สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาทางทีมงาน Pantip Garage เราได้รับเกียรติจากทาง บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส (ปอร์เช่ ประเทศไทย) เชิญไปทดสอบ Porsche Taycan Turbo รถไฟฟ้าสมรรถนะสูงแบบ EV 100% เรียกได้ว่าเป็นรถไฟฟ้าคันแรกของค่ายเลย
โดยใช้สนามปทุมธานีสปีดเวย์ เป็นที่ทดสอบ เช่นเคย
ซึ่งเป็นการทดสอบสั้นๆ เพียงแค่ 1 รอบ ซึ่งจะใช้เวลาเพียงประมาณ 3 นาทีเท่านั้น จะเป็นยังไงกันบ้างมารับชมกันเลยครับ
สำหรับรายละเอียดพวกสเป็กของตัวรถนั้น เบื้องต้น ผมจะขออนุญาตไม่พูดถึงแบบลงลึกกันนะครับ อาจจะขอพูดหลักๆ โฟกัสเข้าไปที่ตัวขุมพลังเท่านั้น เพราะ เนื่องจากเวลที่จำกัด และนั่งไปกับ Instructor ด้วยทำให้ผมไม่สามารถเล่น หรือ ปรับรายละเอียดลูกเล่นอะไรได้มากนัก
ตัวรถคันที่เราได้ทดสอบ นี้ คือ Porsche Taycan Turbo ซึ่งถือเป็นรุ่นกลาง ของ Taycan ที่วางจำหน่ายในไทย
มันมีพละกำลังระดับ 625 แรงม้า และ เมื่อใช้ Launch Control จะได้พลังสูงสุดเพิ่มเป็น 680 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร
ก่อนอื่นผมต้องขอมาอธิบายกันก่อนนะครับว่า
โดยส่วนตัวผมเคยขับรถยนต์ที่มีพละกำลังมากๆ ระดับกว่า 500 แรงม้า มาบ้างแล้ว อาทิ GT-R 2012 หรือ Porsche 911 Turbo
พวกนั้นมันเป็นรถเครื่องยนต์สันดาป ที่เราจะรู้ตัวว่าแรงม้าสูงสุดจะมาในช่วงรอบเครื่องสูงๆ ทำให้เรายังพอตั้งหลักตั้งตัวรับแรง G ได้ทัน
แต่ Taycan Turbo แม้ชื่อ จะมีคำว่าเทอร์โบ แต่มันเป็นรถไฟฟ้า 100% คำว่าเทอร์โบ ทิ้งท้าย เพื่อเป็นการเปรียบเทียบถึงความแรง เฉกเช่นกัน 911 Turbo นั่นเอง ไม่ได้หมายความว่า เป็นรถไฮบริด มีเครื่องยนต์ที่ใช้เทอร์โบมาช่วยอัดอากาศ ปั่นกำลังแต่อย่างใด
รถไฟฟ้า ข้อดี คือ เรียกกำลังสูงสุดมาใช้ได้แทบทันที ที่กระแทกคันเร่งมิดเท้า แบบไม่ต้องรอรอบ
คือ แรง G ดึงกระชาก จนเข้าขั้นอัดอัดพอสมควร คือ ถ้าคุณเป็นคนโดยสาร และกำลังนั่งแบบสบายๆ ชิลๆ ผู้ขับ กระแทกคันเร่งลงไปนี่ เรียกว่า ดึงตกใจเหวอ กันแน่นอน
อารมณ์เสียว ตอนดึงยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะอีกครับ ดังนั้น หากมีผู้โดยสารนั่งไปกับคุณ อย่าเผลอไปกระแทกคันเร่ง เล่นตอนที่พวกเขายังไม่ตั้งตัวล่ะ
และในจังหวะที่ยกคันเร่งออก ระบบเบรก Regenerate ที่จะหน่วง เหมือน Engine Brake ซึ่งผมมักจะพบแรงหน่วงพวกนี้มากๆ ในรถ PHEV (Plug in Hybrid) แต่กับ Taycan คันนี้ พบว่า มันก็หน่วงอยู่พอประมาณในโหมดที่ผมขับ ก็คือ Sport+ (ได้ขับรอบเดียวเลยขอจัดโหมดแรงสุด)
