Traveling – it leaves you speechless, then turns you into a storyteller. – Ibn Battuta
สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเรา แอบส่องเก็บข้อมูลจากในพันทิปมานาน วันนี้เลยอยากจะลองมารีวิวกับเขาบ้าง ขอเกริ่นก่อนว่าปกติเป็นคนโลวเทค ถ่ายรูปได้ตามมีตามเกิด รีวิวธรรมดาๆ รูปภาพตัดแปะ อาจไม่สวยเท่าไหร่แต่ก็ตั้งใจทำมากๆยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
กำลังจะปีใหม่ 2021 อีกแล้ว เราเลยอยากจะมารีวิวทริปญี่ปุ่นตอนต้นปี 2020 ของตัวเองค่ะ ตอนนั้นเที่ยวแบบยังไม่รู้ว่ากำลังมีโควิดระบาดเลย (ฮาาา) ซึ่งทริปนี้เป็นทริปที่เราไปคิวชูตอนเหนือ หรือ North Kyushu ค่ะ ส่วนเมืองที่ไปก็ได้แก่ ฟุกุโอกะ โออิตะ เบปปุ ยูฟุอิน และยานางาวะ
รีวิวนี้จะขอรีวิวแค่คร่าวๆ เพราะนานจนลืมไปเกือบหมดแล้วว่าทำอะไรที่ไหนยังไงบ้าง ยิ่งการเดินทางยิ่งจำไม่ได้เลย เพราะปกติใช้แต่ Google Map ค่ะ เชื่ออากู๋หมดใจจริงๆ (แจกแจงค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ท้ายๆค่ะ)
บินกับสายการบินไหน?
ทริปนี้เราบินกับแอร์เอเชียเหมือนกับทุกๆครั้ง โดยได้ตั๋วโปรราคาถูกมากกกกก ประมาณ 5000 นิดๆ แต่ไม่ได้โหลดกระเป๋า จริงๆต้องบอกว่าฟุกุโอกะไม่เคยอยู่ในสายตาเลยค่ะ แต่เพราะตั๋วโปรนี่แหละ เลยตัดสินใจไป
จัดกระเป๋าแบบไหนไม่ให้น้ำหนักเกิน 7 กิโลกรัม?
มีคนเคยบอกว่าไปเที่ยวหน้าร้อนดีกว่า เพราะจัดกระเป๋าง่าย แต่เราว่าเราชอบเวลาไปเที่ยวหน้าหนาวมากกว่า เพราะไม่ต้องเอาเสื้อผ้าไปเยอะ บางอย่างใส่ซ้ำได้
ทริปนี้ที่เราเอาไปมีแค่
- ฮีทเทค ใส่ข้างในสุด เอาไปพอดีวัน
- เสื้อที่ใส่ทับฮีทเทคกับเสื้อกันหนาว อย่างละ1ตัว ใส่ซ้ำเพราะเหงื่อไม่ออกเลย (ปกติไปเที่ยวไม่ค่อยเน้นพร็อพเท่าไหร่ เลยไม่กังวลว่าเวลาถ่ายรูปเสื้อผ้าจะซ้ำมั้ย)
- กางเกงยีนส์ เอาไปแค่ตัวเดียว ไม่มีสำรอง ต้องมั่นใจมากว่าไปเที่ยวแล้วเป้าจะไม่แตก จะไม่เดินไปเกี่ยวกับอะไรจนกางเกงขาด 55555 (ใครไม่สบายใจก็เอาไปเพิ่มได้ค่ะ)
- รองเท้าผ้าใบคู่เดียว ไม่มีรองเท้าแตะไปเปลี่ยน แต่ถุงเท้าบุขนนุ่มๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้เท้า เราเอาไปพอดีวัน
