เปิดประสบการณ์ ลัดเลาะดอยขุนตาล ชวนเพื่อนไม่มา ไปคนเดียวก็ได้! [จ.ลำปาง/ลำพูน]



บุกป่าฝ่าดง
เปิดประสบการณ์แคมป์ปิ้ง
ณ อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล



 ‘ อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล ตั้งอยู่ระหว่าง 2 จังหวัด ในตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน
และตำบลบ้านเอื้อม อำเภอเมืองลำปาง ตำบลเวียงตาล ตำบลวอแก้ว อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
ใกล้กับสถานีรถไฟขุนตาล ระยะทางประมาณ 1.3 กิโลเมตร’

เอาว่ะ!...เดินทางสะดวก แถมยังเป็นเส้นทางเดินป่าที่ไม่ยากมากแบบนี้ (จริงๆ ก็แอบยากนิดนึงนะ 555) มันน่าลองไปสักครั้ง!! ผมคิดในใจอยู่สักพักหลังจากที่ได้เห็นข้อมูลการเดินทางบนอินเตอร์เน็ต และรีวิวจากหลายสำนัก ว่ามือใหม่ที่ไม่เคยเดินก็ไปได้ เลยตัดสินใจและตั้งเป้าเอาไว้ ว่าจะหาวันหยุดยาวส่งท้ายปีนี้ ไปเที่ยวดอยขุนตาลให้จงได้

จากนั้นผมก็เริ่มจัดแจงชวนเพื่อนๆ ให้มาร่วมจอยทริปนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทแก๊งมัธยม /มหาลัย หรือเพื่อนบางคนที่แทบไม่ได้คุยกันเลยก็อยากชวน เพราะว่าเป็นการเดินป่าจริงๆ ครั้งแรก อย่างน้อยการมีเพื่อนติดไว้คนสองคนเหมือนการพกประกันให้อุ่นใจก็ยังดี แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครยอมมาด้วย สุดท้ายแล้วก็ต้องไปคนเดียว ใช่แล้วผมต้องไปคนเดียวอีกครั้ง…

05 ธันวาคม 2563 เวลา 19.35 น

จุดเริ่มต้นก็จะเหมือนกับรีวิวเจ้าอื่นๆ นั่นคือที่สถานีรถไฟหัวลำโพงนั่นเอง ขาไปผมได้รถด่วนขบวนพิเศษ กรุงเทพ - ขุนตาล สภาพเหมือนเพิ่งออกจากอู่เมื่อไม่นาน ยังมีรอยฝุ่นปนคราบดำเปรอะรถอยู่นิดหน่อย แต่ก็ได้ฟีลเถื่อนๆ  ดีเหมือนกัน


ผมได้ตู้นอนคันที่ 7 เตียงล่าง หมายเลข 2 ตำแหน่งดีซะด้วยเพราะอยู่ข้างประตูห้องน้ำ ถึงแม้ระหว่างทางจะมีกลิ่นไม่แรงมาก แต่เสียงเปิดปิดประตูตลอดคืน และเตียงนอนที่สั้นไปจนต้องนอนงอขาตะแคงข้าง ก็ทำผมประสาท-นอนไม่หลับได้เหมือนกัน แต่ก็ถือว่าเป็นสีสันของการเดินทาง ได้อรรถรสและความทรงจำดีๆ ไปอีกแบบ ยิ้ม)


06 ธันวาคม 2563 เวลาประมาณ 05.30 น.

อาจจะตื่นเช้าไปหน่อย สารภาพว่าตื่นเต้นมากกกก บวกกับว่ากลัวนอนเพลินจนเลยสถานี ผมเลยตั้งปลุกเผื่อไว้ค่อนข้างเยอะ ตอนนี้พนักงานเริ่มเดินขายข้าวและเครื่องดื่มกันแล้ว ผมเลยสั่งโอวัลตินร้อน แก้วละ 20 บาท กะว่ามาจิบยามเช้าชมวิวป่าข้างทางรับอรุณชิลๆ แบบในหนัง แต่ดูเหมือนพนักงานท่านนี้จะคิวแน่น จนรถไฟลอดอุโมงค์ขุนตาล เตรียมจอดสถานีหน้า เขาก็ยังไม่มา


และเมื่อผมไปยืนตรงประตูเพื่อที่จะเตรียมลง พนักงานคนที่รับออร์เดอร์ไป เห็นท่าทางของผมดูร้อนรนเหมือนอยากจะแคนเซิลโอวัลติน เลยหายวับไปซักพักแล้วกลับมาพร้อมโอวัลตินร้อนที่ผมสั่งไป เขาเลยรีบยัดใส่มือผม และรับเงิน 20 บาท ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ส่วนผมก็ต้องประคองแก้วร้อนๆ ไม่ให้ไปหกเลอะเทอะคนอื่น ขณะที่รถไฟกำลังเทียบชานชลา


เวลา 07.32 น. ณ สถานีรถไฟขุนตาล ผู้คนเดินออกมาจากขบวนรถไฟเพียบ! ผมยิ้มเล็กน้อย เพราะดีใจว่าคืนนี้จะได้ไม่ต้องนอนคนเดียวแล้ว แน่นอนว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง บริเวณสถานีรถไฟจะมีร้านอาหารตามสั่งเยอะมาก สามารถเลือกได้ตามใจชอบเลย แต่ผมขอแนะนำร้านข้างๆ สถานี จำชื่อร้านไม่ได้ และน่าจะไม่มีชื่อร้านด้วย แต่มีจุดสังเกตุคือเขาจะเลี้ยงสุนัขพันธุ์ปั๊กตัวอ้วนปุกปุยเอาไว้หนึ่งตัว ถ้าเห็นเมื่อไหร่ก็คือร้านนั้นแหละ



หลังจากที่จัดกระเพราหมูไข่ดาวไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาลุย!! ด่านแรกคือที่ทำการอุทยาน ระยะทางประมาณ 1.3 กม. ระหว่างทางขึ้นเขา ผมได้มีโอกาสพบกับ ‘ พี่อ๊อป ’ ช่างภาพฟรีแลนซ์ และนักเดินป่าตัวยง ซึ่งพี่เขาก็มาคนเดียวเหมือนกัน  ผมเลยขอจอยตี้ด้วย เผื่อว่ามีปัญหาอะไรจะได้ช่วยๆ กัน


เส้นทางนี้จะตัดสลับกันระหว่างถนนกับทางป่าเดินเท้า ใครที่คิดว่าข้อเข่าไม่ไหว ไกลจะพังเต็มทีก็แนะนำให้เดินเส้นถนนแทน อาจจะอ้อมโลกหน่อย แต่ก็ไม่ชันมาก และก็อย่าลืมระวังรถที่วิ่งขึ้นลงเขาด้วยล่ะ


เมื่อทำการจ่ายค่าเข้า พร้อมกับฟังพี่เจ้าหน้าที่อธิบายเส้นทางภายในอุทยาน พวกเราตัดสินใจว่าจะตั้งแคมป์พักแรมที่บริเวณ ย.2 เพราะไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป แต่พอก้าวขาได้ไม่กี่ก้าว ก็ต้องมาหยุดอีกครั้ง เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมถุงขยะ คนละ 100 บาท และฝากบัตรประชาชนไว้กับเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็ได้เวลาของจริง เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ย.1 - ย.4 เริ่มขึ้นแล้ว!


พวกเราเดินกันไวมาก ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึง ย.2 กันแล้วว  แต่ยังไม่ถึงลานกางเต๊นท์นะ ต้องเดินขึ้นไปอีก 50 เมตร ใช่แล้วครับ ที่ผมบอกว่าเดินขึ้น คือเดินขึ้นจริงๆ ทางลาดชันไม่มีการทำเส้นทางหรือราวจับใดๆ ไว้ป้องกัน แต่เข้าใจว่าพี่ๆ เจ้าหน้าที่เขาอยากให้เราได้สัมผัสธรรมชาติและความท้าทาย! เพื่อที่เราจะได้เข้าถึงการเดินป่าแบบเรียลๆ เราก็ต้องจัดกันหน่อย

ตอนที่เดินขึ้นไป ผมคิดในใจได้ว่าเหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่าง ใช่แล้ว! ไม้เท้าไง ผมรู้สึกว่าการที่ต้องใช้มือตะเกี่ยตะกายควานหาลำต้น หรือรากไม้สำหรับจับยืด เป็นอะไรที่ลำบากสุดๆ การพกไม้เท้าเดินป่าคือสิ่งจำเป็นอย่างมาก ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้ตัวว่ายังไม่มีไม้เท้า ก็อย่าลืมไปหาซื้อมาใช้กันด้วยนะ บอกเลยว่าได้ใช้คุ้มแน่นอน

ไม้เท้า DIY พอใช้ได้อยู่ แต่ถ้าปักลงพื้นแรงๆ ก็อาจหักได้เหมือนกันนะ

ประมาณ 11 โมงกว่า พวกเราทิ้งของไว้ในเต๊นท์ที่กางเอาไว้ พร้อมกับฟรายชีทบังแดดคลุมพาดยาวระหว่างต้นสน 2 ต้น แล้วภาวนาในใจว่าอย่าได้มีอะไรหายไปก็พอ จากนั้นก็แวะซื้อเครื่องดื่มติดตัวไปนิดหน่อยที่ร้านขายของข้างล้างลานกางเต๊นท์ เตรียมตัวไป ย.3

ใครว่ามาเที่ยวที่นี่ใช้งบน้อย ไม่จริงเสมอไปครับ ชเวปส์ กระป๋องละ 30 บาท มาม่าห่อละ 20 บาท ราคาโดนใจสุดๆ ไปเลย! แต่ด้วยความที่ป้าผูกขาดอยู่เจ้าเดียว พวกเราเลยต้องจำใจซื้อ ซึ่งก็เข้าใจได้นะว่า ที่นี่ไม่ได้ขนส่งเสบียงกันง่ายๆ ด้วยเส้นทางคดเคี้ยวและลำบากพอสมควร ราคานี้ก็ถือว่าได้อยู่


เส้นทางระหว่าง ย.2 - ย.3 ประมาณ 3 กม. ส่วนมากจะเป็นทางลาดชันไม่มาก  ระวังแค่หุบเหวข้างๆ ก็พอ หน้าหนาวอากาศกำลังดี แดดก็กำลังแรงใช้ได้เลย ใส่เสื้อผ้ามาหนาๆ สุดท้ายมัดเอวจนเหลือแต่เสื้อยืดคอกลม ถ้าเอาขาสั้นมาด้วยคงถอดเปลี่ยนตรงนั้นแล้ว


บริเวณลานกางเต๊นท์ ย.3 จะมีสิ่งปลูกสร้างและบ้านพักจากคณะมิชชันนารีอเมริกันคริสตจักร ที่มักจะมาพักผ่อนทุกเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งปัจจุบันบ้านพักเหล่านั้น ได้อยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยพายัพ


ผมกับพี่อ๊อปนั่งเสพวิวชิลๆ จนถึงบ่ายโมง พวกเราก็ตัดสินใจที่จะลองไปยังน้ำตกตาดเหมยกัน เพราะหลังจากนี้จนถึงเย็นก็ไม่รู้จะไปไหนกันแล้ววว

ทริปนรกน้ำตกตาดเหมย!!


เดินย้อนกลับไปก่อนถึง ย.2 จะมีป้ายทางแยกระบุว่า น้ำตกตาดเหมย ระยะทาง 1.5 กม. ผมเห็นว่าเห้ยก็ไม่ไกลมาก แค่นี้เดินสบาย ถึงแม้เราจะรู้ว่าฤดูนี้น้ำตกไม่ค่อยมี เผลอๆ อาจแล้งมีแต่หิน แต่เห็นว่าระยะทางพอได้อยู่ ก็เลยวัดดวงเข้าไปส่องดู เส้นทางลาดชันเต็มไปด้วยก้อนกรวดเล็กๆ ทำให้พื้นลื่นกว่าเดิม ผมใส่รองเท้าผ้าใบสำหรับเดินป่ายังพอถูไถไปได้ แต่พี่อ๊อปแกใส่รองเท้าแตะหุ้มข้อมา ทำให้ยิ่งเดินช้าและลำบากกว่าเดิม จะก้าวแต่ละทีก็กลัวลื่น ในใจอยากจะนั่งสไลด์เดอร์ไปเลย แต่ถ้าทำแบบนั้นกางเกงอาจขาดได้ เลยต้องฝืนเดินต่อไปเรื่อยๆ

ป้ายบอกแค่ 1.5 โล แต่ทำไมมันยังไม่ถึงอีกว่ะ ความรู้สึกผมมันเหมือนกับ 2 โล มากกว่านะ ไม่ได้ยินแม้กระทั้งแว่วของเสียงน้ำตก หรือผู้คนสัญจรไปมา ทำให้ที่นี่ดูเงียบๆ น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายด้วยความเหนื่อย เราจึงตัดสินใจหันหลังกลับ 

ทีนี้แหละงานเข่าแหกได้มาเยือนแล้วว ตอนลงลงไม่คิด ตอนขาขึ้นหันกลับไปมอง โอ้โหหห ทำไมมันชันแบบนี้เนี่ย แต่ที่นี่มีแค่เส้นเดียว ยังไงก็ต้องฝ่าออกไปให้ได้ ผมเร่งจ้ำเท้าเดินอย่างกระตือรือร้น ในใจก็นึกถึงน้ำชเวปส์ป้าข้างบน ถ้าถึงเมื่อไหร่จะซัดสัก 2 กระป๋อง เอาให้น้ำตาลขึ้นปี๊ดไปเลยย ส่วนพี่อ๊อปก็เริ่มหน้าซีด เพราะเมื่อเช้าไม่ได้กินกาแฟมา แต่ยังไงก็ต้องกลับขึ้นไปให้ได้ หลังจากนั้นเราก็เดินลัดเลาะมาถึงทางขึ้น แล้วรีบรุดไปยังร้านขายของทันที พอไปถึงเจอแต่ของแต่ไม่เจอป้า ผมเลยเข้าไปเรียกแกในบ้าน ให้ออกมาขายของก่อน ผมซื้อชเวปส์ 2 กระป๋อง จัดชุดใหญ่ให้หายเหนื่อยกันไปเลย

 

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่