🤷💫🕯️ THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#109 Week#24 FINAL : "นิทานที่ไม่มีตอนจบ" - ถุงมือ คนเล่านิทาน 🕯️💫🤷

กระทู้คำถาม
ถุงมือเรื่องสั้น เรื่องที่ 9 ครับ ....หัวใจ

อารมณ์ FANTASY จากเรื่องที่ 8 บังไม่ทันจางหาย ก็มาเจอกับนิทานชนิด NEVERENDING  นี้เข้าให้ จุใจกันจริงๆ ครับสำหรับวีคสุดท้ายนี้ ^^

เรื่องนี้มีความยาวไม่แพ้เรื่องที่ 8 แน่นอน ขึ้นต้นเรื่องมาก็เป็นฉากดราม่า พระราชาและราชินี กำลังจะได้รัชทายาท แต่บ้านเมืองมีภัยพิบัติจากการตกของอุกกาบาตขนาดยักษ์ทำลายบ้านเมือง หลังจากนั้นพืชพันธัญญาหารก็ปลูกไม่ขึ้น เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายเดือนร้อนไปทั่ว ซ้ำร้ายไปกว่านั้น โหรหลวงพยากรณ์ว่า อุกกาบาตนั้นมาเพื่อต้องการการสังเวย หากพระราชินีคลอดพระโอรสไม่เป็นไร แต่ถ้าคลอดพระธิดา ต้องนำพระธิดานั้นไปเชือดบูชายัญเซ่นสรวง บ้านเมืองจึงจะปลอดภัยพิบัติ !!

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป และจะมีอะไรตามมาอีก ???

ขนม ป๊อปคอร์น โค้ก พร้อม ดูหนังกันยาวๆ ครับ ^^ อมยิ้ม36หัวใจ

อมยิ้ม49
กาลครั้งนานมาแล้ว ณ ที่ไหนสักที่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่

อาณาจักรตะวันทอง มี พระราชาซามาน และ พระราชินีอามี เป็นผู้ปกครองอาณาจักร แผ่นดินตะวันทองสงบร่มเย็นมาหลายทศวรรษ ประชาชนอยู่ดีมีสุข พืชพันธุ์ธัญญาหาร อย่าง แอปเปิล ส้ม องุ่น ผักกาด แครอท และข้าวสาลี ออกดอกออกผลมากมาย ให้ประชาชนชาวเมืองได้เก็บเกี่ยวไว้กิน ไว้ขายได้ตลอดทั้งปี

อาณาจักรตะวันทองจึงได้ขึ้นชื่อว่าเมืองแห่งแหล่งอาหาร แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น เมื่อมีอุกกาบาตขนาดใหญ่มหึมาพุ่งตกลงมาจากฟ้า แผดเผาทำลายเรือกสวนไร่นาของชาวเมืองจนหมดสิ้น

ผ่านไปสี่เดือนหลังจากที่อุกกาบาตตกลงมา และยังไม่สามารถทำลาย หรือ เคลื่อนย้ายอุกกาบาตออกจากพื้นที่เพาะปลูกได้ อาหารภายในอาณาจักรตะวันทองจึงเริ่มร่อยหรอ

ชาวเมืองเริ่มทำการเพาะปลูกใหม่อีกครั้ง หลังจากทดลองปลูกไปแล้ว เมื่อสองเดือนก่อน และผลออกมาเป็นเช่นเดิม คือ ต้นพืชเจริญเติบโตโผล่ขึ้นมาจากผิวดินเพียงหัวนิ้วโป้งเท่านั้น จากนั้นพืชผลกลับเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด แผ่นดินบนอาณาจักรตะวันทองไม่อุดมสมบูรณ์อีกต่อไป

ชาวเมืองเริ่มเดือดร้อน อดยากจากการขาดอาหาร และเจ็บป่วย เพราะพืชสมุนไพรที่ใช้รักษา เริ่มขาดแคลน และไม่เพียงพอต่อคนเจ็บป่วยที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน ๆ  การปล้นเสบียงอาหาร ยารักษาโรค จึงมีเกิดขึ้นในอาณาจักรตะวันทอง จากที่เคยสงบร่มเย็นกลับวุ่นวายปั่นป่วน

