ขออนุญาตคัดลอกเนื้อหาและภาพประกอบจาก Facebook: Saravuth Pornpitaksuk เห็นว่าเป็นประโยชน์มากเลย คนอยากเป็นศิลปินนักร้องควรอ่าน ส่วนคนที่สนใจเรื่องเบื้องหลังวงการเพลง เรื่องนี้ก็เป็นประโยชน์เช่นกัน เนื้อหาทั้งหมดคัดลอกตามต้นฉบับ โดยปรับแต่งให้เหมาะสม พร้อม proof คำผิด สำหรับโพสต์ลง pantip ครับ
จากประสบการณ์การทำงานด้าน Music Production มานานกว่า 20 ปี เห็นศิลปินมากมายที่มีจุดเริ่มต้นต่างกันตั้งแต่เป็นศิลปินอินดี้ลงทุนเอง หรือเซ็นสัญญากับค่ายเพลงที่เป็นผู้ลงทุนให้ ผมอยากแนะนำจุดเริ่มต้นสำหรับศิลปินใหม่ๆ ไม่ว่าคุณจะลงทุนด้วยตัวเองหรือจะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงก็ตาม เรามาดูว่าจะเลือกหนทางไหนดีที่เหมาะกับเรา
หนทางที่หนึ่ง คือ ลงทุนเอง เริ่มต้นจากการที่เราแต่งเพลงเอง เรียบเรียงเอง จากนั้นแล้วเราก็มีทางเลือกในการบันทึกเสียง 2 ทาง ทางแรก คือ เราต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือ มีคอมพิวเตอร์ในการบันทึกเสียง แล้วก็ต้องหาความรู้ในด้านการใช้ Software ต่างๆ เพื่อที่จะได้ทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ทางที่สอง คือ จ้างนักดนตรี เช่าสตูดิโอในการบันทึกเสียง จ้างคนมิกซ์และมาสเตอร์
หลังจากที่เราทำเพลงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เป็นเรื่องของการโปรโมทเพลง ซึ่งในสมัยนี้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก ลงทุนทำมิวสิควิดีโอเพื่อเผยแพร่ทาง YouTube และประชาสัมพันธ์ให้กับแฟนๆ ผ่านทาง Facebook, SoundCloud, Fungjai และพยายามติดต่อหาช่องทางเพื่อที่จะโปรโมทให้ได้มากที่สุดด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ, รายการโทรทัศน์ หรือ สื่อออนไลน์ต่างๆ แต่สิ่งที่คุณทำไม่ได้ด้วยตัวเองก็คือเรื่องการขายเพลงผ่านทาง Digital Platform ต่างๆ เช่น Apple Music, iTunes, Spotify, Joox, True ID, Deezer, Line Music, Tidal และอื่นๆ ซึ่งต้องผ่านบริษัทหรือตัวแทนที่เป็นตัวกลางในการนำเพลงของคุณขึ้น Platform นั้นๆ แต่จะต้องเสียค่าบริการ
ทางที่สอง คือ เซ็นสัญญากับค่ายเพลง ซึ่งค่ายจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการทำมาสเตอร์เพลงทั้งหมด ตั้งแต่ค่าแต่งเพลง เรียบเรียง โปรดิวเซอร์ สตูดิโอบันทึกเสียง มิกซ์ มาสเตอร์ ค่าถ่ายภาพนิ่ง ทำ Artwork ปกซิงเกิ้ล ค่าผลิตมิวสิควิดีโอ ฯลฯ จนเสร็จออกมาเป็นผลงานพร้อมออกสู่สายตาแฟนเพลง และเป็นผู้จัดการเรื่องช่องทางการจำหน่ายเพลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบ ซีดี แผ่นเสียง เทปคาสเส็ท หรือรูปแบบดิจิตอล
และค่ายจะเป็นคนดูแลเรื่องการโปรโมทผลงานเพลง ไม่ว่าจะเป็นทางสื่อหลัก อย่าง วิทยุ โทรทัศน์ หรือทาง Social Media ต่างๆ และอาจจะมีการจัดทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อโปรโมท ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของค่ายนั้นๆ
มาดูกันว่าระหว่างการลงทุนด้วยตัวเองกับการเซ็นสัญญากับค่ายเพลง มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
(ดูจากภาพประกอบด้านล่าง)
ถ้าเราลงทุนด้วยตัวเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเราเซ็นสัญญากับค่ายเพลง มาสเตอร์ต้องเป็นของค่ายเพราะค่ายเป็นคนลงทุนค่าใช้จ่ายให้ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการทำมิวสิควิดีโอและโปรโมท ส่วนลิขสิทธิ์ของคำร้องทำนอง ขึ้นอยู่กับการเซ็นสัญญาของแต่ละงานเพลง อาจจะเป็นของค่ายตลอดไป แต่มีการจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้กับผู้แต่งตามอัตราที่ได้ตกลงกันไว้ หรือว่าเป็นของค่ายในระยะเวลาหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับสัญญา (เช่น 5 ปี) แล้วหลังจากนั้นคืนสิทธิ์ให้กับผู้แต่ง
