ในปีที่วุ่นวายแต่ก็น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่ง
ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันมอร์เตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP
มีหลายเหตุการณืที่ต้องจดจำเกิด และหนึ่งในนั้นคือการผงาดขึ้นสู่บัลลังก์
ของนักแข่งนอกสายตา ที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นแชมป์โลก
Joan Mir คือชื่อของเขา
และเรามารู้จักแชมป์เปี้ยนผู้มาพร้อมรอยยิ้มคนนี้ให้มากขึ้นอีกนิดกันดีกว่า
Joan Mir Mayrata เกิดที่เมืองพัลมา บนเกาะมาญอร์กา
เกาะในทะเลเมดิเตอเรเนียนของสเปน เมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 1997
พ่อของเขา Juan Mir Perello เป็นเจ้าของร้านสเก็ตในพัลม่า
ส่วน Ana Mayrata แม่ของเขา เป็นแฟชั่นสไตลลิสต์และครูสอนโยคะ
ทั้งคู่แยกทางกันขณะ Mir ยังเด็ก และแม่ของเขาก็แต่งงานใหม่
แต่ดูเหมือนสิ่งนี้จะไม่ได้ทำให้เขาเป็น "เด็กมีปัญหา" แต่อย่างใด
Juan และ Ana ยังคงทำหน้าที่พ่อแม่ที่ให้ความรักความอบอุ่นกับเขา
และเขาก็รักและสนิทสนม Chechu Osinalde พ่อเลี้ยงของเขาเป็นอย่างดี
นั่นคงเป็นเหตุผล ที่ทำให้เขาเติบโตมาอย่างคนที่มองโลกในแง่ดี
และมีรอยยิ้มสดใสระบายบนใบหน้าอยู่เสมอ
Mir กับพ่อของเขา Juan Mir Perello
กับคุณแม่ Ana
กับพ่อเลี้ยงและน้องชาย(ต่างพ่อ) Chechu และ Mauro
โดยมีวิดีโอหนึ่ง ที่ถ่ายทอดความน่าประทับใจของครอบครัวนี้
คือในนัดตัดสินแชมป์ Moto3 ของเมียร์ เมื่อปี 2017
พ่อแม่ที่เลิกรากันไปแล้วของเขา พร้อมด้วยพ่อเลี้ยงและน้องชาย
ได้รวมตัวกันเพื่อส่งกำลังใจให้เด็กหนุ่มผู้เป็นที่รักของพวกเขา
กีฬาชนิดแรกที่ Mir สนใจ คงไม่ใช่การขับมอเตอร์ไซค์
เพราะพ่อของเขาเปิดร้านสเก็ตมาตั้งแต่เขายังไม่เกิด และเขาก็เติบโตมากับมัน
สเก็ตบอร์ด จึงเป็นกีฬาชนิดแรกที่เขาเล่น และหลายคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า
มันอาจจะมีส่วนช่วยในเรื่องการทรงตัวบนรถของเขาในเวลาต่อมา
แม้จะได้ลองขับรถครั้งแรก ขณะอายุ 6 ขวบ
แต่ความสนใจของเขาที่แท้จริงของเขา เกิดขึ้นช้ากว่านั้น
และเป็นการเริ่มต้นที่ออกจะช้ากว่านักแข่งใน MotoGP ส่วนใหญ่
ที่มักจะเริ่มต้นเส้นทางอาชีพ ที่ช่วงอายุราวๆ 3-5 ขวบเท่านั้น
คือเมื่อเขาได้เห็น Joan Perello ญาติผู้พี่ของเขา
ลงแข่งในรายการ 125cc ระหว่างปี 2009 ถึงปี 2011
และเมื่อ Mir ได้ก้าวเข้าสู่สนามแข่งเต็มตัว
เขาก็เลือกใช้เบอร์ 36 เพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้เป็นแรงบันดาลใจของเขา
