การโดนบูลลี่นั้น มันเป็นปัญหาทางสังคมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลกระทบทางสังคมและทางสุขภาพจิตเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่ได้ลุกลามไปถึงการสูญเสีย ผมเองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าตัวผมเกิดมาเป็นบุคคลออทิสติก แต่ผมก็ได้เคยถูกโดนบูลลี่มาแล้ว แต่ว่ามันเป็นการบูลลี่ที่ขั้นรุนแรงที่สุดในชีวิตของผม ซึ่งทำให้ผมเกือบเคยมีความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายมาแล้ว วันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวนี้เพื่อไว้เป็นกรณีศึกษาให้กับผู้ปกครองและผู้ที่สนใจ เพื่อที่จะนำไปใช้ในการแก้ปัญหาดังกล่าวนะครับ
เมื่อประมาณต้นปี 2561 ตอนนั้นผมอยู่ที่ทำงานแห่งหนึ่งในจ.นนทบุรี ซึ่งผมได้ย้ายมาจากที่ทำงานแถวบางแค มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งพนักงานในแผนกที่ผมทำนั้น เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด ซึ่งก็มาหยอกล้อกันบ้างตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ดี แต่มีพนักงานหญิงคนหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) เขาทำงานในฝ่ายบุคคล และเธอก็นั่งใกล้ๆกับผมด้วยนะครับ เธอเองก็ดีกับผม เล่นกับผม เลี้ยงข้าวผม เปรียบเสมือนพี่สาวที่แสนดีอีกคนหนึ่ง แล้วในช่วงนั้นเอง น้องแพรพาเพลิน ช่างแต่งหน้าเด็กกำลังโด่งดัง เขาก็เอาเครื่องสำอางที่เขาไม่ใช้แล้ว มาให้ผมแต่งหน้า และมีการทำคลิปลง YouTube อีกด้วย แล้วบางครั้ง เขาก็สั่งให้ผมเต้นประกอบเพลง โดยเฉพาะเพลงเต่างอย หรือทำคลิป Tiktok บ้าง ซึ่งมันเป็นความสุขของตัวเขาและเพื่อนร่วมงานอีกระยะหนึ่ง
แต่แล้วเหตุการณ์นั้น ก็มาเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของผม เมื่อพนักงานหญิงคนนี้ ก็ได้มาโกรธผม และเธอก็มาข่มขู่ผมทางคำพูดที่ว่า "ถ้าไก่ทำงานไม่ดี ไก่จะต้องถูกย้ายไปทำงานที่จ.นครศรีธรรมราช" ซึ่งเธอก็พูดคำนี้อยู่ตลอดทั้งวัน จนทำให้ผมไม่มีความสุขในการทำงานเลย จนแทบบางครั้งผมอยากจะฆ่าตัวตายขึ้นมา จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเครียดมากๆจนต้องไปพบจิตแพทย์ ด้วยคำพูดนี้ มันวนเวียนอยู่ในหัวผมมาตลอด จนบางครั้ง ผมก็ใช้วิธีระบายด้วยการตะโกนในที่โล่งๆ เพื่อที่จะหวังว่า ผมคงจะสบายใจนะครับ
และแล้ววันหนึ่ง ผมก็มาทำงานตามปกติ ผมขออนุญาติเจ้านายเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ผมเข้าไปนานมากๆ เจ้านายผมก็สงสัยว่าผมเข้าไปนานทำไม เจ้านายก็เรียกแม่บ้านมาดู ซึ่งตอนนั้น ผมคับแค้นใจพนักงานคนนั้นอยู่ ผมก็เลยเล่าเรื่องราวให้เจ้านายและทุกๆคนได้ฟัง แล้วตอนนั้นผมได้เล่าเรื่องตอนที่ผมไปตะโกนด่าชื่อพนักงานคนนั้น เขาก็โกรธมากๆ ถึงขนาดที่เธอจะไม่พูดกับผมตลอดชีวิต ความรู้สึกในช่วงนั้น มันเดือดมากๆ ผมก็เลยตัดสินใจ ด่าใส่พนักงานหญิงคนนั้น ด้วยอารมณ์ความโกรธาของผม เจ้านายก็ให้ผมไปอยู่นอกออฟฟิศ เพื่อสงบสติอารมณ์ ผมได้ระบายความรู้สึกในที่ทำงานที่นี่ว่า ผมไม่มีความสุขในที่ทำงานเลย ที่ทำงานไกลและขาดความเจริญมากๆ การคมนาคมก็เข้าไม่ถึงอีกด้วย ผมกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง และถ้าหากคำพูดของเธอนั้น มันเกิดขึ้นจริงๆล่ะก็ ผมก็ไม่มีความสุขมากยิ่งขึ้น เพราะผมต้องมีภาระที่จะต้องดูแลคุณแม่ และไม่อยากไปทำงานที่ไกลๆอีกด้วย รวมไปถึงผมมีความฝันที่ต้องทำให้สำเร็จอีกด้วย ต่อจากนั้นเป็นต้นมา คุณลุงก็ได้โทรมาผม คุณลุงก็ได้ทราบเรื่องในวันนั้นแล้ว ผมก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณลุงได้ฟัง