“เราจะทำอย่างไรดี เราจนปัญญาจริง ๆ อุกกาบาตลูกนั่นนำพาหายนะมาสู่บ้านเมืองเรา แต่เรากลับทำอะไรไม่ได้เลย” พระราชาซามานเอ่ยกับเหล่าขุนนางที่นั่งล้อมรอบพระองค์ การประชุมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นแทบจะทุกวัน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ดังใจนึก

“กระหม่อมส่งจดหมายไปยังอาณาจักรตะวันเงินเพื่อขอซื้ออาหาร ยารักษาโรค ตามที่พระองค์บัญชาแล้วพะย่ะค่ะ แต่ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว ทางนั้นยังไม่ส่งจดหมายตอบกลับมา” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

“ยังมีทางที่อาณาจักรตะวันทองจะรอดพ้นภัยพิบัติในครั้งนี้พะย่ะค่ะ” โหราสมิงพรายเอ่ยขึ้น

“จะทำได้อย่างไรท่านโหราว่ามา”

โหราสมิงพรายลุกขึ้นยืน แล้วค้อมศีรษะคำนับให้องค์ราชา

“ตามที่ข้าพเจ้าได้ตรวจดูดวงชะตาบ้านเมือง จึงพบว่า อุกกาบาตที่ตกมายังอาณาจักรของเรานั่น มาเพื่อรับการบวงสรวงจากพระองค์ และหากมันได้ตามต้องการแล้ว มันก็จะจากไป” โหราสมิงพรายหยุดพูด เพื่อระบายลมหายใจแล้วพูดต่อ

“พระราชินีอามีกำลังทรงตั้งพระครรภ์ หากพระราชินีทรงให้กำเนิดพระโอรส บ้านเมืองเราจะกลับมารุ่งโรจน์ รุ่งเรืองดังเดิม แต่ทว่า หากพระราชินีทรงให้กำเนิดพระธิดา บ้านเมืองจะตกอยู่กลียุค ยากแค้นและทุกข์เข็ญ พระองค์จำเป็นต้องสังเวยพระธิดาแก่อุกกบาตลูกนั้นพ่ะย่ะค่ะ

จบคำพูดของโหราสมิงพราย พระราชาซามานพระพักตร์แดงก่ำ แววตาเกรี้ยวโกรธจนยากจะควบคุมไว้ได้

“โหราสมิงพราย!! เจ้า จะให้ข้า ฆ่าลูกตัวเองงั้นรึ” องค์ราชาตะโกนก้องและชี้นิ้วมาทางโหราสมิงพราย

“สละชีวิตหนึ่งคนเพื่อช่วยชีวิตประชาชนทั้งอาณาจักร พระองค์คิดว่า สิ่งนี้ควรทำหรือไม่” โหราสมิงพรายค้อมศีรษะคำนับแล้วเดินออกจากห้องไป

การประชุมในวันนี้จึงจบลงเพียงเท่านี้....

ตะวันแดงฉานอาบท้องฟ้าราวสีเลือด แผ่นดินแห้งแล้ง อุกกาบาตก้อนใหญ่ยังฝังอยู่บนพื้นแผ่นดินอาณาจักรตะวันทอง ส่วนที่โผล่พ้นพื้นดินออกมา มีความสูงเทียบเคียงหอคอยปราสาท ผิวของอุกกาบาตดำมันแวววาวเมื่อต้องกับแสงแดด

เสียงข้าทาสบริวารตะโกนก้องทั่วพระราชวัง

“พระราชินีอามีจะคลอดแล้ว”  เสียงหนึ่งตะโกนบอกคนหนึ่ง อีกคนตะโกนบอกต่อเป็นทอด ๆ

ภายในห้องบรรทม พระราชินีอามีส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด โดยมีพระราชาซามานนั่งอยู่ข้าง ๆ กุมมือหญิงคนรักไว้มั่น

“ท่านพี่ รับปากข้า หากลูกของเราเป็นหญิง ได้โปรดปกป้องลูก อย่าให้ใครมาทำร้ายลูกเราได้”

“ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกเรา เจ้าวางใจเถิด”

“องค์ราชา เชิญออกไปรอนอกห้องก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงพูดขึ้น

ในห้องบรรทมจึงมีแค่หมอหลวงหนึ่งคน นางกำนัลหนึ่งคนเท่านั้น

เสียงทารกร้องดังลั่นห้อง และดังออกมานอกห้อง คนรออยู่นอกห้องต่างพากันตื่นเต้นดีใจ โดยเฉพาะองค์ราชาที่ลุ้นหัวใจแทบหยุดเต้น ขอให้ลูกเป็นโอรส สักพักประตูห้องบรรทมพลันเปิดออกมา นางกำนัลเป็นผู้มาแจ้งข่าว

“พระองค์ได้พระโอรสเพคะ” นางแจ้งข่าวด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

“ขอข้าเข้าไปดูลูกข้าหน่อย” พระราชาดีใจแทบจะกระโดด

“เดี๋ยวก่อนเพคะ ขอให้หม่อมฉันได้ทำความสะอาดพระโอรสก่อน ตอนนี้ร่างกายพระโอรสเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและกลิ่นคาวเพคะ”

องค์ราชาพยักพระพักตร์ ประตูห้องถูกปิดลง องค์ราชาหันหน้ามามอง ขุนนางข้าทาสบริวารที่ยืนเรียงรายอยู่หน้าห้อง

“ข้าได้โอรส โหราสมิงพราย ต่อไปนี้บ้านเมืองเราจะรุ่งเรืองดังเช่นเจ้าทำนายไว้”

“กระหม่อมหวังเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าจะตั้งชื่อลูกของข้าว่า อัลมาส

...............................................

อัลมาสเติบโตเป็นองค์ชายอย่างสมบูรณ์แบบ เก่งทั้งวิชาการสู้รบและการประพันธ์บทกวี อัลมาสในวันสิบเจ็ดปีสง่างาม หล่อเหลา และเด็ดเดี่ยว

ตลอดระยะเวลาสิบเจ็ดปีที่อัลมาสเติบโตมา อาณาจักรตะวันทองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ประชาชนยังแร้นแค้นอดยาก แต่ทุกคนยังมีพืชพันธุ์ให้เก็บเกี่ยวกิน เพราะเรียนรู้ที่จะปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน โดยวิธีการดังกล่าวนี้องค์ชายอัลมาส เป็นผู้คิดค้นและนำมาเผยแพร่แก่ชาวบ้าน ทุกบ้านปลูกพืชไว้กินเอง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอต่อการยังชีพ บางคนจึงผันตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าลึก และหลายคนได้เอาชีวิตไปทิ้งไว้ในป่าลึก

องค์ชายอัลมาสทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางช่วยเหลือประชาชน พระองค์พยายามหาทางทำลายอุกกาบาต ทั้งทุบ ใช้น้ำกรดกัดกร่อน เผา หรือแม้แต่พยายามหาทางเคลื่อนย้ายมันออกไป แต่ไม่ว่าใช้วิธีไหนก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

“องค์ชายพะย่ะค่ะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ตอนนี้เกิดเหตุวุ่นวายทั่วเมือง มีโจรร้ายบุกเข้ามาปล้นเมืองเราพะย่ะค่ะ” ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องสมุดเพื่อรายงานแก่องค์ชายที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง

“เฮอะ ไอ้พวกโจรกระจอก พวกมันจะมาปล้นเอาอะไรจากเมืองที่กำลังอดอยาก หากพวกมันอยากได้อะไรก็ให้พวกมันไป แต่ถ้าทำร้ายประชาชนของข้า มันได้เจอข้าแน่”

องค์ชายอัลมาสคว้าเอาดาบ คันธนู และสะพายถุงใส่ลูกธนูไว้ด้านหลัง ใบหน้าขรึม เดินจ้ำอ้าวออกจากห้องสมุดอย่างรวดเร็ว