- หมวกไหมพรม ถุงมือ ที่ปิดหู เราเอาไปหมดทุกอย่าง แต่ถึงเวลาแล้วไม่ได้ใช้ เพราะรู้สึกรุงรัง เลยเก็บไว้ที่โฮสเทล
- เสื้อยืดเอาไป 1 ตัว ใส่ไปกับใส่กลับประเทศไทย อากาศบ้านเราร้อน ตอนไปกับตอนกลับเราจะใส่เสื้อยืดแทน
- ชุดนอนเอาไปแค่ 1 ชุด ใส่ซ้ำเพราะใส่แค่ตอนนอนอย่างเดียว เราใช้เป็นเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น
- หน้ากากอนามัยและผ้าปิดตา ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินเราจะเตรียม 2 อย่างนี้เสมอ เพราะเป็นคนจมูกแห้ง ถ้าไม่ใส่หน้ากากอนามัยจะแสบจมูกมาก (ทริปนี้เลยได้อานิสงส์จากการเป็นคนจมูกแห้งนี่แหละ เพราะใส่หน้ากากอนามัยตลอด ไม่รู้ว่าคนที่ขึ้นรถคันเดียวกัน รถไฟขบวนเดียวกันมีคนป่วยมั้ย)
- ถุงทรายร้อน เราซื้อออนไลน์จากไทย เพราะไม่อยากไปหาซื้อที่ญี่ปุ่น มีประโยชน์มาก เวลาหนาวๆ มือเย็นมากๆก็จับไข่ (ที่ใส่ถุงทราย)
สรุปคือน้ำหนักกระเป๋าขาไปของเราหนักแค่ 4.5 กิโลกรัม รวมเครื่องสำอางค์และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ สบายใจว่าขากลับซื้อของได้อีกแน่ๆ
การเดินทางท่องเที่ยวภายในเมืองล่ะ?
การเดินทางในทริปนี้เราจะใช้ Fukuoka city subway 2 days pass และ Suica (ของเก่าที่มีอยู่แล้ว) เป็นหลัก เดินทางไปไหนมาไหนตามเส้นทางที่อากู๋แนะนำ ไม่ค่อยได้ศึกษาเส้นทางก่อนไปค่ะ แต่ขอบอกตรงๆว่าใช้พาสรถไฟใต้ดินไม่คุ้มเท่าไหร่ บางสถานที่เดินทางโดยรถบัสแล้วดีกว่าก็จะใช้รถบัสแทน โดยในทริปนี้เราซื้อ 1 Day tour ด้วย1วัน เลยไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องออกนอกฟุกุโอกะ
อาหารการกิน?
เวลาไปญี่ปุ่นเราจะกินประมาณวันละ 2-3 มื้อ โดยมื้อเช้าจะกินอะไรเบาๆ พวกนม/กาแฟ กับเบเกอรี่ที่หาซื้อได้ตามในมินิมาร์ท กลางวันก็แล้วแต่โอกาสจะอำนวย อาจจะเป็นร้านแฟรนไชส์หรือพวกจังก์ฟู้ด รีบกินรีบอิ่มรีบไป ส่วนมื้อเย็นจะเป็นเวลาที่ได้เลือกมากที่สุด แต่เราไม่ค่อยเน้นกินหรู กินง่ายๆ งบกินเลยไม่บานปลายเท่าไหร่ ขนมหวานกับของว่างนอกมื้อก็มีบ้างประปรายค่ะ วันนึงหมดแค่ 2-3000 เยน โดยเฉลี่ย
พักที่ไหนนะ?
ครั้งนี้เราพักที่โฮสเทลชื่อ Hatago Tenjin ที่พักใกล้สถานีรถไฟใต้ดินสถานี Tenjin ค่ะ เราเลือกห้องที่เป็นหอพักหญิง ราคา 3 คืนแค่ 1,800 กว่าบาท ส่วนห้องพัก เตียงนอนก็ตามสไตล์โฮสเทล เตียง 2ชั้น หลายๆเตียงในห้องเดียว
ข้อเสียคือไฟในห้องน้อยไป ค่อนข้างมืด และไม่มีล็อกเกอร์สำหรับฝากกระเป๋าโดยเฉพาะ ทำให้ทุกคนต้องเอากระเป๋าไปวางที่เตียงตัวเองหรือวางกับพื้น ทำให้พื้นที่ยิ่งแคบ โชคดีที่เราเอาเป้เล็กๆไปใบเดียว เลยวางไว้ที่ปลายเท้าได้ แต่ห้องพักสะอาดดีค่ะ บนเตียงจะมีผ้าปูที่นอนและอุปกรณ์อื่นๆไว้ให้ เราต้องปูเตียงเอง ทำทุกอย่างเอง ผ้าเช็ดตัวที่โฮสเทลจะมีให้และสามารถขอใหม่ได้ทุกวันโดยการแจ้งเลขห้อง ห้องน้ำรวมสะอาดและกว้างขวางมาก มีเครื่องซักผ้าและไดร์เป่าผมด้วย โดยรวมเราชอบที่นี่ โอเคเลย ถ้ามีโอกาสไปอีกก็คงจะพักที่นี่อีกค่ะ
DAY 1 : 15 JAN.20
วันนี้เป็นวันแรกของเรา เริ่มต้นที่สนามบินดอนเมืองค่ะ เทคออฟเกือบเที่ยงคืน พอขึ้นเครื่องได้เราก็จะเปลี่ยนกางเกงยีนส์เป็นกางเกงนอนค่ะ เพราะสบายตัวมากกว่า และกางเกงใส่เที่ยวเรามีแค่ตัวเดียว (แหะๆ) ขาไปเราจองที่นั่งค่ะ เป็นที่นั่งโซนเงียบ เพราะต้องการนอนเยอะๆ เพราะวันต่อไปต้องเที่ยวเลย เลยต้องยอมจ่ายค่าที่นั่งในราคา 500 กว่าบาท แต่ก็คุ้มค่าเพราะไม่ค่อยมีคนนั่ง เราจึงได้นอนแบบนอนจริงๆ ครองเก้าอี้คนเดียว3ตัว
DAY 2 : 16 JAN.20
แลนดิ้งที่สนามบินฟุกุโอกะ ประมาณ7โมงนิดๆ เราก็ต๊ะต่อนยอนตั้งแต่ลงเครื่องบินเลยค่ะ ลงจากเครื่องคนท้ายๆ ผ่าน ตม.คนท้ายๆ เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่งหน้าอีก ชิวๆ หิวข้าวก็กินในสนามบิน เสร็จแล้วก็ไปรับพาสต่างๆ ที่ซื้อจาก KKday ที่เคาน์เตอร์ของเขา ออกจากสนามบินประมาณ 10โมง
หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟออกจากสนามบิน ไปฝากกระเป๋าที่โฮสเทล โฮสเทลมีที่ให้วางกระเป๋าแต่ต้องไม่มีของมีค่าในกระเป๋านะคะ หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จแล้ว เราก็เดินทางไปที่วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) ซึ่งวัดนี้จะออกไปนอกเมืองสักหน่อย แต่เดินทางไม่ยาก อากาศก็หนาวมาก เสียเวลาเดินทางหน่อยแต่คุ้มค่าที่ได้ไปจริงๆ
หลังกลับจากวัด เราก็เดินทางไปที่แลนด์มาร์คอีกอย่างของฟุกุโอกะ ซึ่งก็คือ Fukuoka Tower โดยครั้งนี้จะใช้รถบัสค่ะ เพราะป้ายรถเมล์อยู่ตรงข้ามทาวเวอร์เลย แต่จำไม่ได้แล้วว่าขึ้นสายอะไร เพราะไปเดินหาเอาตอนจะขึ้นเหมือนกัน (ไม่เคยเตรียมความพร้อมเลยจริงๆ) เราซื้อตั๋วเข้าชมผ่าน KKday (อีกแล้ว) จากไทย ไปถึงก็แลกบัตรตัวจริงที่เคาน์เตอร์ได้เลย ไม่ต้องรอซื้อตั๋วอีก เราจะได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ ได้มาเป็นการ์ดใบเล็กๆ แล้วตอนขึ้นลิฟต์-ลงลิฟต์ พนักงานที่อยู่ในลิฟท์ก็จะอธิบายนู่นนี่นั่นให้เราฟัง ซึ่งภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้แข็งแรงอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอสำเนียงญี่ปุ่นอีก เครียดไปใหญ่ แต่ก็ต้องทำหน้าตั้งใจฟังและเข้าใจทุกอย่าง เพราะเขาอุตส่าห์ตั้งใจอธิบายให้ฟังอ่ะเนาะ 55555 (หล่องห้ายยย)
พอลงจากทาวเวอร์แล้ว เราก็มาเดินเที่ยวบนชายหาดข้างๆกัน เรียกว่า Momochi Seaside Park พอฟ้าเริ่มมืด เราเลยเดินทางไป Canal City Hakata โดยใช้รถบัส (อีกแล้ว) เพราะป้ายอยู่ที่หน้าทาวเวอร์ หลังจากลงรถแล้วก็ต้องเดินต่ออีกพักนึงจะถึงตัวห้างตามทางที่อากู๋แนะนำ แบตโทรศัพท์ก็จะหมด พอไปถึงห้างเราเลยไม่ได้ถ่ายรูปมา (ขอยืมรูปจากในอินเตอร์เน็ตมาให้ดูค่ะ) ได้ดูน้ำพุเต้นระบำ และได้ซื้อผ้าพันคอใหม่จาก Uniqlo มา 1 ผืน (ราคาถูกมาก) เพราะไม่ได้พกมาจากไทย ไม่คิดว่าจำเป็นต้องใช้ แต่จริงๆแล้วจำเป็นมากกกก (ของต่างๆในห้างก็ไม่ได้ราคาถูกเท่าไหร่นะคะ แต่มีแบรนด์ให้เลือกเยอะกว่าไปเดินหาที่อื่น)
หลังจากเดินจนปวดขาหมดแล้ว เหนื่อยสุดๆ แบตโทรศัพท์ก็จะหมดแหล่ไม่หมดแหล่ เราจึงตัดสินใจกลับที่พักค่ะ ไปเช็คอิน อาบน้ำนอน เพราะวันต่อไปเราต้องตื่นแต่เช้ามากๆ ไปขึ้นรถให้ทัน เพราะเราจะไปกับทัวร์กันค่ะ
[Cr] ผู้หญิงคนเดียวเที่ยว North Kyushu ต้นปี 2020 🇯🇵 5วัน-3คืน งบ 15,000
กำลังจะปีใหม่ 2021 อีกแล้ว เราเลยอยากจะมารีวิวทริปญี่ปุ่นตอนต้นปี 2020 ของตัวเองค่ะ ตอนนั้นเที่ยวแบบยังไม่รู้ว่ากำลังมีโควิดระบาดเลย (ฮาาา) ซึ่งทริปนี้เป็นทริปที่เราไปคิวชูตอนเหนือ หรือ North Kyushu ค่ะ ส่วนเมืองที่ไปก็ได้แก่ ฟุกุโอกะ โออิตะ เบปปุ ยูฟุอิน และยานางาวะ
รีวิวนี้จะขอรีวิวแค่คร่าวๆ เพราะนานจนลืมไปเกือบหมดแล้วว่าทำอะไรที่ไหนยังไงบ้าง ยิ่งการเดินทางยิ่งจำไม่ได้เลย เพราะปกติใช้แต่ Google Map ค่ะ เชื่ออากู๋หมดใจจริงๆ (แจกแจงค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ท้ายๆค่ะ)
บินกับสายการบินไหน?
