🔴วันนี้ 2 ราย! ศบค.รายงานผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ มาจากอินเดีย-ปากีสถาน
วันนี้ (24 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รายงานถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า
ล่าสุด สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในไทยวันนี้ (24 พ.ย.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 2 ราย
ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้า State Quarantine ดังนี้...💌
อินเดีย 1 ราย
ปากีสถาน 1 ราย
ส่งผลให้ผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,922 ราย หายป่วยแล้ว 3,772 ราย โดยยังมีผู้ป่วยที่รักษาอาการอยู่ 90 คน ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม มีผู้เสียชีวิตรวม 60 ราย
https://www.sanook.com/news/8302470/
🔴ข่าวดี!!คาดคนไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 กลางปีหน้า
จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ที่รัฐบาลไทยตกลงร่วมมือในการพัฒนาและเตรียมจัดซื้อวัคซีน ประสบผลสำเร็จเกินข้อกำหนด WHO ประสิทธิผลสูงสุดถึง 90% ไม่พบอาสาสมัครที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล/มีอาการรุนแรง ชูจุดเด่นกำลังการผลิตสูง จัดเก็บง่าย ขนส่งสะดวก เตรียมขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง คาดคนไทยได้ใช้กลางปีหน้า
24 พ.ย.2563 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว ความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอของบประมาณและได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จำนวน 3,700 ล้านบาท เพื่อการจัดหาวัคซีนด้วยวิธีการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน นับเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผลทดลองในเบื้องต้นพบว่า วัคซีนวิจัย AZD1222 ที่มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด และบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าร่วมกันพัฒนา มีประสิทธิผลเกินข้อกำหนดของ WHO โดยการให้วัคซีนแบบแรก คือ ฉีดครึ่งโดสแล้วฉีดตามด้วยอีก 1 โดสหลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 สูงถึง 90% และการให้วัคซีนแบบที่สอง คือ การฉีดวัคซีน 1 โดสแล้วฉีดตามอีก 1 โดสหลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่ 62% จากการให้วัคซีนทั้ง 2 แบบค่าเฉลี่ยของประสิทธิผลโดยรวมอยู่ที่ 70.4% ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด 19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 50% นอกจากนี้ วัคซีนยังมีความปลอดภัยสูง พบว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีน AZD1222 ไม่มีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการรุนแรงหรือต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และมีความปลอดภัยในกลุ่มผู้สูงอายุ ในขั้นตอนถัดไปบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จะนำเสนอผลการทดลองเบื้องต้นที่สมบูรณ์ (full interim) เพื่อการพิจารณาของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องต่อไป
“วัคซีนวิจัย AZD1222 มีความพร้อมในเรื่องการเตรียมกำลังการผลิตที่มีฐานการผลิตทั่วโลกและมุ่งหวังที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอแก่ประเทศต่างๆ จัดเป็นความหวังของชาวโลก นอกจากนี้ วัคซีนสามารถจัดเก็บได้ที่อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดเก็บและขนส่งวัคซีนในระบบปกติของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทำให้วัคซีนชนิดนี้เหมาะสมที่จะนำมาใช้ได้ในสถานการณ์จริง ทั้งนี้ คนไทยมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนชนิดนี้มากกว่าประเทศอื่น คาดว่าจะได้รับวัคซีนกลางปีหน้า เนื่องจากมีความร่วมมือผลิตวัคซีนในประเทศไทยและเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศเพื่อความมั่นคง ในระยะยาว สำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการรับวัคซีนโควิด-19 อยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2563” นพ.โอภาสกล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี กับแอสตร้าเซนเนก้า และมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ในการผลิตวัคซีน AZD1222 จำนวนมากโดยไม่หวังผลกำไร เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา นับเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรด้านสาธารณสุขชั้นนำของโลก อาทิ องค์การอนามัยโลก กลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (CEPI) องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (GAVI) และผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ผนึกกำลังเพื่อช่วยกันกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงและเท่าเทียมโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ด้านนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 สำหรับประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา โดยมอบให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติจัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า และมอบให้กรมควบคุมโรคเป็นผู้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อวัคซีนจากการจองดังกล่าวโดยให้มีผลผูกพันเมื่อได้รับงบประมาณแล้ว โดยครั้งนี้ จะเป็นการจัดหาวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรกลุ่มเป้าหมาย 13 ล้านคน ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งการเข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วนี้จะทำให้ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว ลดการสูญเสีย เชิงเศรษฐกิจได้เป็นมูลค่ากว่าสี่แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในวันศุกร์ที่ 27 พ.ย. เวลา 14.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้าและสัญญาซื้อวัคซีนจากการจอง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
https://siamrath.co.th/n/199587
ประเทศไทยรับมือโควิดได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
จนมาถึงวันนี้ ไทยก็ยังไม่มีการติดเชื้อที่ในประเทศให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
ในปีหน้าอีกไม่ช้าก็จะมีข่าวดีจากวัคซีนที่จะนำมาให้คนไทยนะคะ
ต้องขอบคุณ รัฐบาล ศคบ. และเจ้าหน้าที่รับผิดชอบทุกคนค่ะ