แต่ก็ไม่ได้หน่วงดึงหนักอย่างที่คิด ทำให้เรารู้สึกไม่เสียจังหวะ หากต้องยกคันเร่ง และรอจังหวะเติมคันเร่งเดินหน้าต่อ
ถามว่าผมได้ดูตัวเลขบนมาตรวัดในช่วง Take กดคันเร่งไหม สารภาพเลยครับว่า ไม่ได้โฟกัสมาตรวัดเลย โฟกัส แต่ Line Track อย่างเดียว และด้วยความที่มันเป็นรถที่แรงที่สุดที่ผมได้เคยขับมาด้วยเลยต้องตั้งใจในการขับเป็นพิเศษ
สามารถรับชมคลิป ตอนขับทดสอบได้ครับ
ขอกลับเข้ามาที่เนื้อหาการทดสอบโดย หลักๆ จะแบ่งออกเป็น 3 สถานี
เริ่มกันที่การ วนรอบสนาม 1 Lap ซึ่งนับเป็น สถานี Handling ซึ่งเราจะต้องขับตามไลน์ Pylon ที่วางเอาไว้
จากที่ผมเข้าโค้ง U-Turn ซึ่ง คนที่ขับที่นี่กันบ่อยๆ จะเรียกโค้งหอไอเฟล ผมรู้สึกว่าด้วย นน.ตัวที่ค่อนข้างมาก อยู่ระดับ 2 ตัน และขับเคลื่อน 4 ผมรู้สึกว่ามันมีอาการ Understeer ออกมามากพอสมควร
ในช่วงเข้าโค้งด้วยความเร็ว รู้สึกแต่งพวงมาลัยยากกว่าพวกรถขับ 2 ล้อ
ต่อมาที่ สถานี Slalom ทดสอบความแม่นยำ ของพวงมาลัย และความรวดเร็วในการตอบสนองของช่วงล่าง จากระบบอัจฉริยะของปอร์เช่ อาทิ Porsche Dynamic Chassis Control Sport (PDCC Sport)
ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง Rear axle steering และระบบควบคุมตัวถัง Porsche 4D Chassis Control
ในการเข้า Pylon Slalom ใช้ความเร็วประมาณ 50 กม./ชม. ซึ่งสำหรับผม ยังถือว่า พวงมาลัย ยังแม่นยำ และให้การคอนโทรลได้ดีเหมือนรถสปอร์ต Porsche รุ่นอื่นๆ ขณะที่ตัวช่วงล่างเอง แม้ช่วงตัวจะค่อนข้างยาว แต่ก็ให้ความคล่องแคล่วได้ดีเช่นกัน
และเรื่องของการยึดเกาะก็ถือว่าทำได้ดี ไม่มีการโยนตัว ด้วยความที่ผมตั้งใจเดินคันเร่งในจังวหวะ ออกจาก Pylon จึงอาจทำให้รถวิ่งได้ไม่เนียนนัก แต่อย่างไรก็ดี กับอาการช่วงล่างก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าโคลงตัวแต่อย่างใด
มีเพียง ช่วงจังหวะ U-Turn อีกครั้งที่ผมเจอปัญหา คล้ายๆ กับโค้งหอไอเฟล คือ จะเจออาการ Understeer ค่อนข้างมาก เช่นเดิม
ปิดท้าย สถานี Accerelation & Braking
โดยใน Station นี้เราจะได้ลอง Launch Control กับอัตราเร่ง 0-100 ในเวลา 3.2 วิ
ซึ่งการใช้ Launch Control ก็ง่ายๆ ใช้ Mode Sport หรือ Sport+ เท้าซ้ายเหยียบเบรก ขวาเหยียบคันเร่ง พอพร้อมก็ยกเท้าซ้ายออก รถก็จะพุ่งราวกับจรวดทางเรียบออกไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมแรง G ดึงสะใจสุดๆ ก่อนที่จะต้องกระทืบเบรกให้รถหยุดนิ่งพร้อมกับหักหลบ Pylon ไปทางซ้ายพร้อมๆกัน
ซึ่งระบบเบรกจานหน้าใหญ่ 415 มิลลิเมตร จับคู่ด้วยคาลิเปอร์ 10 Pot ต้องบอกว่าเอาอยู่ครับ!