รายได้ของศิลปินจะมาจาก
1. Physical ซีดี แผ่นเสียง เทปคาสเส็ท หรือสินค้าที่ระลึกต่างๆ
2. Digital ดิจิตอล คือ รายได้จากระบบสตรีมมิ่ง เช่น Spotify, Joox, Apple Music, YouTube
3. Performance งานจ้างงานโชว์
4. Public Performance Licensing การจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เผยแพร่งานเพลงสู่สาธารณชน เช่น ตามร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานีวิทยุ รายการโทรทัศน์ คอนเสิร์ต ฯลฯ สำหรับศิลปินอิสระต้องหาตัวแทนในการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้เรา
ซึ่งถ้าเราลงทุนด้วยตัวเอง รายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเป็นของเราไม่ต้องแบ่งใคร แต่ถ้าเราเซ็นสัญญากับค่าย เราก็ต้องแบ่งรายได้จากทุกช่องทางให้กับค่ายตามสัดส่วนที่ได้ตกลงกันในสัญญาศิลปิน
สำหรับเรื่องสิทธิ์ในการนำเพลงไปร้องในการแสดงสดตามผับบาร์ ร้านอาหาร หรืองานจ้างงานโชว์ต่างๆ ถ้าเราไม่ได้เซ็นสัญญากับค่าย เรามีสิทธิ์ในการนำไปร้องได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราเซ็นสัญญากับค่าย ตราบใดที่เรายังเป็นศิลปินสังกัดค่าย เราสามารถนำเพลงไปร้องได้เช่นกัน แต่ถ้าหมดสัญญา หรือว่าย้ายค่าย ก็ต้องดูรายละเอียดในสัญญาว่าลิขสิทธิ์เพลงเป็นของใคร สามารถนำไปร้องได้หรือไม่
แชร์ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อย ยังมีข้อมูลในอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้ เช่น เรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน สุดท้ายอยากให้คิดไตร่ตรองตัดสินใจให้รอบคอบ ถ้ารู้ไม่มากพอก็ให้ถามผู้รู้ หรือให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย และขอให้โชคดี ทำเพลงได้ยอดร้อยล้านวิวกันนะครับทุกคน!
กระทู้สาระ สำหรับศิลปินนักร้องคนใหม่
จากประสบการณ์การทำงานด้าน Music Production มานานกว่า 20 ปี เห็นศิลปินมากมายที่มีจุดเริ่มต้นต่างกันตั้งแต่เป็นศิลปินอินดี้ลงทุนเอง หรือเซ็นสัญญากับค่ายเพลงที่เป็นผู้ลงทุนให้ ผมอยากแนะนำจุดเริ่มต้นสำหรับศิลปินใหม่ๆ ไม่ว่าคุณจะลงทุนด้วยตัวเองหรือจะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงก็ตาม เรามาดูว่าจะเลือกหนทางไหนดีที่เหมาะกับเรา
หนทางที่หนึ่ง คือ ลงทุนเอง เริ่มต้นจากการที่เราแต่งเพลงเอง เรียบเรียงเอง จากนั้นแล้วเราก็มีทางเลือกในการบันทึกเสียง 2 ทาง ทางแรก คือ เราต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือ มีคอมพิวเตอร์ในการบันทึกเสียง แล้วก็ต้องหาความรู้ในด้านการใช้ Software ต่างๆ เพื่อที่จะได้ทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ทางที่สอง คือ จ้างนักดนตรี เช่าสตูดิโอในการบันทึกเสียง จ้างคนมิกซ์และมาสเตอร์
หลังจากที่เราทำเพลงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เป็นเรื่องของการโปรโมทเพลง ซึ่งในสมัยนี้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก ลงทุนทำมิวสิควิดีโอเพื่อเผยแพร่ทาง YouTube และประชาสัมพันธ์ให้กับแฟนๆ ผ่านทาง Facebook, SoundCloud, Fungjai และพยายามติดต่อหาช่องทางเพื่อที่จะโปรโมทให้ได้มากที่สุดด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ, รายการโทรทัศน์ หรือ สื่อออนไลน์ต่างๆ แต่สิ่งที่คุณทำไม่ได้ด้วยตัวเองก็คือเรื่องการขายเพลงผ่านทาง Digital Platform ต่างๆ เช่น Apple Music, iTunes, Spotify, Joox, True ID, Deezer, Line Music, Tidal และอื่นๆ ซึ่งต้องผ่านบริษัทหรือตัวแทนที่เป็นตัวกลางในการนำเพลงของคุณขึ้น Platform นั้นๆ แต่จะต้องเสียค่าบริการ
