ถ้าเราลองแบ่งกลุ่มประเทศในโลกนี้ในแง่การสร้างเทคโนโลยี่และนวัตกรรม จะแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มประเทศที่คิดค้นเทคโนโลยี่และนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับโลกอย่างสม่ำเสมอ เช่นประเทศอังกฤษ อเมริกา เยอรมัน อิตาลี่ ฝรั่งเศส รัสเซีย
ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ประเทศเหล่านี้จะคิดค้นสิ่งใหม่ๆให้กับโลกตลอดเวลา ทำให้มวลมนุษยชาติหลายพันล้านคน
มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากขึ้น กลุ่มประเทศเหล่านี้จะมีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางเทคโนโลยี่ของโลก ว่าจะมุ่งไปในทิศทางใด
เช่น ในอีก20ปีข้างหน้า รถใช้น้ำมันจะต้องไม่มี แต่จะมีรถพลังงานไฟฟ้ามาแทนที่ ซึ่งประเทศต่างๆ ก็ได้รับอิทธิพลจากประเทศเหล่านี้และต้องปรับตัวตาม
กลุ่มประเทศเหล่านี้กล้าที่จะทุ่มงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลให้กับงานวิจัยและพัฒนา(R&D) และกล้ายอมรับความล้มเหลว หลายครั้งต้องแลกมาด้วยชีวิต
ทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้กลายเป็นผู้นำของโลก และมีความรู้และสิทธิบัตรอยู่มากมาย และสามารถเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล
2.กลุ่มประเทศที่คอยซื้อเทคโนโลยี่และนวัตกรรม จากประเทศกลุ่มแรก เช่นประเทศ ไทย ลาว พม่า เขมร อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เม็กซีโก
กลุ่มนี้จะไม่ค่อยคิดค้นสิ่งใหม่ๆ แต่จะรอให้ประเทศกลุ่มแรกคิดค้นวิจัยเทคโนโลยี่และนวัตกรรมจนสำเร็จ แล้วไปขอซื้อเพื่อนำมาใช้งาน
และมักจะเน้นการติดตั้งนวัตกรรมและการซ่อมบำรุงเท่านั้น
และมักจะขอให้ประเทศกลุ่มแรกถ่ายทอดเทคโนโลยี่ใหม่ๆให้อย่างสม่ำเสมอ
พูดง่ายๆก็คืออยู่ใน comfort zone นั่นเอง เมื่อลองเอาตัวเลขการลงทุนด้านR&D และจำนวนการจดสิทธิบัตร ของกลุ่มแรกกับกลุ่มที่สองมาเปรียบเทียบกัน
ก็จะเห็นได้ชัดว่ากลุ่มแรกมีตัวเลขสูงกว่ามาก
ที่น่าสนใจคือ ประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน เมื่อก่อน ,สมัยสงครามโลก ไม่ได้เก่งด้านเทคโนโลยี่มากไปกว่าไทยเลย
ตอนนั้นประเทศเหล่านี้อยู่กลุ่มที่สองเช่นเดียวกับไทย
สมัยนั้นคนจีนต้องอพยพมาพึ่งพาไทยด้วยซ้ำ บางทีสมัยนั้นไทยอาจจะเจริญกว่าจีนและเกาหลีใต้ก็เป็นได้
และประชากรชาวจีนเมื่อก่อนก็ปลูกข้าวและปั่นจักรยานกันทั่วทั้งประเทศ
แต่เขาสามารถย้ายตัวเองขึ้นไปอยู่กลุ่มแรกได้ ปัจจุบันจีนมีบทบาทสำคัญ