โดยเมียร์ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
"ผมมีลูกพี่ลูกน้องที่ลงแข่งในรายการ 125 CC
เขาใช้หมายเลข 36 แต่เขาก็เลิกแข่งไป
ผมเลยรับอาสาดูแลหมายเลขของเขาแทน"
Joan Perello นักแข่งหมายเลข 36 ต้นฉบับ
โดยก้าวแรกบนเส้นทางสองล้อของเขา เริ่มต้นที่โรงเรียนสอนขับรถ
ของ Chicho Lorenzo พ่อของ Jorge Lorenzo
แชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ และอีกหนึ่งฮีโร่ของชาวมาญอร์ก้า
และลอเรนโซ่ผู้พ่อ ก็ได้ออกปากชมเชยลูกศิษย์คนนี้ของเขา
ว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งที่เขาเคยสอนมา
แต่ในอีกแง่ ก็ต้องบอกว่า Chicho ก็มีพรสวรรค์ในการเป็น “นักปั้น”
และมีสายตาที่แหลมคมยิ่ง ในการมองหาเพชรเม็ดงามมาเจียระไน
เพราะแชมป์โลก 2 จาก 3 คนหลังสุด ล้วนมาจากการปลุกปั้นของเขา
ด้วยสองมือพ่อนี้ที่สร้าง(แชมป์)โลก
Chicho Lorenzo กับสองผลงานแห่งความภาคภูมิใจ
ลูกชายสุดที่รัก และลูกศิษย์คนเก่ง
เป็นที่รู้กัน ว่าการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ เป็นกีฬาที่ต้องใช้ทุนทรัพย์สูง
ครอบครัวของเมียร์นั้น แม้จะไม่ถือว่ายากจน แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าร่ำรวย
และไม่สามารถจะทุ่มเงินเพื่อต่อยอดความฝันให้กับเขาได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เมียร์จึงต้องชนะ เพื่อให้เตะตาบรรดาสปอนเซอร์ ให้เข้ามาสนับสนุนเขา
ซึ่งเขาได้ย้อนรำลึก ถึงช่วงเวลาใน ในวันที่เขาประสบความสำเร็จแล้วว่า
"พ่อของผมไม่ได้มีเงินมากนัก ที่จ่ายเงินเพื่อให้ผมเข้าทีม
ฉะนั้นทางเลือกเดียวของผมคือผมต้องชนะ
แล้วเหล่าสปอนเซอร์ก็จะมองเห็นผม
ผมซ้อมหนัก แต่ทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้าน
มันก็เก่าโทรมลงไปทุกที พ่อของผมได้เสียสละ
เพื่อความฝันของผมอย่างมากมาย"
จากนั้นชีวิตของเขาก็เป็นไปตามสเต็ปของนักแข่งสองล้อ
คือต้องค่อยๆไต่เต้าจากระดับสมัครเล่น ไปถึงระดับกึ่งอาชีพ
และระดับอาชีพ และแม้ว่าเขาจะเริ่มต้นช้าไปสักหน่อย
แต่เขาก็ชดเชยด้วยพัฒนาการก้าวกระโดดไปได้อย่างรวดเร็ว
Mir ได้ลงแข่งในรายการ Red Bull MotoGP Rookies Cup 2013
และมาได้รองแชมป์ของรายการนี้ในปี 2014
(แชมป์ในปีนั้น คือ Jorge Martín)
หลังจากนั้น เขาก็ได้เซ็นสัญญากับทีม Leopard Racing
เพื่อเป็นนักแข่งอาชีพเต็มตัว ในระดับ Moto3
แต่การเป็นนักแข่งเต็มเวลาของเขา ยังต้องรอไปอีกหนึ่งปี
ในปี 2016 เขาถึงได้เป็นนักแข่งตัวจริงของทีม ในรุ่น Moto3
และปีแรก ในการเป็นนักแข่งอาชีพเต็มตัว เขาก็มีเพื่อนร่วมทีม
