(2 สาวเพื่อนซี้) ขี้เกียจทำวีซ่า Uruguay ล่องเรือไปแล้วกัน ได้ไป Brazil ต่อด้วย


จากไทยต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่ Buenos Aires, Argentina เราบินตรง กทม ไปลอนดอน  12 ชม แล้วก็บินตรงต่ออีก 16ชม ไปบัวโนสไอเรส ก่อนขึ้นเรือเราไปเที่ยวน้ำตก Iguazu Falls และจิบไวน์ที่ Mendoza กันก่อน 
Iguazu Falls + Mendoza = https://traveldouble.co/2020/08/13/ลุยหนึ่งในน้ำตกที่ยิ่ง/
Argentina = https://traveldouble.co/2020/01/01/ชิลี-vs-อาร์เจนตินา-ฝั่งไห/

ตอนแรกก็ไม่ได้จะไปล่องเรือหรอก แต่วีซ่า Uruguay ทำยากเย็นเหลือเกิน ใช้เวลาทำนาน แล้วก็ยุ่งกับการส่งเอกสาร เราเลยหาทางออกโดยการไป cruise อีกอย่างคิดว่าการนอนบนเรือน่าจะปลอดภัยกว่าสำหรับการเที่ยว Brazil

Embarkation - จุดเริ่มต้นของการล่องเรือ
ท่าเรือ Terminal Benito Quinquela Martín อยู่ในเมือง Buenos Aires ไม่ไกลจากสนามบิน Jorge Newbury ที่เราบินมาลงจาก Mendoza เครื่องลง 12.30pm รับกระเป๋า หาอะไรกินที่สนามบินแล้วก็นั่ง taxi ไป 15นาที ก็ถึงที่ check-in ของ Azamara Cruise เราแจ้งเรือไว้ว่าเราจะมาบ่าย 2 (เผื่อเวลานิดหน่อย จะได้ไม่ต้องรีบออกจากสนามบินมาก) checkin ปิด 3.30pm เรือออกเดินทาง 5pm

ที่ check-in เข้าก็รับกระเป๋าใหญ่เราไปขึ้นเลย ส่วนตัวเราก็ต้องทำเรื่องเอกสารก่อน process ก็จะคล้ายๆการ check-in รร มีการตรวจ passport และขอ credit card พอเสร็จเข้าก็จะให้บัตรเรามาคนละใบ บัตรจะมีชื่อและข้อมูลห้องพัก ต้องพกติดตัวตลอดเวลา เพราะใช้เป็นทั้ง ID/กุญแจห้อง/บัตรจ่ายเงิน ไม่มีการใช้เงินสดบนเรือ ทุกอย่าง charge เข้าไปที่บัตรของตัวเอง พอหมดทริปการจะตัดบัตร credit ที่เราให้ข้อมูลไว้

หลังจากเสร็จการ check-in ก็ไปต่อกันที่ immigration และ security ทำเหมือนที่สนามบินแหละค่ะ ง่ายๆ พอขึ้นเรือไปเข้าจะบอกวันและเวลาที่เราจะต้องไปยื่น passport ให้เจ้าหน้าที่เรือเก็บไว้ ผู้โดยสารทุกคนต้องทำ กันคนหนีและสะดวกสำหรับเจ้าหน้าที่ immigration ของทุกๆ ประเทศที่เราจะเข้าไปเที่ยว เราก็สบายไม่ต้องมาต่อแถวทำอะไรเลย วันกลับ รับ passport แล้วก็ลงเรือได้เลย
   
Cruise Itinerary - โปรแกรมการเดินเรือ
เรามีเวลาทั้งหมด 4 วันที่ไม่ได้ขึ้นฝั่ง วันที่อยู่ at sea จะเป็นวันที่ได้ใช้ facility บนเรือ Azamara Pursuit ซึ่งมีทั้งสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องอาหารต่างๆ casino แล้วก็มีการแสดงให้ดู ส่วนสปา/ร้านทำผม ไม่รวมในค่าเรือนะคะ