1 รอบครบจบในเวลาราวๆ 3 นาทีนิดๆ ต้องบอกได้ว่า ปกติผมเป็นคนชอบขับรถ ถ้าให้มีรอบ Free Run หรือ วิ่งแถมได้อีกก็ อยากต่อ
แต่ในวันนี้ โดนตอน Hot Lap พาดูไลน์ สนามเข้าไปก่อน ที่จะขับ รู้สึกซึมซับแรง G ไป หนักพอสมควร และค่อยมาขับ
จนผมรู้สึกเหมือนอยากกินขนมหวาน แต่ได้กินเยอะในแบบชนิดที่ว่าเอียน จนหายอยากไปเลยชั่วขณะ จนกลับบ้าน ขับรถตัวเองแล้วขับแบบไม่กระแทกคันเร่งเลยว่างั้น
สรุปแล้ว Porsche Taycan Turbo ซาลูน 4 ประตู ที่ดูเหมือนว่าคุณเป็นคนรักครอบครัว เพราะโดยสาร 4 ที่นั่งได้ แต่ในความเป็นจริง ผมว่า มันแรงเกินกว่าที่ ผู้โดยสาร จะนั่งโดยสารไปด้วย ได้อย่างสบาย
แม้ เอกลักษณ์ของรถยนต์ตัวแรงของ Porsche คือ เครื่อง Boxer แต่ เจ้า Taycan คันนี้ ที่ไม่ได้ใช้ขุมพลังเครื่องเหล่านั้น แต่มันกลับดิบเถื่อนมากกว่าเสียอีก
จนผมรู้สึกเหมือน รถเครื่องยนต์สันดาป ประมาณ 400 แรงม้า แรง G ที่ดึงนั้นดูเป็นน้องๆ ไปเลย
แม้รถทดสอบในวันนี้ จะเป็นตัวรองอย่าง Turbo ผมก็รู้สึกว่า แรงดึงมันเทียบเท่า หรือขั้นกว่าพวก Supercar ระดับ 20 ล้านได้เลย แม้ผมอาจจะไม่เคยขับโดยตรง แต่ก็เคยนั่งรถแข่ง Gallardo GT3 กับ Mclaren 650S GT3 ในสนามแข่งช่วง Hotlap มาบ้างล่ะ
ดังนั้น ถ้าหากเพื่อนๆ อยากได้รถ EV100% สมรรถนะสูงสักคัน ผมว่า 4S ก็น่าจะใช้งานเหลือๆ แล้วกับถนนบ้านเรา
ส่วน Turbo S ที่เป็นตัวท็อป และทอร์คระดับ 1000 Nm ผมไม่อยากคิดถึงเลยว่า แรง G มันจะดึงจนอึดอัด และทำเราปวดเคล็ดลำตัวขนาดไหน
สำหรับ Porsche Taycan รถสปอร์ตซาลูน 4 ประตู มี 3 รุ่น โดยมีราคาเริ่มต้นดังนี้
4S เริ่มที่ 7.1 ล้าน
Turbo 9.9 ล้าน
Turbo 11.7 ล้าน
ฝากคลิปรอบ Hotlap ที่ Instructor พาทัวร์ Lap รอบแรกครับ
[SR] รีวิว Porsche Taycan Turbo ลองรถไฟฟ้า โคตรแห่งความแรง ในร่าง 4 ประตู 1 รอบสนาม 3 นาที
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาทางทีมงาน Pantip Garage เราได้รับเกียรติจากทาง บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส (ปอร์เช่ ประเทศไทย) เชิญไปทดสอบ Porsche Taycan Turbo รถไฟฟ้าสมรรถนะสูงแบบ EV 100% เรียกได้ว่าเป็นรถไฟฟ้าคันแรกของค่ายเลย
โดยใช้สนามปทุมธานีสปีดเวย์ เป็นที่ทดสอบ เช่นเคย
ซึ่งเป็นการทดสอบสั้นๆ เพียงแค่ 1 รอบ ซึ่งจะใช้เวลาเพียงประมาณ 3 นาทีเท่านั้น จะเป็นยังไงกันบ้างมารับชมกันเลยครับ