กองกำลังทหารส่วนหนึ่งควบม้า ตามติดองค์ชายมาอย่างกระชั้นชิด  และได้เผชิญหน้ากำลังกองโจรตรงกลางหมู่บ้าน องค์ชายอัลมาสง้างคันธนูออก แล้วเล็งไปที่ชายรูปร่างสูงใหญ่ องค์ชายคาดคิดว่ามันคงเป็นหัวหน้ากองโจร เพราะมันตะโกนออกคำสั่งคนของมัน ลูกธนูถูกปล่อยออกไปด้วยความเร็วดุจพายุร้าย ทว่ามันกลับไหวตัวทัน มันตวัดดาบปัดลูกธนูจนเบี่ยงเบนไปทิศทางอื่น

“ไอ้เด็กหนุ่มบนหลังม้า เจ้าแน่มาก ที่กล้าเล็งธนูมาที่ข้า” หัวหน้ากองโจรชี้ดาบมาที่องค์ชาย แล้วเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ องค์ชายโดดลงจากหลังม้า ชักดาบขึ้นมา ตั้งท่าพร้อมสู้กับมัน

“ฮะฮา ตัวกระเปี๊ยกเดียวทำเก่งนะ” หัวหน้ากองโจรส่งเสียงหัวร่อดังก้อง ยืนเอียงคอจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างครุ่นคิด เหมือนมีอะไรผิดแปลกไปกว่าที่ตาเห็น คนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนอย่างเขา มีรึจะดูไม่ออกว่าคนที่อยู่ตรงหน้ามิใช่บุรุษ แต่เป็นสตรีต่างหาก แล้วทำไม ตัดผมสั้น แล้วแต่งตัวเยี่ยงบุรุษเช่นนี้ ด้วยความสงสัยนี้เขาจึงไม่คิดบุ่มบ่ามเข้าไปโจมตีคนตรงหน้า

“องค์ชายหลบไป” ทหารนายผู้หนึ่งวิ่งมาเผชิญหน้ากับหัวหน้ากองโจร และเอาตัวเองบังองค์ชายไว้

“องค์ชายงั้นรึ หรือข้าจะดูผิดไป งั้นคงต้องขอดูใกล้ ๆ กว่านี้” หัวหน้ากองโจรเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงตวัดดาบฟาดฟันใส่นายทหาร เพียงสามกระบวนเท่านั้น ซึ่งนี้ก็เพียงพอให้นายทหารผู้นั้นลงไปนอนสิ้นท่าหอบหายใจแรงบนกองดิน

องค์ชายอัลมาสเดินตรงเข้ามาเผชิญหน้ากับมัน ตวัดดาบฟันเฉียดไหล่ซ้ายของมัน หัวหน้ากองโจรเพียงเหวี่ยงตัวหลบเท่านั้น หาได้ยกดาบขึ้นมาตอบโต้ ทว่าดาบขององค์ชายกระหน่ำฟาดฟันใส่เขาอย่างไม่หยุดยั้ง เพลงดาบแม้นไร้กระบวนท่า แต่ทว่ากลับรุนแรง และดุดัน จนเขาจำต้องยกดาบของตัวเองขึ้นมาตั้งรับ และสวนกลับไป

“ฝีมือไม่เบาองค์ชาย” หัวหน้ากองโจรเย้าแหย่

“พาคนของเจ้าออกไปจากเมืองข้า” องค์ชายพุ่งกายโรมรันเข้ามาโจมตีมันอีกครั้ง คราวนี้องค์ชายเคลื่อนกายหมุนตัวเป็นวงกลม ในขณะที่มือกวาดแกว่งดาบตวัดหมุนเกลียวล้อมรอบตัวหัวหน้ากองโจรเอาไว้