ผมบอกกับคุณลุงว่า "คุณลุงครับ ผมกลัว ผมอยากลาออกจากที่ทำงานที่นั่น ผมไม่อยากเจอหน้าคนชั่วคนนั้นแล้ว ผมอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย ผมอยากอยู่กรุงเทพ แต่ถ้าหากเขาจะให้ผมย้ายไปนครศรีธรรมาราชจริงๆ คุณแม่จะอยู่อย่างไร เดินทางไปกลับจากที่นั่นได้มั๊ย ผมกลัวๆๆ" คุณลุงได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดก็ตัดสินใจให้ผมให้ลาออก จากที่ทำงานแห่งนี้ เพราะอยากให้ผมได้ห่างจากพนักงานหญิงชั่วคนนั้น และอยากจะทำให้ความฝันของผมที่อยากจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยให้เป็นจริง
จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ได้กำลังใจจากคุณลุง และคนรอบข้าง ที่ได้เมตตาผม แล้วผมก็ได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ และได้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ตามความฝันของผมเป็นจริง ตราบจนถึงทุกวันนี้
และนี่ล่ะครับ เป็นเรื่องราวและเหตุการณ์ที่ผมโดนบูลลี่ที่หนักที่สุดในชีวิตของผม ในฐานะที่ผมเคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว แต่ผมก็อยากจะบอกว่า การที่คุณไปบูลลี่คนอื่นนั้น ถึงแม้ว่าตัวคุณ จะมีความสุขที่ได้กระทำ แต่หารู้ไม่ว่า คนที่โดนบูลลี่นั้น จะทำให้เกิดความทุกข์ที่ติดตัวเขามาตลอด บางรายก็เกิดการฆ่าตัวตายจนกลายเป็นข่าวดังมาแล้ว ฉะนั้น จงพึงนึกเสมอไว้ว่า การที่คุณบูลลี่คนอื่น ก็เทียบเท่ากับคุณไปฆ่าตัวเขาโดยทางอ้อมครับ
อังกูร ชัยนิมิตวัฒนา
25/11/2563
ปล.เหตุการณ์ดังกล่าว ผมอยากจะให้เรื่องราวทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ เป็นแค่กรณีศึกษาเท่านั้นนะครับ ผมไม่อยากให้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัท หรือบุคลากรในบริษัทดังกล่าวนะครับ และถ้าหากยิ่งแบ่งปันและส่งต่อเรื่องราวนี้ ไปให้คนอื่นๆ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ในการที่จะร่วมรณรงค์การยุติการทำร้ายผู้อื่นทางคำพูด และจะได้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้ไปได้นะครับ
เปิดประสบการณ์ชีวิตบุคคลออทิสติก ครั้งหนึ่ง เขาคนนี้ เคยโดยบูลลี่ขั้นรุนแรง จนเกือบอยากฆ่าตัวตายมาแล้ว !!!
เมื่อประมาณต้นปี 2561 ตอนนั้นผมอยู่ที่ทำงานแห่งหนึ่งในจ.นนทบุรี ซึ่งผมได้ย้ายมาจากที่ทำงานแถวบางแค มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งพนักงานในแผนกที่ผมทำนั้น เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด ซึ่งก็มาหยอกล้อกันบ้างตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ดี แต่มีพนักงานหญิงคนหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) เขาทำงานในฝ่ายบุคคล และเธอก็นั่งใกล้ๆกับผมด้วยนะครับ เธอเองก็ดีกับผม เล่นกับผม เลี้ยงข้าวผม เปรียบเสมือนพี่สาวที่แสนดีอีกคนหนึ่ง แล้วในช่วงนั้นเอง น้องแพรพาเพลิน ช่างแต่งหน้าเด็กกำลังโด่งดัง เขาก็เอาเครื่องสำอางที่เขาไม่ใช้แล้ว มาให้ผมแต่งหน้า และมีการทำคลิปลง YouTube อีกด้วย แล้วบางครั้ง เขาก็สั่งให้ผมเต้นประกอบเพลง โดยเฉพาะเพลงเต่างอย หรือทำคลิป Tiktok บ้าง ซึ่งมันเป็นความสุขของตัวเขาและเพื่อนร่วมงานอีกระยะหนึ่ง
แต่แล้วเหตุการณ์นั้น ก็มาเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของผม เมื่อพนักงานหญิงคนนี้ ก็ได้มาโกรธผม และเธอก็มาข่มขู่ผมทางคำพูดที่ว่า "ถ้าไก่ทำงานไม่ดี ไก่จะต้องถูกย้ายไปทำงานที่จ.นครศรีธรรมราช" ซึ่งเธอก็พูดคำนี้อยู่ตลอดทั้งวัน จนทำให้ผมไม่มีความสุขในการทำงานเลย จนแทบบางครั้งผมอยากจะฆ่าตัวตายขึ้นมา จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเครียดมากๆจนต้องไปพบจิตแพทย์ ด้วยคำพูดนี้ มันวนเวียนอยู่ในหัวผมมาตลอด จนบางครั้ง ผมก็ใช้วิธีระบายด้วยการตะโกนในที่โล่งๆ เพื่อที่จะหวังว่า ผมคงจะสบายใจนะครับ