สำหรับรายละเอียดพวกสเป็กของตัวรถนั้น เบื้องต้น ผมจะขออนุญาตไม่พูดถึงแบบลงลึกกันนะครับ อาจจะขอพูดหลักๆ โฟกัสเข้าไปที่ตัวขุมพลังเท่านั้น เพราะ เนื่องจากเวลที่จำกัด และนั่งไปกับ Instructor ด้วยทำให้ผมไม่สามารถเล่น หรือ ปรับรายละเอียดลูกเล่นอะไรได้มากนัก
ตัวรถคันที่เราได้ทดสอบ นี้ คือ Porsche Taycan Turbo ซึ่งถือเป็นรุ่นกลาง ของ Taycan ที่วางจำหน่ายในไทย
มันมีพละกำลังระดับ 625 แรงม้า และ เมื่อใช้ Launch Control จะได้พลังสูงสุดเพิ่มเป็น 680 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร
ก่อนอื่นผมต้องขอมาอธิบายกันก่อนนะครับว่า
โดยส่วนตัวผมเคยขับรถยนต์ที่มีพละกำลังมากๆ ระดับกว่า 500 แรงม้า มาบ้างแล้ว อาทิ GT-R 2012 หรือ Porsche 911 Turbo
พวกนั้นมันเป็นรถเครื่องยนต์สันดาป ที่เราจะรู้ตัวว่าแรงม้าสูงสุดจะมาในช่วงรอบเครื่องสูงๆ ทำให้เรายังพอตั้งหลักตั้งตัวรับแรง G ได้ทัน
แต่ Taycan Turbo แม้ชื่อ จะมีคำว่าเทอร์โบ แต่มันเป็นรถไฟฟ้า 100% คำว่าเทอร์โบ ทิ้งท้าย เพื่อเป็นการเปรียบเทียบถึงความแรง เฉกเช่นกัน 911 Turbo นั่นเอง ไม่ได้หมายความว่า เป็นรถไฮบริด มีเครื่องยนต์ที่ใช้เทอร์โบมาช่วยอัดอากาศ ปั่นกำลังแต่อย่างใด
รถไฟฟ้า ข้อดี คือ เรียกกำลังสูงสุดมาใช้ได้แทบทันที ที่กระแทกคันเร่งมิดเท้า แบบไม่ต้องรอรอบ
คือ แรง G ดึงกระชาก จนเข้าขั้นอัดอัดพอสมควร คือ ถ้าคุณเป็นคนโดยสาร และกำลังนั่งแบบสบายๆ ชิลๆ ผู้ขับ กระแทกคันเร่งลงไปนี่ เรียกว่า ดึงตกใจเหวอ กันแน่นอน
อารมณ์เสียว ตอนดึงยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะอีกครับ ดังนั้น หากมีผู้โดยสารนั่งไปกับคุณ อย่าเผลอไปกระแทกคันเร่ง เล่นตอนที่พวกเขายังไม่ตั้งตัวล่ะ
และในจังหวะที่ยกคันเร่งออก ระบบเบรก Regenerate ที่จะหน่วง เหมือน Engine Brake ซึ่งผมมักจะพบแรงหน่วงพวกนี้มากๆ ในรถ PHEV (Plug in Hybrid) แต่กับ Taycan คันนี้ พบว่า มันก็หน่วงอยู่พอประมาณในโหมดที่ผมขับ ก็คือ Sport+ (ได้ขับรอบเดียวเลยขอจัดโหมดแรงสุด)
แต่ก็ไม่ได้หน่วงดึงหนักอย่างที่คิด ทำให้เรารู้สึกไม่เสียจังหวะ หากต้องยกคันเร่ง และรอจังหวะเติมคันเร่งเดินหน้าต่อ