เป็นเด็กหนุ่มจากแคว้นโปรวองซ์,ฝรั่งเศส ฟาบิโอ ควาตาราโร่
ซึ่งเมียร์ได้พูดถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมคนแรกของเขาไว้ว่า
"ผมมีความทรงจำที่ดีกับปี 2016 มันเป็นปีแรกของผมในเวิล์ดแชมเปี้ยนชิป
ผมอยู่กับทีมที่ดีมากๆ อย่างทีมลีโอพาร์ด ในช่วงแรก เราติดขัดกับรถนิดหน่อย
แต่ในที่สุด เราก็จัดการมัน และกลับเข้าสู่การแข่งขัน"
"เราเป็นทีมเมทที่ดีมากๆ เราคุยกันทุกเรื่อง
เราแก้ปัญหาด้วยกัน และชนะด้วยกันมากมาย
เขาเร็วกว่าผมมาก ผมได้เรียนรู้มากมาย จากทั้งฟาบิโอและอันเดรีย(โลคาเตลลี่)
ซึ่งในตอนนั้น พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าผม"
ในเวลานั้น คงไม่มีใครจะล่วงรู้ได้เลยว่า เส้นทางของพวกเขา
จะโคจรมาทาบทับกันอีกครั้ง แต่ในรูปแบบที่ต่างออกไป.........
ในปีแรก เมียร์ทำผลงานได้ค่อนข้างดี
ด้วยการคว้าแชมป์ 1 สนาม กับอีก 1 โพเดียม
จบการแข่งขันที่อันดับ 5 ซึ่งจัดว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจ
สำหรับเด็กหนุ่มหน้าใหม่ ที่พึ่งก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งอาชีพเต็มเวลาในปีแรก
พร้อมทั้งคว้ารางวัล Rookie of the year ในปีนั้นมาครอง
ก่อนที่ปีต่อมา เขาจะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยหลายสถิติบนเวที Moto3
โดยการคว้าแชมป์ ด้วยชัยชนะถึงสิบสนาม ซึ่งในระยะเวลากว่า 70 ปี
ของการแข่งขันรุ่นเล็กนี้ ก็มีนักแข่งเพียงแค่ 4 คนที่ทำได้
คือ ฟาอุสโต้ เกรซินี่ , วาเลนติโน่ รอสซี่ , มาร์ค มาร์เกซ
และแน่นอน โจอัน เมียร์...................................
นอกจากนั้น ด้วยคะแนน 341 คะแนน
Mir ได้กลายเป็นแชมป์ ที่มีแต้มสูงสุดตลอดกาลของรุ่นนี้
คงไม่ผิดนัก หากจะบอกว่าชื่อและผลงานของ Joan Mir
ได้กลายเป็นหลักไมล์สำหรับนักแข่งทุกคนใน Moto3 ไปแล้ว
เขากลายเป็นเสมือนยอดเขาเอฟเวอร์เรสต์
ที่นักแข่งคลาสนี้ทุกคนอยากปีนป่ายไปให้ถึง
ในช่วงท้ายของการแข่งขันของ Moto3 ปีนั้น
ด้วยผลงานอันร้องแรงของเขา ทำให้เมียร์ได้ถูกคัดเลือก ให้ไปอยู่ในห้องแถลงข่าว
ของสนาม Phillip Island ที่ออสเตรลีย ร่วมกับเหล่านักแข่งซุปเปอร์สตาร์ในรุ่นใหญ่
และนักแข่งชื่อดังอย่าง มาเวอร์ริค บินญาเลส , อันเดรีย โดวิซิโอโซ่
รวมไปถึงแชมป์โลกอย่าง มาร์ค มาร์เกซ ก็ถูกถามว่า คิดอย่างไร
กับอนาคตของดาวรุ่งฟอร์มแรงผู้นี้ และนี่คือคำตอบของพวกเขา
มาร์ค มาร์เกซ : แน่นอน ผมคิดว่าเขามีศักยภาพและพรสวรรค์อยู่ในตัว
เขายังฉลาด เขาเข้าใจในสนาม เขาเป็นนักแข่งคนเดียวที่แข่งจบได้ทุกสนาม
และนั่นเป็นส่วนหนึ่งในพรสวรรค์ของเขา เขามีความเร็ว เขาตัดสินใจได้ดีบนรถ
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า เขาจะสามารถเป็นนักแข่ง Motogp
ได้อย่างแน่นอนในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ก็อย่างที่เขาพูดนั่นแหละ
คือโฟกัสกับ Moto3 ปีที่ผ่านมาผมก็พยายามบอกน้องชายผมให้ปราบเขาให้ได้
แต่ก็นั่นแหละ เขามีศักยภาพอย่างแน่นอน
แอนเดรีย โดวิซิโอโซ่ : แน่นอน ด้วยร่างกายและพรสวรรค์ของเขา นี่ปีเป็นปีที่สองของเขา
แล้วเขาเป็นแชมป์ด้วยช่องว่างมหาศาลจากที่สอง และเขาชนะได้ ในสถานการณ์หลายรูปแบบ
เขาเร็วมากๆ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของพรสวรรค์ ผมแน่ใจว่าเขาจะมีอนาคตที่สดใส อาชีพการงานที่สดใส
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยวิธีการขับของเขา มันฉลาดมาก และนั่นสามารถสร้างความแตกต่าง
เมื่อคุณขยับไปในระดับสูงขึ้น มันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณมีความเร็ว และฉลาด
นั่นจะสร้างความแตกต่างไปได้มาก คุณแค่ต้องหาทางจัดการสิ่งใหม่ๆที่เข้ามา
มาเวอริค บินญาเลส : เขามีจิตใจที่แข็งแกร่งมาก เมื่อเข้าสู่การแข่งขัน และนั่นสำคัญมาก
นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน Moto3 เขาได้เรียนรู้อย่างมาก
และเขายังจะเรียนรู้ได้อีกมากจาก Moto2 และเขาน่าจะทำมันได้ดี เขามีพรสวรรค์
ผมคิดว่าเขาต้องทำมันได้ดี เขาเพียงแต่ต้องตั้งใจให้มาก และทำงานหนักเหมือนที่เขาทำมา
Moto 3 ก็ อันที่จริงก็ไม่ได้ง่าย เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเขาจะทำมัน(Moto2) ได้ดี
ซึ่งก็เป็นการคาดเดาที่ไม่ผิดเลย แต่ออกจะเป็นเรื่องตลกร้าย
ที่ขำไม่ออกสำหรับ บินญาเลสและโดวิซิโอโซ่
ที่ในท้ายที่สุดแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้
จะคว้าแชมป์โลก MotoGP ไปครองได้
ก่อนพวกเขาเสียอีก....................
หลังคว้าแชมป์โลก Moto3 ด้วยสถิติสวยหรู
เขาก็ได้ขยับไปยังระดับที่สูงขึ้นคือ Moto2 ภายใต้สังกัด Marc VDS Racing Team
โดยมีเพื่อนร่วมทีมเป็น Alex Marquez ที่มีประสบการณ์ในรุ่นนี้มาแล้วถึงสามปี
ในระดับ Moto2 เมียร์ก็ยังทำผลงานได้ดีเช่นเคย
ด้วยการคว้า 2 โพเดียม จบอันดับ 6
พร้อมคว้าตำแหน่ง Rookie of the year อีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเขาจะพร้อมแล้ว สำหรับการขึ้นสู่ชั้น พรีเมียร์ คลาส
แต่ความซับซ้อนเล็กๆ ก็เกิดขึ้นบนเส้นทางสู่การแข่งขันรุ่นใหญ่ของเขา.....