ทริปนี้เราบินกับแอร์เอเชียเหมือนกับทุกๆครั้ง โดยได้ตั๋วโปรราคาถูกมากกกกก ประมาณ 5000 นิดๆ แต่ไม่ได้โหลดกระเป๋า จริงๆต้องบอกว่าฟุกุโอกะไม่เคยอยู่ในสายตาเลยค่ะ แต่เพราะตั๋วโปรนี่แหละ เลยตัดสินใจไป
จัดกระเป๋าแบบไหนไม่ให้น้ำหนักเกิน 7 กิโลกรัม?
มีคนเคยบอกว่าไปเที่ยวหน้าร้อนดีกว่า เพราะจัดกระเป๋าง่าย แต่เราว่าเราชอบเวลาไปเที่ยวหน้าหนาวมากกว่า เพราะไม่ต้องเอาเสื้อผ้าไปเยอะ บางอย่างใส่ซ้ำได้
ทริปนี้ที่เราเอาไปมีแค่
- ฮีทเทค ใส่ข้างในสุด เอาไปพอดีวัน
- เสื้อที่ใส่ทับฮีทเทคกับเสื้อกันหนาว อย่างละ1ตัว ใส่ซ้ำเพราะเหงื่อไม่ออกเลย (ปกติไปเที่ยวไม่ค่อยเน้นพร็อพเท่าไหร่ เลยไม่กังวลว่าเวลาถ่ายรูปเสื้อผ้าจะซ้ำมั้ย)
- กางเกงยีนส์ เอาไปแค่ตัวเดียว ไม่มีสำรอง ต้องมั่นใจมากว่าไปเที่ยวแล้วเป้าจะไม่แตก จะไม่เดินไปเกี่ยวกับอะไรจนกางเกงขาด 55555 (ใครไม่สบายใจก็เอาไปเพิ่มได้ค่ะ)
- รองเท้าผ้าใบคู่เดียว ไม่มีรองเท้าแตะไปเปลี่ยน แต่ถุงเท้าบุขนนุ่มๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้เท้า เราเอาไปพอดีวัน
- หมวกไหมพรม ถุงมือ ที่ปิดหู เราเอาไปหมดทุกอย่าง แต่ถึงเวลาแล้วไม่ได้ใช้ เพราะรู้สึกรุงรัง เลยเก็บไว้ที่โฮสเทล
- เสื้อยืดเอาไป 1 ตัว ใส่ไปกับใส่กลับประเทศไทย อากาศบ้านเราร้อน ตอนไปกับตอนกลับเราจะใส่เสื้อยืดแทน
- ชุดนอนเอาไปแค่ 1 ชุด ใส่ซ้ำเพราะใส่แค่ตอนนอนอย่างเดียว เราใช้เป็นเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น
- หน้ากากอนามัยและผ้าปิดตา ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินเราจะเตรียม 2 อย่างนี้เสมอ เพราะเป็นคนจมูกแห้ง ถ้าไม่ใส่หน้ากากอนามัยจะแสบจมูกมาก (ทริปนี้เลยได้อานิสงส์จากการเป็นคนจมูกแห้งนี่แหละ เพราะใส่หน้ากากอนามัยตลอด ไม่รู้ว่าคนที่ขึ้นรถคันเดียวกัน รถไฟขบวนเดียวกันมีคนป่วยมั้ย)
- ถุงทรายร้อน เราซื้อออนไลน์จากไทย เพราะไม่อยากไปหาซื้อที่ญี่ปุ่น มีประโยชน์มาก เวลาหนาวๆ มือเย็นมากๆก็จับไข่ (ที่ใส่ถุงทราย)
สรุปคือน้ำหนักกระเป๋าขาไปของเราหนักแค่ 4.5 กิโลกรัม รวมเครื่องสำอางค์และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ สบายใจว่าขากลับซื้อของได้อีกแน่ๆ