ถามว่าผมได้ดูตัวเลขบนมาตรวัดในช่วง Take กดคันเร่งไหม สารภาพเลยครับว่า ไม่ได้โฟกัสมาตรวัดเลย โฟกัส แต่ Line Track อย่างเดียว และด้วยความที่มันเป็นรถที่แรงที่สุดที่ผมได้เคยขับมาด้วยเลยต้องตั้งใจในการขับเป็นพิเศษ
สามารถรับชมคลิป ตอนขับทดสอบได้ครับ
ขอกลับเข้ามาที่เนื้อหาการทดสอบโดย หลักๆ จะแบ่งออกเป็น 3 สถานี
เริ่มกันที่การ วนรอบสนาม 1 Lap ซึ่งนับเป็น สถานี Handling ซึ่งเราจะต้องขับตามไลน์ Pylon ที่วางเอาไว้
จากที่ผมเข้าโค้ง U-Turn ซึ่ง คนที่ขับที่นี่กันบ่อยๆ จะเรียกโค้งหอไอเฟล ผมรู้สึกว่าด้วย นน.ตัวที่ค่อนข้างมาก อยู่ระดับ 2 ตัน และขับเคลื่อน 4 ผมรู้สึกว่ามันมีอาการ Understeer ออกมามากพอสมควร
ในช่วงเข้าโค้งด้วยความเร็ว รู้สึกแต่งพวงมาลัยยากกว่าพวกรถขับ 2 ล้อ
ต่อมาที่ สถานี Slalom ทดสอบความแม่นยำ ของพวงมาลัย และความรวดเร็วในการตอบสนองของช่วงล่าง จากระบบอัจฉริยะของปอร์เช่ อาทิ Porsche Dynamic Chassis Control Sport (PDCC Sport)
ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง Rear axle steering และระบบควบคุมตัวถัง Porsche 4D Chassis Control
ในการเข้า Pylon Slalom ใช้ความเร็วประมาณ 50 กม./ชม. ซึ่งสำหรับผม ยังถือว่า พวงมาลัย ยังแม่นยำ และให้การคอนโทรลได้ดีเหมือนรถสปอร์ต Porsche รุ่นอื่นๆ ขณะที่ตัวช่วงล่างเอง แม้ช่วงตัวจะค่อนข้างยาว แต่ก็ให้ความคล่องแคล่วได้ดีเช่นกัน
และเรื่องของการยึดเกาะก็ถือว่าทำได้ดี ไม่มีการโยนตัว ด้วยความที่ผมตั้งใจเดินคันเร่งในจังวหวะ ออกจาก Pylon จึงอาจทำให้รถวิ่งได้ไม่เนียนนัก แต่อย่างไรก็ดี กับอาการช่วงล่างก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าโคลงตัวแต่อย่างใด
มีเพียง ช่วงจังหวะ U-Turn อีกครั้งที่ผมเจอปัญหา คล้ายๆ กับโค้งหอไอเฟล คือ จะเจออาการ Understeer ค่อนข้างมาก เช่นเดิม
ปิดท้าย สถานี Accerelation & Braking
โดยใน Station นี้เราจะได้ลอง Launch Control กับอัตราเร่ง 0-100 ในเวลา 3.2 วิ
ซึ่งการใช้ Launch Control ก็ง่ายๆ ใช้ Mode Sport หรือ Sport+ เท้าซ้ายเหยียบเบรก ขวาเหยียบคันเร่ง พอพร้อมก็ยกเท้าซ้ายออก รถก็จะพุ่งราวกับจรวดทางเรียบออกไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมแรง G ดึงสะใจสุดๆ ก่อนที่จะต้องกระทืบเบรกให้รถหยุดนิ่งพร้อมกับหักหลบ Pylon ไปทางซ้ายพร้อมๆกัน
ซึ่งระบบเบรกจานหน้าใหญ่ 415 มิลลิเมตร จับคู่ด้วยคาลิเปอร์ 10 Pot ต้องบอกว่าเอาอยู่ครับ!