(มีต่อ)
มารู้จักกันให้มากขึ้น กับ Joan Mir ม้านอกสายตา ผู้คว้ามงกุฎแชมป์โลก MotoGP
ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันมอร์เตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP
มีหลายเหตุการณืที่ต้องจดจำเกิด และหนึ่งในนั้นคือการผงาดขึ้นสู่บัลลังก์
ของนักแข่งนอกสายตา ที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นแชมป์โลก
Joan Mir คือชื่อของเขา
และเรามารู้จักแชมป์เปี้ยนผู้มาพร้อมรอยยิ้มคนนี้ให้มากขึ้นอีกนิดกันดีกว่า
Joan Mir Mayrata เกิดที่เมืองพัลมา บนเกาะมาญอร์กา
เกาะในทะเลเมดิเตอเรเนียนของสเปน เมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 1997
พ่อของเขา Juan Mir Perello เป็นเจ้าของร้านสเก็ตในพัลม่า
ส่วน Ana Mayrata แม่ของเขา เป็นแฟชั่นสไตลลิสต์และครูสอนโยคะ
ทั้งคู่แยกทางกันขณะ Mir ยังเด็ก และแม่ของเขาก็แต่งงานใหม่
แต่ดูเหมือนสิ่งนี้จะไม่ได้ทำให้เขาเป็น "เด็กมีปัญหา" แต่อย่างใด
Juan และ Ana ยังคงทำหน้าที่พ่อแม่ที่ให้ความรักความอบอุ่นกับเขา
และเขาก็รักและสนิทสนม Chechu Osinalde พ่อเลี้ยงของเขาเป็นอย่างดี
นั่นคงเป็นเหตุผล ที่ทำให้เขาเติบโตมาอย่างคนที่มองโลกในแง่ดี
และมีรอยยิ้มสดใสระบายบนใบหน้าอยู่เสมอ
Mir กับพ่อของเขา Juan Mir Perello
กับคุณแม่ Ana
กับพ่อเลี้ยงและน้องชาย(ต่างพ่อ) Chechu และ Mauro
โดยมีวิดีโอหนึ่ง ที่ถ่ายทอดความน่าประทับใจของครอบครัวนี้
คือในนัดตัดสินแชมป์ Moto3 ของเมียร์ เมื่อปี 2017
พ่อแม่ที่เลิกรากันไปแล้วของเขา พร้อมด้วยพ่อเลี้ยงและน้องชาย
ได้รวมตัวกันเพื่อส่งกำลังใจให้เด็กหนุ่มผู้เป็นที่รักของพวกเขา
กีฬาชนิดแรกที่ Mir สนใจ คงไม่ใช่การขับมอเตอร์ไซค์
เพราะพ่อของเขาเปิดร้านสเก็ตมาตั้งแต่เขายังไม่เกิด และเขาก็เติบโตมากับมัน
สเก็ตบอร์ด จึงเป็นกีฬาชนิดแรกที่เขาเล่น และหลายคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า
มันอาจจะมีส่วนช่วยในเรื่องการทรงตัวบนรถของเขาในเวลาต่อมา
แม้จะได้ลองขับรถครั้งแรก ขณะอายุ 6 ขวบ
แต่ความสนใจของเขาที่แท้จริงของเขา เกิดขึ้นช้ากว่านั้น
และเป็นการเริ่มต้นที่ออกจะช้ากว่านักแข่งใน MotoGP ส่วนใหญ่
ที่มักจะเริ่มต้นเส้นทางอาชีพ ที่ช่วงอายุราวๆ 3-5 ขวบเท่านั้น
คือเมื่อเขาได้เห็น Joan Perello ญาติผู้พี่ของเขา
ลงแข่งในรายการ 125cc ระหว่างปี 2009 ถึงปี 2011
และเมื่อ Mir ได้ก้าวเข้าสู่สนามแข่งเต็มตัว
เขาก็เลือกใช้เบอร์ 36 เพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้เป็นแรงบันดาลใจของเขา
โดยเมียร์ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
"ผมมีลูกพี่ลูกน้องที่ลงแข่งในรายการ 125 CC
เขาใช้หมายเลข 36 แต่เขาก็เลิกแข่งไป
ผมเลยรับอาสาดูแลหมายเลขของเขาแทน"
Joan Perello นักแข่งหมายเลข 36 ต้นฉบับ
โดยก้าวแรกบนเส้นทางสองล้อของเขา เริ่มต้นที่โรงเรียนสอนขับรถ
ของ Chicho Lorenzo พ่อของ Jorge Lorenzo
แชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ และอีกหนึ่งฮีโร่ของชาวมาญอร์ก้า
และลอเรนโซ่ผู้พ่อ ก็ได้ออกปากชมเชยลูกศิษย์คนนี้ของเขา
ว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งที่เขาเคยสอนมา
แต่ในอีกแง่ ก็ต้องบอกว่า Chicho ก็มีพรสวรรค์ในการเป็น “นักปั้น”
และมีสายตาที่แหลมคมยิ่ง ในการมองหาเพชรเม็ดงามมาเจียระไน
เพราะแชมป์โลก 2 จาก 3 คนหลังสุด ล้วนมาจากการปลุกปั้นของเขา
ด้วยสองมือพ่อนี้ที่สร้าง(แชมป์)โลก
Chicho Lorenzo กับสองผลงานแห่งความภาคภูมิใจ
ลูกชายสุดที่รัก และลูกศิษย์คนเก่ง
เป็นที่รู้กัน ว่าการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ เป็นกีฬาที่ต้องใช้ทุนทรัพย์สูง
ครอบครัวของเมียร์นั้น แม้จะไม่ถือว่ายากจน แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าร่ำรวย
และไม่สามารถจะทุ่มเงินเพื่อต่อยอดความฝันให้กับเขาได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เมียร์จึงต้องชนะ เพื่อให้เตะตาบรรดาสปอนเซอร์ ให้เข้ามาสนับสนุนเขา
ซึ่งเขาได้ย้อนรำลึก ถึงช่วงเวลาใน ในวันที่เขาประสบความสำเร็จแล้วว่า
"พ่อของผมไม่ได้มีเงินมากนัก ที่จ่ายเงินเพื่อให้ผมเข้าทีม
ฉะนั้นทางเลือกเดียวของผมคือผมต้องชนะ
แล้วเหล่าสปอนเซอร์ก็จะมองเห็นผม
ผมซ้อมหนัก แต่ทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้าน
มันก็เก่าโทรมลงไปทุกที พ่อของผมได้เสียสละ
เพื่อความฝันของผมอย่างมากมาย"
จากนั้นชีวิตของเขาก็เป็นไปตามสเต็ปของนักแข่งสองล้อ
คือต้องค่อยๆไต่เต้าจากระดับสมัครเล่น ไปถึงระดับกึ่งอาชีพ
และระดับอาชีพ และแม้ว่าเขาจะเริ่มต้นช้าไปสักหน่อย
แต่เขาก็ชดเชยด้วยพัฒนาการก้าวกระโดดไปได้อย่างรวดเร็ว
Mir ได้ลงแข่งในรายการ Red Bull MotoGP Rookies Cup 2013
และมาได้รองแชมป์ของรายการนี้ในปี 2014
(แชมป์ในปีนั้น คือ Jorge Martín)
หลังจากนั้น เขาก็ได้เซ็นสัญญากับทีม Leopard Racing
เพื่อเป็นนักแข่งอาชีพเต็มตัว ในระดับ Moto3
แต่การเป็นนักแข่งเต็มเวลาของเขา ยังต้องรอไปอีกหนึ่งปี
ในปี 2016 เขาถึงได้เป็นนักแข่งตัวจริงของทีม ในรุ่น Moto3
และปีแรก ในการเป็นนักแข่งอาชีพเต็มตัว เขาก็มีเพื่อนร่วมทีม
เป็นเด็กหนุ่มจากแคว้นโปรวองซ์,ฝรั่งเศส ฟาบิโอ ควาตาราโร่
ซึ่งเมียร์ได้พูดถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมคนแรกของเขาไว้ว่า
"ผมมีความทรงจำที่ดีกับปี 2016 มันเป็นปีแรกของผมในเวิล์ดแชมเปี้ยนชิป
ผมอยู่กับทีมที่ดีมากๆ อย่างทีมลีโอพาร์ด ในช่วงแรก เราติดขัดกับรถนิดหน่อย
แต่ในที่สุด เราก็จัดการมัน และกลับเข้าสู่การแข่งขัน"
"เราเป็นทีมเมทที่ดีมากๆ เราคุยกันทุกเรื่อง
เราแก้ปัญหาด้วยกัน และชนะด้วยกันมากมาย
เขาเร็วกว่าผมมาก ผมได้เรียนรู้มากมาย จากทั้งฟาบิโอและอันเดรีย(โลคาเตลลี่)
ซึ่งในตอนนั้น พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าผม"
ในเวลานั้น คงไม่มีใครจะล่วงรู้ได้เลยว่า เส้นทางของพวกเขา
จะโคจรมาทาบทับกันอีกครั้ง แต่ในรูปแบบที่ต่างออกไป.........
ในปีแรก เมียร์ทำผลงานได้ค่อนข้างดี
ด้วยการคว้าแชมป์ 1 สนาม กับอีก 1 โพเดียม
จบการแข่งขันที่อันดับ 5 ซึ่งจัดว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจ
สำหรับเด็กหนุ่มหน้าใหม่ ที่พึ่งก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งอาชีพเต็มเวลาในปีแรก
พร้อมทั้งคว้ารางวัล Rookie of the year ในปีนั้นมาครอง
ก่อนที่ปีต่อมา เขาจะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยหลายสถิติบนเวที Moto3
โดยการคว้าแชมป์ ด้วยชัยชนะถึงสิบสนาม ซึ่งในระยะเวลากว่า 70 ปี
ของการแข่งขันรุ่นเล็กนี้ ก็มีนักแข่งเพียงแค่ 4 คนที่ทำได้
คือ ฟาอุสโต้ เกรซินี่ , วาเลนติโน่ รอสซี่ , มาร์ค มาร์เกซ
และแน่นอน โจอัน เมียร์...................................
นอกจากนั้น ด้วยคะแนน 341 คะแนน
Mir ได้กลายเป็นแชมป์ ที่มีแต้มสูงสุดตลอดกาลของรุ่นนี้
คงไม่ผิดนัก หากจะบอกว่าชื่อและผลงานของ Joan Mir
ได้กลายเป็นหลักไมล์สำหรับนักแข่งทุกคนใน Moto3 ไปแล้ว
เขากลายเป็นเสมือนยอดเขาเอฟเวอร์เรสต์
ที่นักแข่งคลาสนี้ทุกคนอยากปีนป่ายไปให้ถึง
ในช่วงท้ายของการแข่งขันของ Moto3 ปีนั้น
ด้วยผลงานอันร้องแรงของเขา ทำให้เมียร์ได้ถูกคัดเลือก ให้ไปอยู่ในห้องแถลงข่าว
ของสนาม Phillip Island ที่ออสเตรลีย ร่วมกับเหล่านักแข่งซุปเปอร์สตาร์ในรุ่นใหญ่
และนักแข่งชื่อดังอย่าง มาเวอร์ริค บินญาเลส , อันเดรีย โดวิซิโอโซ่
รวมไปถึงแชมป์โลกอย่าง มาร์ค มาร์เกซ ก็ถูกถามว่า คิดอย่างไร
กับอนาคตของดาวรุ่งฟอร์มแรงผู้นี้ และนี่คือคำตอบของพวกเขา
มาร์ค มาร์เกซ : แน่นอน ผมคิดว่าเขามีศักยภาพและพรสวรรค์อยู่ในตัว
เขายังฉลาด เขาเข้าใจในสนาม เขาเป็นนักแข่งคนเดียวที่แข่งจบได้ทุกสนาม
และนั่นเป็นส่วนหนึ่งในพรสวรรค์ของเขา เขามีความเร็ว เขาตัดสินใจได้ดีบนรถ
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า เขาจะสามารถเป็นนักแข่ง Motogp
ได้อย่างแน่นอนในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ก็อย่างที่เขาพูดนั่นแหละ
คือโฟกัสกับ Moto3 ปีที่ผ่านมาผมก็พยายามบอกน้องชายผมให้ปราบเขาให้ได้
แต่ก็นั่นแหละ เขามีศักยภาพอย่างแน่นอน
แอนเดรีย โดวิซิโอโซ่ : แน่นอน ด้วยร่างกายและพรสวรรค์ของเขา นี่ปีเป็นปีที่สองของเขา
แล้วเขาเป็นแชมป์ด้วยช่องว่างมหาศาลจากที่สอง และเขาชนะได้ ในสถานการณ์หลายรูปแบบ
เขาเร็วมากๆ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของพรสวรรค์ ผมแน่ใจว่าเขาจะมีอนาคตที่สดใส อาชีพการงานที่สดใส
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยวิธีการขับของเขา มันฉลาดมาก และนั่นสามารถสร้างความแตกต่าง
เมื่อคุณขยับไปในระดับสูงขึ้น มันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณมีความเร็ว และฉลาด
นั่นจะสร้างความแตกต่างไปได้มาก คุณแค่ต้องหาทางจัดการสิ่งใหม่ๆที่เข้ามา
มาเวอริค บินญาเลส : เขามีจิตใจที่แข็งแกร่งมาก เมื่อเข้าสู่การแข่งขัน และนั่นสำคัญมาก
นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน Moto3 เขาได้เรียนรู้อย่างมาก
และเขายังจะเรียนรู้ได้อีกมากจาก Moto2 และเขาน่าจะทำมันได้ดี เขามีพรสวรรค์
ผมคิดว่าเขาต้องทำมันได้ดี เขาเพียงแต่ต้องตั้งใจให้มาก และทำงานหนักเหมือนที่เขาทำมา
Moto 3 ก็ อันที่จริงก็ไม่ได้ง่าย เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเขาจะทำมัน(Moto2) ได้ดี
ซึ่งก็เป็นการคาดเดาที่ไม่ผิดเลย แต่ออกจะเป็นเรื่องตลกร้าย
ที่ขำไม่ออกสำหรับ บินญาเลสและโดวิซิโอโซ่
ที่ในท้ายที่สุดแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้
จะคว้าแชมป์โลก MotoGP ไปครองได้
ก่อนพวกเขาเสียอีก....................
หลังคว้าแชมป์โลก Moto3 ด้วยสถิติสวยหรู
เขาก็ได้ขยับไปยังระดับที่สูงขึ้นคือ Moto2 ภายใต้สังกัด Marc VDS Racing Team
โดยมีเพื่อนร่วมทีมเป็น Alex Marquez ที่มีประสบการณ์ในรุ่นนี้มาแล้วถึงสามปี
ในระดับ Moto2 เมียร์ก็ยังทำผลงานได้ดีเช่นเคย
ด้วยการคว้า 2 โพเดียม จบอันดับ 6
พร้อมคว้าตำแหน่ง Rookie of the year อีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเขาจะพร้อมแล้ว สำหรับการขึ้นสู่ชั้น พรีเมียร์ คลาส
แต่ความซับซ้อนเล็กๆ ก็เกิดขึ้นบนเส้นทางสู่การแข่งขันรุ่นใหญ่ของเขา.....
(มีต่อ)