ทางที่สอง คือ เซ็นสัญญากับค่ายเพลง ซึ่งค่ายจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการทำมาสเตอร์เพลงทั้งหมด ตั้งแต่ค่าแต่งเพลง เรียบเรียง โปรดิวเซอร์ สตูดิโอบันทึกเสียง มิกซ์ มาสเตอร์ ค่าถ่ายภาพนิ่ง ทำ Artwork ปกซิงเกิ้ล ค่าผลิตมิวสิควิดีโอ ฯลฯ จนเสร็จออกมาเป็นผลงานพร้อมออกสู่สายตาแฟนเพลง และเป็นผู้จัดการเรื่องช่องทางการจำหน่ายเพลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบ ซีดี แผ่นเสียง เทปคาสเส็ท หรือรูปแบบดิจิตอล
และค่ายจะเป็นคนดูแลเรื่องการโปรโมทผลงานเพลง ไม่ว่าจะเป็นทางสื่อหลัก อย่าง วิทยุ โทรทัศน์ หรือทาง Social Media ต่างๆ และอาจจะมีการจัดทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อโปรโมท ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของค่ายนั้นๆ
มาดูกันว่าระหว่างการลงทุนด้วยตัวเองกับการเซ็นสัญญากับค่ายเพลง มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
(ดูจากภาพประกอบด้านล่าง)
ถ้าเราลงทุนด้วยตัวเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเราเซ็นสัญญากับค่ายเพลง มาสเตอร์ต้องเป็นของค่ายเพราะค่ายเป็นคนลงทุนค่าใช้จ่ายให้ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการทำมิวสิควิดีโอและโปรโมท ส่วนลิขสิทธิ์ของคำร้องทำนอง ขึ้นอยู่กับการเซ็นสัญญาของแต่ละงานเพลง อาจจะเป็นของค่ายตลอดไป แต่มีการจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้กับผู้แต่งตามอัตราที่ได้ตกลงกันไว้ หรือว่าเป็นของค่ายในระยะเวลาหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับสัญญา (เช่น 5 ปี) แล้วหลังจากนั้นคืนสิทธิ์ให้กับผู้แต่ง
รายได้ของศิลปินจะมาจาก
1. Physical ซีดี แผ่นเสียง เทปคาสเส็ท หรือสินค้าที่ระลึกต่างๆ
2. Digital ดิจิตอล คือ รายได้จากระบบสตรีมมิ่ง เช่น Spotify, Joox, Apple Music, YouTube
3. Performance งานจ้างงานโชว์
4. Public Performance Licensing การจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เผยแพร่งานเพลงสู่สาธารณชน เช่น ตามร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานีวิทยุ รายการโทรทัศน์ คอนเสิร์ต ฯลฯ สำหรับศิลปินอิสระต้องหาตัวแทนในการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้เรา
ซึ่งถ้าเราลงทุนด้วยตัวเอง รายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเป็นของเราไม่ต้องแบ่งใคร แต่ถ้าเราเซ็นสัญญากับค่าย เราก็ต้องแบ่งรายได้จากทุกช่องทางให้กับค่ายตามสัดส่วนที่ได้ตกลงกันในสัญญาศิลปิน
สำหรับเรื่องสิทธิ์ในการนำเพลงไปร้องในการแสดงสดตามผับบาร์ ร้านอาหาร หรืองานจ้างงานโชว์ต่างๆ ถ้าเราไม่ได้เซ็นสัญญากับค่าย เรามีสิทธิ์ในการนำไปร้องได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราเซ็นสัญญากับค่าย ตราบใดที่เรายังเป็นศิลปินสังกัดค่าย เราสามารถนำเพลงไปร้องได้เช่นกัน แต่ถ้าหมดสัญญา หรือว่าย้ายค่าย ก็ต้องดูรายละเอียดในสัญญาว่าลิขสิทธิ์เพลงเป็นของใคร สามารถนำไปร้องได้หรือไม่
แชร์ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อย ยังมีข้อมูลในอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้ เช่น เรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน สุดท้ายอยากให้คิดไตร่ตรองตัดสินใจให้รอบคอบ ถ้ารู้ไม่มากพอก็ให้ถามผู้รู้ หรือให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย และขอให้โชคดี ทำเพลงได้ยอดร้อยล้านวิวกันนะครับทุกคน!