1 รอบครบจบในเวลาราวๆ 3 นาทีนิดๆ ต้องบอกได้ว่า ปกติผมเป็นคนชอบขับรถ ถ้าให้มีรอบ Free Run หรือ วิ่งแถมได้อีกก็ อยากต่อ
แต่ในวันนี้ โดนตอน Hot Lap พาดูไลน์ สนามเข้าไปก่อน ที่จะขับ รู้สึกซึมซับแรง G ไป หนักพอสมควร และค่อยมาขับ
จนผมรู้สึกเหมือนอยากกินขนมหวาน แต่ได้กินเยอะในแบบชนิดที่ว่าเอียน จนหายอยากไปเลยชั่วขณะ จนกลับบ้าน ขับรถตัวเองแล้วขับแบบไม่กระแทกคันเร่งเลยว่างั้น
สรุปแล้ว Porsche Taycan Turbo ซาลูน 4 ประตู ที่ดูเหมือนว่าคุณเป็นคนรักครอบครัว เพราะโดยสาร 4 ที่นั่งได้ แต่ในความเป็นจริง ผมว่า มันแรงเกินกว่าที่ ผู้โดยสาร จะนั่งโดยสารไปด้วย ได้อย่างสบาย
แม้ เอกลักษณ์ของรถยนต์ตัวแรงของ Porsche คือ เครื่อง Boxer แต่ เจ้า Taycan คันนี้ ที่ไม่ได้ใช้ขุมพลังเครื่องเหล่านั้น แต่มันกลับดิบเถื่อนมากกว่าเสียอีก
จนผมรู้สึกเหมือน รถเครื่องยนต์สันดาป ประมาณ 400 แรงม้า แรง G ที่ดึงนั้นดูเป็นน้องๆ ไปเลย
แม้รถทดสอบในวันนี้ จะเป็นตัวรองอย่าง Turbo ผมก็รู้สึกว่า แรงดึงมันเทียบเท่า หรือขั้นกว่าพวก Supercar ระดับ 20 ล้านได้เลย แม้ผมอาจจะไม่เคยขับโดยตรง แต่ก็เคยนั่งรถแข่ง Gallardo GT3 กับ Mclaren 650S GT3 ในสนามแข่งช่วง Hotlap มาบ้างล่ะ
ดังนั้น ถ้าหากเพื่อนๆ อยากได้รถ EV100% สมรรถนะสูงสักคัน ผมว่า 4S ก็น่าจะใช้งานเหลือๆ แล้วกับถนนบ้านเรา
ส่วน Turbo S ที่เป็นตัวท็อป และทอร์คระดับ 1000 Nm ผมไม่อยากคิดถึงเลยว่า แรง G มันจะดึงจนอึดอัด และทำเราปวดเคล็ดลำตัวขนาดไหน
สำหรับ Porsche Taycan รถสปอร์ตซาลูน 4 ประตู มี 3 รุ่น โดยมีราคาเริ่มต้นดังนี้
4S เริ่มที่ 7.1 ล้าน
Turbo 9.9 ล้าน
Turbo 11.7 ล้าน
ฝากคลิปรอบ Hotlap ที่ Instructor พาทัวร์ Lap รอบแรกครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม