ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมในอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์คือหลุมฝังศพของคาร์ล มาร์กซ (Karl Marx) ที่สุสานไฮเกท (High Gate) มหานครลอนดอน และโต๊ะที่มาร์กซกับกัลยาณมิตรของเขา ฟรีดิช เองเกลส์ (Friedrich Engels) นั่งศึกษาร่วมกันในห้องสมุดเชทแทม (Chetham) เมืองแมนเชสเตอร์ สถานที่และวัตถุนี้มีความสัมพันธ์กับลัทธิคอมมิวนิสต์ สิ่งที่เคยหลอกหลอนยุโรปและประเทศไทยมาแล้วในอดีต ได้กลับมาหลอกหลอนประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง และวันนี้เรามาพบกับประวัติและความคิดของหนึ่งในสองของผู้ให้กำเนิดลัทธินี้นั่นคือ ‘คาร์ล มาร์กซ’
คาร์ล มาร์กซ (1818-1883) เกิด ณ เมืองเทรียร์ (Trier) ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรปรัสเซีย (Prussia) มาร์กซเกิดในครอบครัวชาวยิวที่บิดาของมาร์กซ ไฮน์ริช มาร์กซ (Heinrich Marx) เปลี่ยนศาสนาจากยิวมาเป็นคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์แบบลูเทอรัน ซึ่งเป็นนิกายประจำชาติของราชอาณาจักรปรัสเซียในขณะนั้น เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งอาชีพทางกฎหมายของตน (หลังจากสงครามนโปเลียนสิ้นสุดลง เมืองทรีเออร์ได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของปรัสเซีย นโยบายเปิดกว้างทางศาสนาที่เคยใช้ในสมัยที่นโปเลียนมีอำนาจได้ถูกทำให้สิ้นสุดลง การนับถือศาสนายิวจะถูกกีดกันไม่สามารถประกอบอาชีพทางกฎหมายได้อีก)
ไฮน์ริชนอกจากจะเป็นนักกฎหมายที่มีฐานะมั่งคั่ง ยังเป็นผู้มีความสนใจในความคิดทางปรัชญาในยุครู้แจ้ง ไฮน์ริชไม่ใช่ผู้เคร่งครัดทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนายิวหรือลูเทอรัน ความสนใจในปรัชญายุครู้แจ้งส่งผลให้มาร์กซโตมาในครอบครัวที่มีอิทธิพลทางศาสนาน้อยเมื่อเทียบกับครอบครัวยิวทั่วไปในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งไฮน์ริชมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าผู้ดีชาวปรัสเซีย และความสัมพันธ์ที่ดีนี่เองที่ทำให้มาร์กซได้รู้จักว่าที่ภรรยาของตนในอนาคต ซึ่งก็คือ เจนนี่ ฟอน เวสต์ฟาเลน (Jenny von Westphalen) ที่อายุแก่กว่ามาร์กซ 4 ปี
ไฮน์ริชและว่าที่พ่อตาของมาร์กซซึ่งก็คือ บารอนลุควิค ฟอน เวสต์ฟาเลน (Ludwig von Westphalen) มีอิทธิพลและสนับสนุนให้มาร์กซสนใจในงานเขียนทางปรัชญาแบบยุครู้แจ้ง และวรรณกรรมแบบคลาสสิกซึ่งวางรากฐานความสนใจทางปรัชญาให้กับมาร์กซไปชั่วชีวิต
ไฮน์ริชพยายามผลักดันให้บุตรชายของตนเรียนในวิชาชีพกฎหมายเนื่องจากมีความมั่นคงในทางอาชีพ ระหว่างนั้นมาร์กซก็หมั้นกับเพื่อนสาวเจนนี่ มาร์กซเริ่มศึกษาในมหาวิทยาลัยบอนน์ในสาขาวิชากฎหมาย แต่เนื่องจากการขาดความใส่ใจในสาขาวิชากฎหมาย และผลการเรียนที่ตกต่ำไปเรื่อย ๆ ตลอดจนการใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมชมรมกวี การเมาหัวราน้ำ การทะเลาะวิวาท การดวล ฯ ประกอบกับความสนใจในวิชาปรัชญาและวรรณคดีมากกว่า ทำให้ไฮน์ริชตัดสินใจเปลี่ยนมหาวิทยาลัยให้มาร์กซเป็นมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน แต่ยังศึกษาในสาขาวิชากฎหมายเหมือนเดิม
และที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลินนี้เองที่มาร์กซได้เข้าร่วมกลุ่มศึกษาทางปรัชญาที่เรียกว่า ‘กลุ่มเฮเคเลี่ยนเยาว์ (Young Hegelian)’ อย่างไรก็ตาม มาร์กซในฐานะนักเรียนกฎหมายหนุ่ม (อายุ 28 ปี) กลับไม่ได้ยื่นดุษฎีนิพนธ์ไปยังมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน แต่กลับไปยื่นที่มหาวิทยาลัยเจน่าแทน ในช่วงเดือนเมษายน 1841 เนื่องจากมาร์กซกังวลในชื่อเสียงที่ไม่ใคร่ดีนักของตนจากการเป็นสมาชิกกลุ่มเฮเคเลี่ยนเยาว์ที่จะเสนอดุษฎีนิพนธ์ในมหาวิทยาลัยที่เป็นหัวใจของ ‘กลุ่มเฮเคเลี่ยนอาวุโส (Old Hegelian)’ ที่เฮเคลเคยทำงานเป็นศาสตราจารย์อยู่ และเกรงว่าอาจจะไม่ได้รับการพิจารณาให้ผ่าน
หากให้อธิบายแนวคิดของกลุ่ม ‘เฮเคเลี่ยนเยาว์’ อย่างรวบรัดแล้ว แนวคิดของกลุ่มเฮเคเลี่ยนเยาว์มีความแตกต่างกับแนวคิดของกลุ่ม ‘เฮเคเลี่ยนอาวุโส’ ตรงที่การปฏิเสธสถานะของรัฐปรัสเซียว่าเป็นรัฐที่มีเหตุผล เป็นสากล เป็นตัวอย่างที่จะขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างปัจเจกชน กลุ่มเฮเคเลี่ยนเยาว์มองว่า หากรัฐปรัสเซียเป็นรัฐที่มีเหตุผลเป็นสากลจริงแล้ว เพราะเหตุใดเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐอื่นในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างรัฐฝรั่งเศส และรัฐอังกฤษ กลับปรากฏว่ารัฐทั้งสองเป็นรัฐประชาธิปไตยที่รับผิดชอบต่อพลเมืองของตนมากกว่า
นอกจากนี้กลุ่มเฮเคเลี่ยนอาวุโสยังหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง
ประเด็นทางศาสนา กลุ่มเฮเคเลี่ยนเยาว์จึงวิพากษ์วิจารณ์ว่ากลุ่มเฮเคเลี่ยนอาวุโสมีท่าทีเป็นอนุรักษนิยม และมุ่งรักษาสภาพที่เป็นอยู่มากกว่าที่จะที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามแนวทางวิพากษ์วิธี (Dialectic) ที่จะทำให้สังคมรุดหน้าขึ้น พันธนาการของศาสนาจะต้องถูกขจัดออกไป เพื่อให้มนุษย์กับรัฐจะได้เป็นรัฐที่มีเหตุผลสมบูรณ์อย่างแท้จริงตามการคลี่คลายของประวัติศาสตร์แบบเฮเคเลี่ยน
หลังจากมาร์กซสำเร็จการศึกษา มาร์กซได้เริ่มทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์โดยเริ่มต้นจากการเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ไรน์นิชเชอร์ไซตุง (Rheinische Zeitung) และต่อมาได้เป็นบรรณาธิการบริหารในที่สุด (1842-1843) ระหว่างนั้นเอง มีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่จะส่งผลต่อมาร์กซตลอดชีวิตคือ การได้พบกับเองเกลส์ที่อายุน้อยกว่ามาร์กซ 2 ปี และจะเป็นกัลยาณมิตรกับมาร์กซไปชั่วชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ที่สองคือมาร์กซได้สมรสกับเจนนี่ในปี 1843
ในระยะแรกบทความของมาร์กซมุ่งวิพากษ์วิจารณ์รัฐปรัสเซียที่มีลักษณะเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้เป็นรัฐที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ข้อวิจารณ์ของมาร์กซยิ่งรุนแรงขึ้นทุกขณะ เนื้อหายิ่งโน้มเอียงไปทางการปฏิวัติและมีความเห็นใจในการต่อสู้ของขบวนการสังคมนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และผลพวงของคำวิจารณ์นี้เองที่ทำให้รัฐบาลปรัสเซียสั่งปิดหนังสือพิมพ์ มาร์กซต้องลาออกจากการเป็นบรรณาธิการ
และด้วยความหวั่นเกรงต่ออนาคตที่ไม่มั่นคงจากพฤติกรรมทางการเมืองของตน มาร์กซจึงตัดสินใจออกจากปรัสเซียและเดินทางไปยังฝรั่งเศส
หลังจากนี้ชีวิตของมาร์กซและครอบครัวก็ต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปยังประเทศต่าง ๆ อันเนื่องจากถูกรัฐบาลของประเทศที่ตนพำนักอยู่ไม่ว่าจะเป็นเบลเยียมหรือฝรั่งเศสยื่นคำขาดไม่ให้อยู่ในประเทศ เนื่องจากการเข้ามีส่วนร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง โดยให้การสนันสนุนขบวนการทางการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพในประเทศที่มาร์กซไปอาศัยอยู่ หรือรัฐบาลประเทศนั้น ๆ โดนกดดันจากรัฐบาลปรัสเซียให้ขับมาร์กซออกนอกประเทศ เนื่องจากมาร์กซยังสนับสนุนขบวนการต่อสู้ทางการเมืองในปรัสเซียอยู่
ถึงแม้ตนจะไม่ได้อยู่ในประเทศนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสในปี 1843 เบลเยียมปี 1845 มาร์กซได้เดินทางไปยังอังกฤษในระยะสั้นและกลับไปยังบรัสเซลส์ในเบลเยียมอีก ในปลายปี 1845 มาร์กซสละสัญชาติปรัสเซีย ช่วงเวลาที่อยู่ในเบลเยียมนี้เองที่มาร์กซเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องโดยสนับสนุนการเคลื่อนไหวของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยเน้นแนวทางสังคมนิยม และเริ่มผลิตงานชิ้นสำคัญ ๆ ที่เขียนร่วมกับเองเกลส์ เช่น อุดมการณ์เยอรมัน (The German Ideology, 1846), ประกาศลัทธิคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto, 1848)
มาร์กซยังเข้าไปมีส่วนร่วมในขบวนการต่อสู้ทางการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพอย่างเต็มตัว และในประกาศลัทธิคอมมิวนิสต์นี้เองที่ปรากฏคำขวัญว่า กรรมาชีพทั้งโลกล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน (Working Men of All Countries, Unite!) แต่ในภายหลังมาร์กซก็ถูกขับออกจากเบลเยียม มาร์กซและครอบครัวเดินทางไปยังฝรั่งเศส แล้วกลับเข้าไปยังปรัสเซียเข้าทำกิจกรรมทางการเมือง และออกหนังสือพิมพ์นอยเออร์ ไรน์นิชเชอร์ไซตุง (Neue Rheinische Zeitung, 1848) และประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้ง มาร์กซถูกคำสั่งรัฐบาลขับออกจากปรัสเซีย ไปยังฝรั่งเศส และถูกขับออกจากฝรั่งเศส จนสุดท้ายมาร์กซและครอบครัวต้องไปอาศัยอยู่ในอังกฤษในปี 1849
มาร์กซอาศัยอยู่ในอังกฤษตราบสิ้นชีวิตของเขา ชีวิตที่ระเหเร่ร่อน และการปราศจากอาชีพการงานที่มั่นคงทำให้มาร์กซมีชีวิตครอบครัวที่ยากลำบาก การอาศัยอยู่ในอังกฤษก็ไม่สามารถที่จะหาค่าเช่าพอเลี้ยงดูตัวเองกับครอบครัวได้ เจนนี่และลูก ๆ ต้องพยายามหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการยืมเงินที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเมื่อไรจะใช้คืนได้ รายได้ของมาร์กซส่วนหนึ่งมาจากเงินช่วยเหลือที่เองเกลส์ส่งมาให้ ลูกของมาร์กซหลายคนเสียชีวิตเนื่องจากโรคภัยและภาวะทุพโภชนาการ บุตรและธิดาของมาร์กซและเจนนี่ทั้ง 7 คน เหลือรอดจนเติบใหญ่เพียง 3 คน
มาร์กซอาศัยอยู่ในลอนดอนในช่วงเวลาที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมกำลังเข้มข้น การใช้แรงงานผู้หญิงและเด็กเกินเวลา การปราศจากค่าตอบแทนที่เพียงพอที่จะช่วยให้กรรมกรเด็กและสตรีเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ได้ สภาพสุขอนามัยย่ำแย่ที่เสี่ยงต่อการติดโรคที่ทำให้เกิดอัตราการป่วยและเสียชีวิตที่สูงกว่าปกติ รวมไปถึงสภาพที่เกิดขึ้นกับครอบครัวมาร์กซเอง ต่างเป็นพลังอันสำคัญที่ทำให้มาร์กซผู้คับข้องใจเดินเข้าออกในพิพิธภัณฑ์บริเทน (British Museum) ขลุกอยู่ในห้องสมุดของพิพิธภัณฑ์ เพื่อตอบปัญหาว่าสาเหตุใดที่ทำให้เกิดความทุกขเวทนาสาหัสนี้เกิดขึ้น มาร์กซจึงผลิตผลงานชิ้นสำคัญ ๆ ในช่วงหลังออกมา เช่น ทุน (Das Capital Volume 1, 1869) ในขณะที่เล่ม 2 และเล่ม 3 ยังไม่ได้ตีพิมพ์ในช่วงที่มาร์กซมีชีวิตอยู่
"คาร์ล มาร์กซ" ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่หลอกหลอนยุโรป จากกระฎุมพีสู่กรรมาชีพ