“มีทีเด็ดด้วย แต่ข้าไม่ไป...ถ้าไม่ได้ตัวองค์ชายไปด้วย” หัวหน้ากองโจรเอ่ยขึ้น ยกดาบขึ้น มันจับด้ามดาบแค่ปลายนิ้วมือ จากนั้นสะบัดดาบขึ้นลงอย่างรวดเร็ว จนดาบเคลื่อนไหวอ่อนโยนแล้วใช้ฝ่ามือกระแทกด้ามดาบ ให้พุ่งเข้าไปในเกลียวคลื่นดาบขององค์ชาย เสียงดาบกระทบกันดังเพล้ง ดาบขององค์ชาย กระเด็นหล่นออกจากมือ ส่วนดาบของหัวหน้ากองโจร ยังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ มันคว้าเอาดาบตัวเองแล้วอาศัยจังหวะที่องค์ชายกำลังตกตะลึง กับบาดแผลที่โดนบาดบริเวณหลังมือ หัวหน้ากองโจรคว้าหมับรวบตัวองค์ชายเอาไว้ มือหนึ่งกอดเอวองค์ชายไว้มั่น ส่วนอีกมือใช้ดาบจี้คอองค์ชายและมันไม่ลืมที่จะเลื่อนมือจากเอวมาสำรวจบริเวณเนินอก รอยยิ้มจาง ๆ ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้ามัน

“เจ้า!!” องค์ชายถลึงตาจ้องมองมันด้วยความโกรธแค้น

“หยุดสู้กัน ข้าได้ตัวองค์ชายของพวกเจ้าแล้ว หากอยากได้ตัวองค์ชายคืน ให้เอาของที่มีค่าที่สุดในอาณาจักรเจ้ามาแลก….พวกเราทุกคนกลับกันเถอะ”

มันลากตัวองค์ชายหายเข้าไปในป่า ปล่อยให้ทหารทั้งหลายยืนมองด้วยใจหวาดหวั่น และเมื่อการต่อสู้สงบลง ทุกคนจึงได้เห็นว่า การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีใครตาย มีเพียงคนที่บาดเจ็บเท่านั้น พวกมันปล้นเอาแค่ของกิน และไม่มีชาวบ้านคนใดถูกทำร้าย นายทหารทั้งหลายยืนสำรวจมองด้วยความงุนงงระคนโล่งใจที่ไม่ต้องเก็บศพใครไปฝัง

กองโจรทั้งสิบห้ากระโดดขึ้นม้าตัวเอง ซึ่งผูกม้าซ่อนไว้กลางป่า โดยมีคนเฝ้าม้าหนึ่งคนยืนรออยู่แล้ว

หัวหน้ากองโจร จับตัวองค์ชายอัลมาสเหวี่ยงขึ้นม้าตัวเดียวกับเขา....ด้วยรูปร่างหัวหน้ากองโจรกับองค์ชายอัลมาส ต่างกันลิบลับ คนหนึ่งสูงใหญ่กำยำ อีกคนผอมบาง และสูงเพียงอกหัวหน้ากองโจรเท่านั้น การที่คนตัวใหญ่จะจับคนตัวเล็กเหวี่ยงโยนเล่นนับว่าเป็นง่ายดายยิ่งนัก

หัวหน้ากองโจร ปีนขึ้นมานั่งบนหลังม้าต่อหลังองค์ชายอัลมาส

"กลิ่นกายเจ้าหอมนัก" หัวหน้ากองโจรพูดขึ้นให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะก้มหน้าลงมาสูดดมกลิ่นกายองค์ชายบริเวณต้นคอ

องค์ชายขบกรามกัดฟันแน่น ใบหน้าร้อนผ่าว จะด้วยเพราะความโกรธ หรือเพราะความสยิวกาย องค์ชายยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ แผ่นหลังขององค์ชายแนบชิดกับแผ่นอกหนาของเขา หัวใจขององค์ชายสั่นไหว และเต้นระรัวราวมีใครมาลั่นกลองรบตรงกลางหัวใจ

ตั้งแต่เกิดมา องค์ชาย...ไม่ นางคือองค์หญิงต่างหาก นางต้องแสร้งทำตัวเป็นผู้ชายเพื่อตบตาทุกคน คำทำนายของโหราสมิงพรายทำให้นางต้องใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษมาตลอดสิบเจ็ดปี คนที่รู้เรื่องนี้มีเพียง มารดา หมอหลวง และนางกำนัลที่อยู่ในห้องบรรทมเท่านั้น!![
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่