ต่อวงการเทคโนโลยี่และนวัตกรรมของโลกมาก แม้แต่อเมริกายังกังวลกับการพัฒนาเทคโนโลยี่ที่ก้าวกระโดดของจีน อเมริกาเลยบีบบังคับให้หลายๆประเทศต่อต้าน
ระบบ 5G ของจีนนั่นเอง
หลังสงครามโลกจนถึงปัจจุบัน ระยะเวลา 75 ปี ประเทศเหล่านี้เน้นพัฒนาเทคโนโลยี่และนวัตกรรมอย่างจริงจัง ถือเป็นช่วงนาทีทองที่สำคัญมาก
ปัจจุบันประเทศเหล่านี้ติดลมบนแล้ว และพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว สมัยสงครามโลกประเทศญี่ปุ่นพังยับเยินเพราะโดนระเบิดปรมณูทำลาย
จนราบคาบ แต่หลังจากนั้นเขามุ่งพัฒนาเทคโนโลยี่อย่างจริงจังและขายสินค้านวัตกรรมไปทั่วโลกจนสามารถพลิกฟื้นประเทศได้อย่างรวดเร็ว
และสามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยี่กับฝรั่งได้อย่างสบายๆ
ประเทศจีนก็ใช้เวลาเพียง 75ปี ในการพัฒนาเทคโนโลยี่และนวัตกรรม จนตอนนี้สามารถผลิตและส่งออกรถไฟความเร็วสูงไปทั่วโลกแล้ว
และยังมีโครงการอวกาศที่ก้าวหน้าไม่แพ้อเมริกา
แต่น่าเสียดายมาก ที่ไทยกลับพัฒนาเทคโนโลยี่ได้น้อยมากในช่วง 75ปีที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้เราไม่มีเทคโนโลยี่หรือนวัตกรรมที่โดดเด่นเลย เรามีแต่เทคโนโลยี่ทั่วๆไป
เท่านั้น
พวกยุโรป สมัยก่อนก็ยังคงล่าแม่มดและงมงายอยู่กับศาสนา ชีวิตขึ้นอยู่กับผลผลิตทางการเกษตร สมัยนั้นนักวิทยาศาสตร์ต้องทำงานอย่างหลบๆซ่อนๆ
ถ้าใครเปิดเผยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ออกไป อาจไปขัดกับหลักศาสนา อาจถูกทำโทษได้
ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป เครื่องจักรไอน้ำเข้ามามีบทบาทมาก เครื่องจักรไอน้ำที่ติดตั้งในโรงงานอุตสาหกรรม
สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตทางอุตสาหกรรมได้มากขึ้น ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง
ส่วนเครื่องจักรไอน้ำที่ติดตั้งบนหัวรถจักรของรถไฟก็สามารถทำให้รถไฟทั้งขบวนเคลื่อนที่ได้ ทำให้การขนส่งรวดเร็วขึ้นและกระจายสินค้าได้ไกลขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อ
เศรษฐกิจ หลังจากนั้นชาวยุโรปก็หลุดพ้นจากยุคล่าแม่มด และพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว เพราะเขาตระหนักได้ว่าเทคโนโลยี่ต่างหาก
ที่จะนำพาประเทศชาติเจริญก้าวหน้า เขาจึงเลิกล่าแม่มดและมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี่อย่างจริงจัง
ปัจจุบันยุโรปกำลังวิจัยโครงการขนาดมหึมา นั่นคือโครงการ CERN ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับอนุภาคต่างๆ เช่น อะตอม อิเล็คตรอน โปรตรอน นิวตรอน