🔴มาลาริน/24พ.ย.ไทยพบโควิด 2 ราย จากตปท./คาดคนไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิดกลางปีหน้า/
วันนี้ (24 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รายงานถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า
ล่าสุด สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในไทยวันนี้ (24 พ.ย.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 2 ราย
ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้า State Quarantine ดังนี้...💌
อินเดีย 1 ราย
ปากีสถาน 1 ราย
ส่งผลให้ผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,922 ราย หายป่วยแล้ว 3,772 ราย โดยยังมีผู้ป่วยที่รักษาอาการอยู่ 90 คน ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม มีผู้เสียชีวิตรวม 60 ราย
https://www.sanook.com/news/8302470/
🔴ข่าวดี!!คาดคนไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 กลางปีหน้า
จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ที่รัฐบาลไทยตกลงร่วมมือในการพัฒนาและเตรียมจัดซื้อวัคซีน ประสบผลสำเร็จเกินข้อกำหนด WHO ประสิทธิผลสูงสุดถึง 90% ไม่พบอาสาสมัครที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล/มีอาการรุนแรง ชูจุดเด่นกำลังการผลิตสูง จัดเก็บง่าย ขนส่งสะดวก เตรียมขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง คาดคนไทยได้ใช้กลางปีหน้า
24 พ.ย.2563 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว ความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอของบประมาณและได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จำนวน 3,700 ล้านบาท เพื่อการจัดหาวัคซีนด้วยวิธีการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน นับเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผลทดลองในเบื้องต้นพบว่า วัคซีนวิจัย AZD1222 ที่มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด และบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าร่วมกันพัฒนา มีประสิทธิผลเกินข้อกำหนดของ WHO โดยการให้วัคซีนแบบแรก คือ ฉีดครึ่งโดสแล้วฉีดตามด้วยอีก 1 โดสหลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 สูงถึง 90% และการให้วัคซีนแบบที่สอง คือ การฉีดวัคซีน 1 โดสแล้วฉีดตามอีก 1 โดสหลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่ 62% จากการให้วัคซีนทั้ง 2 แบบค่าเฉลี่ยของประสิทธิผลโดยรวมอยู่ที่ 70.4% ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด 19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 50% นอกจากนี้ วัคซีนยังมีความปลอดภัยสูง พบว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีน AZD1222 ไม่มีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการรุนแรงหรือต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และมีความปลอดภัยในกลุ่มผู้สูงอายุ ในขั้นตอนถัดไปบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จะนำเสนอผลการทดลองเบื้องต้นที่สมบูรณ์ (full interim) เพื่อการพิจารณาของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องต่อไป
“วัคซีนวิจัย AZD1222 มีความพร้อมในเรื่องการเตรียมกำลังการผลิตที่มีฐานการผลิตทั่วโลกและมุ่งหวังที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอแก่ประเทศต่างๆ จัดเป็นความหวังของชาวโลก นอกจากนี้ วัคซีนสามารถจัดเก็บได้ที่อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดเก็บและขนส่งวัคซีนในระบบปกติของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทำให้วัคซีนชนิดนี้เหมาะสมที่จะนำมาใช้ได้ในสถานการณ์จริง ทั้งนี้ คนไทยมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนชนิดนี้มากกว่าประเทศอื่น คาดว่าจะได้รับวัคซีนกลางปีหน้า เนื่องจากมีความร่วมมือผลิตวัคซีนในประเทศไทยและเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศเพื่อความมั่นคง ในระยะยาว สำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการรับวัคซีนโควิด-19 อยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2563” นพ.โอภาสกล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี กับแอสตร้าเซนเนก้า และมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ในการผลิตวัคซีน AZD1222 จำนวนมากโดยไม่หวังผลกำไร เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา นับเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรด้านสาธารณสุขชั้นนำของโลก อาทิ องค์การอนามัยโลก กลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (CEPI) องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (GAVI) และผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ผนึกกำลังเพื่อช่วยกันกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงและเท่าเทียมโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ด้านนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 สำหรับประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา โดยมอบให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติจัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า และมอบให้กรมควบคุมโรคเป็นผู้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อวัคซีนจากการจองดังกล่าวโดยให้มีผลผูกพันเมื่อได้รับงบประมาณแล้ว โดยครั้งนี้ จะเป็นการจัดหาวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรกลุ่มเป้าหมาย 13 ล้านคน ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งการเข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วนี้จะทำให้ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว ลดการสูญเสีย เชิงเศรษฐกิจได้เป็นมูลค่ากว่าสี่แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในวันศุกร์ที่ 27 พ.ย. เวลา 14.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้าและสัญญาซื้อวัคซีนจากการจอง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
https://siamrath.co.th/n/199587
ประเทศไทยรับมือโควิดได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
จนมาถึงวันนี้ ไทยก็ยังไม่มีการติดเชื้อที่ในประเทศให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
ในปีหน้าอีกไม่ช้าก็จะมีข่าวดีจากวัคซีนที่จะนำมาให้คนไทยนะคะ
ต้องขอบคุณ รัฐบาล ศคบ. และเจ้าหน้าที่รับผิดชอบทุกคนค่ะ