และแล้ววันหนึ่ง ผมก็มาทำงานตามปกติ ผมขออนุญาติเจ้านายเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ผมเข้าไปนานมากๆ เจ้านายผมก็สงสัยว่าผมเข้าไปนานทำไม เจ้านายก็เรียกแม่บ้านมาดู ซึ่งตอนนั้น ผมคับแค้นใจพนักงานคนนั้นอยู่ ผมก็เลยเล่าเรื่องราวให้เจ้านายและทุกๆคนได้ฟัง แล้วตอนนั้นผมได้เล่าเรื่องตอนที่ผมไปตะโกนด่าชื่อพนักงานคนนั้น เขาก็โกรธมากๆ ถึงขนาดที่เธอจะไม่พูดกับผมตลอดชีวิต ความรู้สึกในช่วงนั้น มันเดือดมากๆ ผมก็เลยตัดสินใจ ด่าใส่พนักงานหญิงคนนั้น ด้วยอารมณ์ความโกรธาของผม เจ้านายก็ให้ผมไปอยู่นอกออฟฟิศ เพื่อสงบสติอารมณ์ ผมได้ระบายความรู้สึกในที่ทำงานที่นี่ว่า ผมไม่มีความสุขในที่ทำงานเลย ที่ทำงานไกลและขาดความเจริญมากๆ การคมนาคมก็เข้าไม่ถึงอีกด้วย ผมกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง และถ้าหากคำพูดของเธอนั้น มันเกิดขึ้นจริงๆล่ะก็ ผมก็ไม่มีความสุขมากยิ่งขึ้น เพราะผมต้องมีภาระที่จะต้องดูแลคุณแม่ และไม่อยากไปทำงานที่ไกลๆอีกด้วย รวมไปถึงผมมีความฝันที่ต้องทำให้สำเร็จอีกด้วย ต่อจากนั้นเป็นต้นมา คุณลุงก็ได้โทรมาผม คุณลุงก็ได้ทราบเรื่องในวันนั้นแล้ว ผมก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณลุงได้ฟัง ผมบอกกับคุณลุงว่า "คุณลุงครับ ผมกลัว ผมอยากลาออกจากที่ทำงานที่นั่น ผมไม่อยากเจอหน้าคนชั่วคนนั้นแล้ว ผมอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย ผมอยากอยู่กรุงเทพ แต่ถ้าหากเขาจะให้ผมย้ายไปนครศรีธรรมาราชจริงๆ คุณแม่จะอยู่อย่างไร เดินทางไปกลับจากที่นั่นได้มั๊ย ผมกลัวๆๆ" คุณลุงได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดก็ตัดสินใจให้ผมให้ลาออก จากที่ทำงานแห่งนี้ เพราะอยากให้ผมได้ห่างจากพนักงานหญิงชั่วคนนั้น และอยากจะทำให้ความฝันของผมที่อยากจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยให้เป็นจริง
จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ได้กำลังใจจากคุณลุง และคนรอบข้าง ที่ได้เมตตาผม แล้วผมก็ได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ และได้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ตามความฝันของผมเป็นจริง ตราบจนถึงทุกวันนี้
และนี่ล่ะครับ เป็นเรื่องราวและเหตุการณ์ที่ผมโดนบูลลี่ที่หนักที่สุดในชีวิตของผม ในฐานะที่ผมเคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว แต่ผมก็อยากจะบอกว่า การที่คุณไปบูลลี่คนอื่นนั้น ถึงแม้ว่าตัวคุณ จะมีความสุขที่ได้กระทำ แต่หารู้ไม่ว่า คนที่โดนบูลลี่นั้น จะทำให้เกิดความทุกข์ที่ติดตัวเขามาตลอด บางรายก็เกิดการฆ่าตัวตายจนกลายเป็นข่าวดังมาแล้ว ฉะนั้น จงพึงนึกเสมอไว้ว่า การที่คุณบูลลี่คนอื่น ก็เทียบเท่ากับคุณไปฆ่าตัวเขาโดยทางอ้อมครับ
อังกูร ชัยนิมิตวัฒนา
25/11/2563
ปล.เหตุการณ์ดังกล่าว ผมอยากจะให้เรื่องราวทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ เป็นแค่กรณีศึกษาเท่านั้นนะครับ ผมไม่อยากให้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัท หรือบุคลากรในบริษัทดังกล่าวนะครับ และถ้าหากยิ่งแบ่งปันและส่งต่อเรื่องราวนี้ ไปให้คนอื่นๆ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ในการที่จะร่วมรณรงค์การยุติการทำร้ายผู้อื่นทางคำพูด และจะได้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้ไปได้นะครับ