ความรู้ที่ได้จากโครงการนี้อาจนำไปสร้างระเบิดนิวเคลียร์ที่รุนแรงกว่าเดิมหรือควอนตั้มคอมพิวเตอร์ก็เป็นได้
สมัยก่อน ถ้าถามว่าประเทศไหนเก่งที่สุดด้านเทคโนโลยี่และนวัตกรรม แน่นอนว่าต้องเป็นพวกฝรั่ง แต่ญี่ปุ่นเป็นชาติแรกในโลกและชาติเดียวในเอเซีย
ที่ไล่ตามฝรั่งอย่างกระชั้นชิด เรียกได้ว่ากัดไม่ปล่อย ถ้าฝรั่งสร้างนวัตกรรมอะไรก็ตามขึ้นมา เมื่อญี่ปุ่นเห็นปุ้ป ก็นั่งไม่ติดเลย และบอกกับตัวเองว่าจะต้อง
สร้างให้ได้บ้าง เมื่อนานมาแล้วญี่ปุ่นต้องซื้อรถยนต์และรถไฟจากฝรั่ง แต่เมื่อซื้อมาแล้ว เขาก็รื้อดูส่วนประกอบภายในและศึกษาทำความเข้าใจ
และลองสร้างตาม ซึ่งก็คือการก๊อปปี้นั่นเอง ในที่สุดเขาก็สามารถผลิตใช้เองภายในประเทศ และไม่จำเป็นต้องซื้อจากฝรั่งอีกต่อไป
และยังสามารถผลิตขายให้ฝรั่งและทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้นคนญี่ปุ่นมีจิตวิญญาณของนักประดิษฐ์ฝังอยู่ในสายเลือดอย่างแท้จริง
ซึ่งต่างจากคนไทยโดยสิ้นเชิง สมัยก่อนประเทศสวิสสามารถผลิตนาฬิกาชนิดกลไกเฟืองได้ เฟืองแต่ละตัวมีขนาดเล็กมากและมีความแม่นยำสูง
แต่อีกไม่นานญี่ปุ่นก็สามารถผลิตได้บ้าง นันก็คือยี่ห้อ SEIKO นั่นเอง นี่คือความสามารถเล็กๆน้อยๆของชาวญี่ปุ่น แค่น้ำจิ้มๆเท่านั้นเอง
สมัยก่อนเราเคยดูถูกสินค้าเทคโนโลยี่จากญี่ปุ่น ว่าเป็นสินค้าที่ก๊อปปี้มาจากฝรั่ง และมีคุณภาพแย่ เสียง่าย สินค้าที่ดีต้องมาจากฝรั่ง
แต่คนญี่ปุ่นเขาไม่ได้ก๊อปปี้เพียงอย่างเดียว เขาพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆควบคู่กันไปด้วย
ปัจจุบันสินค้าจากญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นสินค้าชั้นดี แม้แต่ฝรั่งยังให้การยอมรับ ถ้าลองไปดูถนนในอเมริกา จะเห็นรถญี่ปุ่นวิ่งเต็มไปหมด
เมื่อก่อนมอเตอร์ไซค์ของฝรั่งสร้างจากเหล็กทั้งคัน ทำให้น้ำหนักเยอะมาก แต่บริษัทฮอนด้าของญี่ปุ่นผลิตรถ 50 ซีซี. ชิ้นส่วนรอบคันทำจากพลาสติก
เช่นกระบังลม ทำให้คนดูถูกว่าสินค้าญี่ปุ่นบอบบางมาก
แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่ามอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นทนทานมาก สามารถขี่บุกป่าฝ่าดง ลุยน้ำ ขึ้นดอย ได้อย่างสบายๆ
และตอนนี้ประวัติศาสตร์ก็ได้ซ้ำรอยอีกครั้ง เพราะตอนนี้ทุกคนดูถูกสินค้าจากจีนว่ามีคุณภาพแย่ เพราะก๊อปปี้สินค้าจากญี่ปุ่นและฝรั่ง
แต่คนจีนเขาไม่หยุดพัฒนาเพียงแค่นี้หรอก อีก30ปีข้างหน้าสินค้าจีนก็จะได้รับการยอมรับเหมือนสินค้าญี่ปุ่น
ประเทศอินเดีย ประเทศนี้มีความแปลก เพราะมีความขัดแย้งกันอย่างมาก ด้านหนึ่งก็ยึดติดอยู่กับความเชื่อทางศาสนา และดูเหมือนว่าประชาชนจะยากจน
แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่อย่างมาก เผลอๆอาจจะมากกว่าไทยด้วยซ้ำ
คนอินเดียหลายคนสามารถไปทำงานกับบริษัทเทคโนโลยี่ชั้นนำของอเมริกา เช่นกูเกิล ไมโครซอฟท์ ทั้งตำแหน่งผู้บริหารและตำแหน่งค้นคว้าวิจัย
อินเดียสามารถผลิตรถใช้เองภายในประเทศทั้งมอเตอร์ไซค์ กระบะ( TATA) ไม่น่าเชื่อว่าคนไทยถึงขั้นต้องซื้อรถของอินเดียมาใช้กันแล้ว
โครงการอวกาศของอินเดียก็ก้าวหน้าไปมากแล้ว และมีโครงการสำรวจดวงจันทร์ด้วย ดังนั้นไทยกำลังตามหลังอินเดียอยู่เยอะมากพอสมควร
อิสราเอลและอิหร่านก็มีโครงการอวกาศเหมือนกัน และอิสราเอลไปสำรวจดวงจันทร์เกือบสำเร็จแล้ว
ประเทศเวียดนามตอนนี้ประกาศว่ามีรถของตนเองแล้ว ยี่ห้อ vinfast และเขาอ้างว่ามีศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ออสเตรเลีย
ในอนาคตเราจะแพ้เวียดนามหรือเปล่า น่ากังวลมาก ในอนาคตเราอาจจะต้องซื้อรถของเวียดนามใช้ก็ได้ เหมือนกับที่เราเคยซื้อรถTATAของอินเดียมาแล้ว
เพราะปัจจุบันเรายังไม่สามารถผลิตเครื่องยนต์ได้แม้แต่เครื่องเดียว
พันธุ์ข้าวของเวียดนามก็มีคุณภาพสูงเกือบเท่าเราแล้ว แสดงว่าเขาใช้เทคโนโลยี่ในการปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดีขึ้น
ดังนั้นเราต้องจับตาดูเวียดนามให้ดีเพราะอาจจะแซงหน้าเราในอีกไม่นาน
ประเทศไทยแทบไม่มีเทคโนโลยีอยู่ในมือเลย(ตอนที่ 12 )
1.กลุ่มประเทศที่คิดค้นเทคโนโลยี่และนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับโลกอย่างสม่ำเสมอ เช่นประเทศอังกฤษ อเมริกา เยอรมัน อิตาลี่ ฝรั่งเศส รัสเซีย
ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ประเทศเหล่านี้จะคิดค้นสิ่งใหม่ๆให้กับโลกตลอดเวลา ทำให้มวลมนุษยชาติหลายพันล้านคน
มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากขึ้น กลุ่มประเทศเหล่านี้จะมีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางเทคโนโลยี่ของโลก ว่าจะมุ่งไปในทิศทางใด
เช่น ในอีก20ปีข้างหน้า รถใช้น้ำมันจะต้องไม่มี แต่จะมีรถพลังงานไฟฟ้ามาแทนที่ ซึ่งประเทศต่างๆ ก็ได้รับอิทธิพลจากประเทศเหล่านี้และต้องปรับตัวตาม
กลุ่มประเทศเหล่านี้กล้าที่จะทุ่มงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลให้กับงานวิจัยและพัฒนา(R&D) และกล้ายอมรับความล้มเหลว หลายครั้งต้องแลกมาด้วยชีวิต
ทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้กลายเป็นผู้นำของโลก และมีความรู้และสิทธิบัตรอยู่มากมาย และสามารถเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล
2.กลุ่มประเทศที่คอยซื้อเทคโนโลยี่และนวัตกรรม จากประเทศกลุ่มแรก เช่นประเทศ ไทย ลาว พม่า เขมร อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เม็กซีโก
กลุ่มนี้จะไม่ค่อยคิดค้นสิ่งใหม่ๆ แต่จะรอให้ประเทศกลุ่มแรกคิดค้นวิจัยเทคโนโลยี่และนวัตกรรมจนสำเร็จ แล้วไปขอซื้อเพื่อนำมาใช้งาน
และมักจะเน้นการติดตั้งนวัตกรรมและการซ่อมบำรุงเท่านั้น
และมักจะขอให้ประเทศกลุ่มแรกถ่ายทอดเทคโนโลยี่ใหม่ๆให้อย่างสม่ำเสมอ
พูดง่ายๆก็คืออยู่ใน comfort zone นั่นเอง เมื่อลองเอาตัวเลขการลงทุนด้านR&D และจำนวนการจดสิทธิบัตร ของกลุ่มแรกกับกลุ่มที่สองมาเปรียบเทียบกัน
ก็จะเห็นได้ชัดว่ากลุ่มแรกมีตัวเลขสูงกว่ามาก
ที่น่าสนใจคือ ประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน เมื่อก่อน ,สมัยสงครามโลก ไม่ได้เก่งด้านเทคโนโลยี่มากไปกว่าไทยเลย
ตอนนั้นประเทศเหล่านี้อยู่กลุ่มที่สองเช่นเดียวกับไทย
สมัยนั้นคนจีนต้องอพยพมาพึ่งพาไทยด้วยซ้ำ บางทีสมัยนั้นไทยอาจจะเจริญกว่าจีนและเกาหลีใต้ก็เป็นได้
และประชากรชาวจีนเมื่อก่อนก็ปลูกข้าวและปั่นจักรยานกันทั่วทั้งประเทศ
แต่เขาสามารถย้ายตัวเองขึ้นไปอยู่กลุ่มแรกได้ ปัจจุบันจีนมีบทบาทสำคัญ
ต่อวงการเทคโนโลยี่และนวัตกรรมของโลกมาก แม้แต่อเมริกายังกังวลกับการพัฒนาเทคโนโลยี่ที่ก้าวกระโดดของจีน อเมริกาเลยบีบบังคับให้หลายๆประเทศต่อต้าน
ระบบ 5G ของจีนนั่นเอง
หลังสงครามโลกจนถึงปัจจุบัน ระยะเวลา 75 ปี ประเทศเหล่านี้เน้นพัฒนาเทคโนโลยี่และนวัตกรรมอย่างจริงจัง ถือเป็นช่วงนาทีทองที่สำคัญมาก
ปัจจุบันประเทศเหล่านี้ติดลมบนแล้ว และพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว สมัยสงครามโลกประเทศญี่ปุ่นพังยับเยินเพราะโดนระเบิดปรมณูทำลาย
จนราบคาบ แต่หลังจากนั้นเขามุ่งพัฒนาเทคโนโลยี่อย่างจริงจังและขายสินค้านวัตกรรมไปทั่วโลกจนสามารถพลิกฟื้นประเทศได้อย่างรวดเร็ว
และสามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยี่กับฝรั่งได้อย่างสบายๆ
ประเทศจีนก็ใช้เวลาเพียง 75ปี ในการพัฒนาเทคโนโลยี่และนวัตกรรม จนตอนนี้สามารถผลิตและส่งออกรถไฟความเร็วสูงไปทั่วโลกแล้ว
และยังมีโครงการอวกาศที่ก้าวหน้าไม่แพ้อเมริกา
แต่น่าเสียดายมาก ที่ไทยกลับพัฒนาเทคโนโลยี่ได้น้อยมากในช่วง 75ปีที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้เราไม่มีเทคโนโลยี่หรือนวัตกรรมที่โดดเด่นเลย เรามีแต่เทคโนโลยี่ทั่วๆไป
เท่านั้น
พวกยุโรป สมัยก่อนก็ยังคงล่าแม่มดและงมงายอยู่กับศาสนา ชีวิตขึ้นอยู่กับผลผลิตทางการเกษตร สมัยนั้นนักวิทยาศาสตร์ต้องทำงานอย่างหลบๆซ่อนๆ
ถ้าใครเปิดเผยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ออกไป อาจไปขัดกับหลักศาสนา อาจถูกทำโทษได้
ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป เครื่องจักรไอน้ำเข้ามามีบทบาทมาก เครื่องจักรไอน้ำที่ติดตั้งในโรงงานอุตสาหกรรม
สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตทางอุตสาหกรรมได้มากขึ้น ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง
ส่วนเครื่องจักรไอน้ำที่ติดตั้งบนหัวรถจักรของรถไฟก็สามารถทำให้รถไฟทั้งขบวนเคลื่อนที่ได้ ทำให้การขนส่งรวดเร็วขึ้นและกระจายสินค้าได้ไกลขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อ
เศรษฐกิจ หลังจากนั้นชาวยุโรปก็หลุดพ้นจากยุคล่าแม่มด และพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว เพราะเขาตระหนักได้ว่าเทคโนโลยี่ต่างหาก
ที่จะนำพาประเทศชาติเจริญก้าวหน้า เขาจึงเลิกล่าแม่มดและมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี่อย่างจริงจัง
ปัจจุบันยุโรปกำลังวิจัยโครงการขนาดมหึมา นั่นคือโครงการ CERN ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับอนุภาคต่างๆ เช่น อะตอม อิเล็คตรอน โปรตรอน นิวตรอน
ความรู้ที่ได้จากโครงการนี้อาจนำไปสร้างระเบิดนิวเคลียร์ที่รุนแรงกว่าเดิมหรือควอนตั้มคอมพิวเตอร์ก็เป็นได้
สมัยก่อน ถ้าถามว่าประเทศไหนเก่งที่สุดด้านเทคโนโลยี่และนวัตกรรม แน่นอนว่าต้องเป็นพวกฝรั่ง แต่ญี่ปุ่นเป็นชาติแรกในโลกและชาติเดียวในเอเซีย
ที่ไล่ตามฝรั่งอย่างกระชั้นชิด เรียกได้ว่ากัดไม่ปล่อย ถ้าฝรั่งสร้างนวัตกรรมอะไรก็ตามขึ้นมา เมื่อญี่ปุ่นเห็นปุ้ป ก็นั่งไม่ติดเลย และบอกกับตัวเองว่าจะต้อง
สร้างให้ได้บ้าง เมื่อนานมาแล้วญี่ปุ่นต้องซื้อรถยนต์และรถไฟจากฝรั่ง แต่เมื่อซื้อมาแล้ว เขาก็รื้อดูส่วนประกอบภายในและศึกษาทำความเข้าใจ
และลองสร้างตาม ซึ่งก็คือการก๊อปปี้นั่นเอง ในที่สุดเขาก็สามารถผลิตใช้เองภายในประเทศ และไม่จำเป็นต้องซื้อจากฝรั่งอีกต่อไป
และยังสามารถผลิตขายให้ฝรั่งและทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้นคนญี่ปุ่นมีจิตวิญญาณของนักประดิษฐ์ฝังอยู่ในสายเลือดอย่างแท้จริง
ซึ่งต่างจากคนไทยโดยสิ้นเชิง สมัยก่อนประเทศสวิสสามารถผลิตนาฬิกาชนิดกลไกเฟืองได้ เฟืองแต่ละตัวมีขนาดเล็กมากและมีความแม่นยำสูง
แต่อีกไม่นานญี่ปุ่นก็สามารถผลิตได้บ้าง นันก็คือยี่ห้อ SEIKO นั่นเอง นี่คือความสามารถเล็กๆน้อยๆของชาวญี่ปุ่น แค่น้ำจิ้มๆเท่านั้นเอง
สมัยก่อนเราเคยดูถูกสินค้าเทคโนโลยี่จากญี่ปุ่น ว่าเป็นสินค้าที่ก๊อปปี้มาจากฝรั่ง และมีคุณภาพแย่ เสียง่าย สินค้าที่ดีต้องมาจากฝรั่ง
แต่คนญี่ปุ่นเขาไม่ได้ก๊อปปี้เพียงอย่างเดียว เขาพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆควบคู่กันไปด้วย
ปัจจุบันสินค้าจากญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นสินค้าชั้นดี แม้แต่ฝรั่งยังให้การยอมรับ ถ้าลองไปดูถนนในอเมริกา จะเห็นรถญี่ปุ่นวิ่งเต็มไปหมด
เมื่อก่อนมอเตอร์ไซค์ของฝรั่งสร้างจากเหล็กทั้งคัน ทำให้น้ำหนักเยอะมาก แต่บริษัทฮอนด้าของญี่ปุ่นผลิตรถ 50 ซีซี. ชิ้นส่วนรอบคันทำจากพลาสติก
เช่นกระบังลม ทำให้คนดูถูกว่าสินค้าญี่ปุ่นบอบบางมาก
แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่ามอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นทนทานมาก สามารถขี่บุกป่าฝ่าดง ลุยน้ำ ขึ้นดอย ได้อย่างสบายๆ
และตอนนี้ประวัติศาสตร์ก็ได้ซ้ำรอยอีกครั้ง เพราะตอนนี้ทุกคนดูถูกสินค้าจากจีนว่ามีคุณภาพแย่ เพราะก๊อปปี้สินค้าจากญี่ปุ่นและฝรั่ง
แต่คนจีนเขาไม่หยุดพัฒนาเพียงแค่นี้หรอก อีก30ปีข้างหน้าสินค้าจีนก็จะได้รับการยอมรับเหมือนสินค้าญี่ปุ่น
ประเทศอินเดีย ประเทศนี้มีความแปลก เพราะมีความขัดแย้งกันอย่างมาก ด้านหนึ่งก็ยึดติดอยู่กับความเชื่อทางศาสนา และดูเหมือนว่าประชาชนจะยากจน
แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่อย่างมาก เผลอๆอาจจะมากกว่าไทยด้วยซ้ำ
คนอินเดียหลายคนสามารถไปทำงานกับบริษัทเทคโนโลยี่ชั้นนำของอเมริกา เช่นกูเกิล ไมโครซอฟท์ ทั้งตำแหน่งผู้บริหารและตำแหน่งค้นคว้าวิจัย
อินเดียสามารถผลิตรถใช้เองภายในประเทศทั้งมอเตอร์ไซค์ กระบะ( TATA) ไม่น่าเชื่อว่าคนไทยถึงขั้นต้องซื้อรถของอินเดียมาใช้กันแล้ว
โครงการอวกาศของอินเดียก็ก้าวหน้าไปมากแล้ว และมีโครงการสำรวจดวงจันทร์ด้วย ดังนั้นไทยกำลังตามหลังอินเดียอยู่เยอะมากพอสมควร
อิสราเอลและอิหร่านก็มีโครงการอวกาศเหมือนกัน และอิสราเอลไปสำรวจดวงจันทร์เกือบสำเร็จแล้ว
ประเทศเวียดนามตอนนี้ประกาศว่ามีรถของตนเองแล้ว ยี่ห้อ vinfast และเขาอ้างว่ามีศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ออสเตรเลีย
ในอนาคตเราจะแพ้เวียดนามหรือเปล่า น่ากังวลมาก ในอนาคตเราอาจจะต้องซื้อรถของเวียดนามใช้ก็ได้ เหมือนกับที่เราเคยซื้อรถTATAของอินเดียมาแล้ว
เพราะปัจจุบันเรายังไม่สามารถผลิตเครื่องยนต์ได้แม้แต่เครื่องเดียว
พันธุ์ข้าวของเวียดนามก็มีคุณภาพสูงเกือบเท่าเราแล้ว แสดงว่าเขาใช้เทคโนโลยี่ในการปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดีขึ้น
ดังนั้นเราต้องจับตาดูเวียดนามให้ดีเพราะอาจจะแซงหน้าเราในอีกไม่นาน