆ ชนิดขาดไม่ได้
เขาคือผู้เล่นที่มักสร้างความตื่นตะลึงให้ได้เห็นเป็นประจำ ทั้งลูกไขว้, เรนโบว์ ฟลิคส์, ลูกยิงไกล หรือแม้แต่การซัดฟรีคิกสวยๆ ทั้งหมดนี้บอกได้เลยว่าเขานี่แหละคือ “ของจริง"
8. อันเดรีย ปิร์โล - เอซี มิลาน ไป ยูเวนตุส (ปี 2011)
แชมป์หลังย้ายทีม - เซเรีย อา 4 สมัยซ้อน ตั้งแต่ฤดูกาล 2011-2012 ถึงฤดูกาล 2014-2015 / โคปปา อิตาเลีย 2015
“ตอนที่ อันเดรีย บอกผมว่า เขาจะย้ายทีมมาเล่นกับพวกเรา สิ่งแรกที่ผมคิดเลยนะ “โอ้! พระเจ้ามีจริง!” นักเตะระดับเขาและความสามารถทั้งหมด พูดไปก็ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะย้ายทีมแบบฟรีๆ ผมคิดว่ามันเป็นการเซ็นสัญญาแห่งศตวรรษเลยล่ะ”
หากดูจากฝีเท้าของเขาคงไม่มีใครอยากโต้แย้งคำยืนยันจากปากของตำนาน “ม้าลาย” ยูเวนตุส อย่าง จานลุยจิ บุฟฟอน
ปิร์โล เป็นตัวสำรองเสียส่วนใหญ่ในฤดูกาลสุดท้ายกับ มิลาน ก่อนร่วมทัพ ยูเว ในวัย 32 ปี แต่การย้ายมาที่นี่เขาอาจเป็นเพียงตัวเลือกเสริมบนม้านั่งข้างสนาม
แต่ช้าก่อน! ปิร์โล เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของ “ม้าลาย” ในยุคที่ อันโตนิโอ คอนเต กุมบังเหียน พาทีมคว้า "สคูเด็ตโต" ถึง 4 สมัยซ้อน ขณะที่ ปิร์โล ยังอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของอาชีพการค้าแข้ง
ความสำเร็จมากมายที่เคยสร้างให้กับสโมสร ทำให้ตอนนี้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนปัจจุบันของ ยูเวนตุส
9. กุสตาโว โปเยต์ - เรอัล ซาราโกซา ไป เชลซี (ปี 1997)
แชมป์หลังย้ายทีม - เอฟเอ คัพ 2000 / ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1998 / ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 1998
โปเยต์ เปรียบเสมือนผู้เล่นโนเนมสำหรับแฟนบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อตอนที่ถูกเซ็นมาแบบไร้ค่าตัวจาก ซาราโกซา แต่เขากลับสร้างความอันตรายทันทีที่ได้ลงสนาม ด้วยทักษะในการหาโอกาสเข้าทำประตูที่ยอดเยี่ยมจากตำแหน่งมิดฟิลด์
เขาคือเทพแห่งลูกกลางอากาศและการวอลเลย์ยิงอันเด็ดขาด กองกลางชาวอุรุกวัย ทำ 2 ประตูใน เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ปี 2000 และทำไปถึง 49 ประตูในช่วงเวลาเพียง 145 เกม ก่อนผันตัวไปเป็นผู้จัดการทีม
10. จานลูกา วิอัลลี - ยูเวนตุส ไป เชลซี (ปี 1996)
แชมป์หลังย้ายทีม - เอฟเอ คัพ 1997, 2000 (ในฐานะผู้จัดการทีม) / ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1998 (ในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการทีม) / ลีก คัพ 1998 (ในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการทีม)
ปี 1992 วิอัลลี ย้ายจาก ซามพ์โดเรีย มายัง ยูเวนตุส ด้วยค่าตัวสถิติโลกในเวลานั้นที่ 12.5 ล้านปอนด์ (512 ล้านบาท) ก่อนที่ 4 ปีต่อมา รุด กุลลิท จะเซ็นเขามาร่วมงานในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แบบไร้ค่าตัว
ตลอดเวลาที่ค้าแข้งกับ “สิงห์บลู” เขาเข้ามาเป็นกำลังหลักของทีม ก่อนขึ้นมารับตำแหน่งกุนซือต่อจาก กุลลิท และทำสถิติเป็นผู้จัดการทีมอายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์บอลถ้วยของ ยูฟ่า ในศึกคัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1998 ด้วยวัยเพียง 34 ปีเท่านั้น
3 แชมป์ระดับเมเจอร์ในฐานะกุนซือเชลซี และผลงาน 40 ประตูจาก 88 นัด ทำให้ วิอัลลี เข้ามาอยู่ในลิสต์นี้ได้อย่างไร้ข้อกังขา
credit : www.thairath.co.th