เรือลำนี้รวมอาหารและเครื่องดื่ม alcohol คืออิ่ม อ้วนเลยค่ะ มีแค่ห้องอาหาร Italian/Steakhouse และ alcohol บางตัวที่ไม่รวม แต่แนะนำให้ไปลองห้อง italian มากๆนะ ขนม tiramisu อร่อยมากเว่อร์ เรากินไปเยอะมาก บางวันก็ขึ้นไปใกล้เวลาห้องอาหารปิด เพื่อไปขอกิน tiramisu หมูมากจริงๆ 

วันที่มีการให้ขี้นฝั่ง ทางเรือก็จะมีกิจกรรม/ทัวร์ shore excursions ต่างๆขาย ก็แล้วแต่เราเลยว่าจะไปกับเรือ หรือจะเที่ยวเอง แค่ต้องกลับมาขึ้นเรือให้ทันเวลาเรือออกเท่านั้นเอง เราจะเผื่อไว้ประมาณ 1-2ชม แล้วแต่ว่าจุดที่ขึ้นรถติดไหม

นี่คือตารางการเดินทาง 14 วัน 13 คืน ที่จริงเหมือน 12 วันมากกว่า เพราะวันแรกเรือออกเย็น แล้ววันสุดท้ายเรา checkout กันตั้งแต่เช้า ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 9am นะ

Dock (D) = จอดเรือที่ท่า
Tender (T) = จอดกลางทะเล ต่อเรือเล็กเข้าฝั่ง

Uruguay - ไปเที่ยวยังไงไม่ต้องขอวีซ่า
ประเทศอุรุกวัยเป็นประเทศเดียวจาก 13 ประเทศที่เราไปที่ต้องใช้วีซ่า นอกนั้นใช้ Thai passport/US visa/Schengen visa เข้าได้เลย ทางออกเดียวของเราที่จะได้ไปประเทศที่ๆจริงแล้วคิดจะไปเป็น day trip เช้า-เย็นกลับ ได้ก็คือการไปกับเรือสำราญ 

Uruguay แตกต่างจากประเทศใกล้เคียงตรงที่เป็นประเทศที่เจริญแล้ว อยู่ระดับที่ 57 ใน HDI (human development index) ถูกจัดเป็นประเทศที่อยู่ในหมวด Very high human development ซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างบราซิล ที่อยู่ในหมวด high human development ได้ลำดับที่ 79 ส่วนประเทศไทยก็พอๆกัน ได้ที่ 77 

Montevideo - แวะ shopping แล้วไปกันต่อค่ะ
เมืองหลวงที่ไม่มีอะไรมากมาย นอกจากตึกเก่าจะยุค spanish colonial ตอนกลางวันเราเลยลงไปเดินเล่นนิดหน่อย แล้วก็ไปนั่งดื่มกาแฟชิลๆ ที่ Starbucks ตรง Plaza Independencia เรื่องของเรื่องคือ free wifi และแอร์เย็น พอบ่ายๆ ก็เดิน shopping ชุดว่ายน้ำกันนิดหน่อย มีร้านท้องถิ่นชื่อ Daniel Cassin ชุด one piece น่ารักดี เลยจัดไป 2 ตัว เอาไปใส่ที่ Caribbean (https://traveldouble.co/2020/07/12/เที่ยวแคริบเบียน-หาด-flamingo-ที/)

ส่วนตอนเย็น เรา join โปรแกรมของเรือไปดู carnival show ดูขำๆ มันฟรีอะ ดีกว่ากินๆ นอนๆ บนเรือ
           
Punta Del Este - “Monaco of the South”
ถึง Uruguay จะเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีอะไร เหมาะสำหรับการมานอนพักตากอากาศริมหาดจริงๆ แต่ก็เป็นประเทศที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยมาก เหมือนอยู่ยุโรป Highlight ของประเทศ Uruguay ก็คือเมือง Punta Del Este ที่ติด Atlantic Ocean เป็นเมืองตากอากาศของคนทีมีเงินในทวีปนี้ ก็คงไม่แปลกอะไรที่ถูกเปรียบกับ Monaco/Hamptons/St. Tropez

ที่เที่ยวหลักคือ La Mano รูปปั้น The Hand ขนาดใหญ่ในทรายที่ตั้งอยู่ริมทะเลตรงหาด Brava Beach ผลงานชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1982 โดยชาว Chile ชื่อว่า Mario Irarrázabal นอกจากที่ Uruguay เขายังได้ไปปั้นมือทิ้งไว้อีก 3 ที่ Madrid/Atacama desert/Venice

ถ้าบอกให้มาเที่ยวทะเลที่นี่ เราคงข้าม ทะเลไม่ได้สวยอะไร ไปสมุยดีกว่า แต่ไหนๆ มาอเมริกาใต้แล้ว จะพลาดไม่ข้ามมาก็คงไม่ได้ สรุปว่าเป็นอีกหนึ่งที่ been there, done that
      

     
Brazil - บราซิล ครั้งเดียวเกินพอ
ส่วนตัวแล้วก็ยังคิดว่าบราซิลเป็นประเทศที่ต้องไปสักครั้งในชีวิต ถึงแม้จะไม่ได้มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับพวกเรา เราก็ยังคิดว่าไปครั้งเดียวพอแล้วแหละ อาจจะกลับไปแค่ริโอถ้าจะไปงานแต่งเพื่อน ชอบวิวที่ Sugar Loaf Moutain มากนะ แต่ก็แค่ที่เดียวเลยที่ชอบ นอกนั้นรู้สึกเฉยๆ กับ vibe และความวุ่นวาย

São Paulo- เมืองที่น่ากลัวสุดที่ไปมาในทวีป
เรือเข้าท่าที่ Santos เมืองท่าที่อยู่ห่างจากเมืองเซาเปาโล ประมาณ 1.5-2 ชม แล้วแต่ว่ารถติดขนาดไหน ซึ่งปกติติดมาก ไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ เราเลือกที่จะซื้อ day tour ของเรือถึงแม้จะรู้สึกว่าแพงและไม่คุ้มค่าเงินเท่าไหร่ แต่เพราะเวลาเรามีจำกัดเลยปลอดภัยกว่าที่จะไปกับคนของเรือ ถ้ารถติดเรือก็รอ ซึ่งถ้าไปเอง แล้วกลับมาไม่ทัน โดนทิ้งนะคะ ต้องหาทางไปเจอที่ท่าจอดเรือต่อไปเอง

นี่คือ excerpt ส่วนหนึ่งที่ตัดมาจากบันทึกการเดินทางของเรา
"I didn’t enjoy Sao Paolo at all even though the weather turned out better than expected. The city is dirty, crowded, and full of homeless/beggars. Although I didn’t feel threatened at any time, I didn’t feel safe either. One thing I did like is the park. Brazil is currently my least favorite country this trip."

พวกเราไม่ชอบเมืองนี้มากๆ มันทั้งสกปรก คนเยอะ homeless นอนเต็มเมือง เป็นเมืองที่เดินแล้วรู้สึกไม่อยากเดิน โปรแกรมของวันนั้นเรานั่งรถชมถนน Paulista Avenue ถนนเส้นนี้เป็น most expensive real estate in Latin America เลยนะ หลังจากนั้นก็ไปต่อกันที่ Oscar Freire Street หรือที่คนมักจะยกให้เป็น Latin America's "5th Avenue" เพราะ Sao Paulo เป็นเมือง financial ด้วยแหละมั้ง ตึกอะไรๆ ก็จะแนว New York City
 
        
หลังจากนั้นไกด์ก็พาเดินดู Liberdade District/Metropolitan Cathedral/ตึก Stock Exchange และเข้าไปชม Se Cathedral
มื้อเที่ยงรวมในค่าทัวร์ เขาพาไปร้าน churrascaria barbeque มันเป็นร้าน buffet ที่เน้นเนื้อสัตว์ กินเสร็จก็ไปสวน Ibirapuera Park ก่อนจะกลับเรือ เราชอบสวนนะ เป็นที่ๆเดียวที่สงบและเขียวในเมืองนี้

เอาจริงๆ ตั้งแต่ไปมาจะ 120 ประเทศ ไม่เคยรู้สึกไม่ปลอดภัยและกลัวเท่าการมาเที่ยวเมืองนี้ เราจะไม่ไปอีก แล้วก็ไม่แนะนำให้ใครไปด้วย
    
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่