ยางร่วงหนัก หลุดราคาประกัน ชาวสวนอ่วม ขาใหญ่ทุบเก็งกำไร
https://www.prachachat.net/economy/news-554692
CHRISTOPHE ARCHAMBAULT / AFP
น้ำยางสด-ยางแผ่นราคาร่วงหนัก แค่สัปดาห์เดียวราคาลงไปถึง 20 บาท/กก. เหตุเดือนที่ผ่านมาทั้งน้ำยางสด-ยางแผ่น ถูกพ่อค้ายางปั่นราคาเกินจริง กว้านซื้อส่งตลาดซื้อขายล่วงหน้า หวังบีบพ่อค้าท้องถิ่น “คาย” ยางในสต๊อก ก่อนรวมหัวกดราคา เผยยอม “ถัว” ขาดทุนเดือนตุลาคม เตรียมไว้ขายเก็งกำไรในอีก 3 เดือนข้างหน้า ด้านชาวสวนโอดตามเกมไม่ทัน จำต้องเทขายน้ำยางราคาถูก จนน้ำยางสด “ต่ำกว่า” ราคาประกันไปแล้ว 10 บาท/กก.
หลังจากที่ราคายางปรับตัวสูงขึ้นจนทะลุ 80 บาท/กก. ไปได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ล่าสุดราคายางกลับผันผวนหนักเฉลี่ยลดลงถึง 20 บาท/กก. โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคา “
น้ำยางสด” ที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญของโรงงานผลิตถุงมือยางปรับตัวลดต่ำลงด้วย “
ราคาดิ่งรายวัน” หรือราคาตกลงมากกว่าราคายางแผ่นรมควันชั้น 3
ในขณะที่ราคาส่งออก (FOB RSS3 Bangkok) ใน 2 สัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 66-78 บาท/กก. โดยราคายางที่ร่วงลงหนักขณะนี้ได้สร้างความกังวลให้กับชาวสวนยาง จากความเชื่อที่ว่าจะได้เห็นราคายาง 1 กก. 100 บาทนั้น “
เป็นอันสิ้นสุดความหวังลง”
น้ำยางสดร่วงหนัก
ผู้สื่อข่าว “
ประชาชาติธุรกิจ” รายงานความเคลื่อนไหวของราคาน้ำยางสด ณ หน้าโรงงาน จากการรายงานของการยางแห่งประเทศไทยพบว่า ราคากำลังร่วงลงอย่างหนักจากที่เคยขายได้ถึง กก.ละ 74.50 บาท (30 ตุลาคม) ในวันนี้ราคาน้ำยางสดเหลือเพียง กก.ละ 47 บาท หรือภายในสัปดาห์เดียว ราคาลดลงมาถึง 27 บาท/กก. นับเป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติเอามาก ๆ ส่วนราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ก็ลดลงเช่นเดียวกัน จากราคาสูงสุดที่ 82.80 บาท/กก. (28 ตุลาคม) ก็ลดลงมาเหลือ 61.05 บาท/กก.ในวันนี้ (10 พฤศจิกายน) หรือลดลงประมาณ 21 บาท/กก.
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังสหกรณ์ยางหลายแห่งในภาคใต้ต่างพูดตรงกันว่า ราคาน้ำยางผันผวนหนักมาก เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน โรงงานผลิตถุงมือยางรายใหญ่ต่างพร้อมใจกัน “
กดราคา” รับซื้อน้ำยางลง เพียงสัปดาห์เดียวราคาร่วงลงไปถึง 20 บาท/กก. สหกรณ์หลายรายจำเป็นต้องขายน้ำยางสดให้โรงงาน เนื่องจากขาดแคลนแรงงานทำยางแผ่น ประกอบกับมีความต้องการเงินเพื่อนำมาหมุนเวียนรับซื้อน้ำยาง ราคาน้ำยางจะลงอย่างไรก็ต้องขาย
พร้อมกับแสดงความวิตกว่า ในช่วงปลายปีต่อต้นปี 2564 ซึ่งจะเป็นช่วงหมดฝนจะมีปริมาณน้ำยางออกมามาก ถึงตอนนี้ราคายางจะตกลงไปมากกว่านี้อีก
“ความผันผวนของราคายางที่เกิดขึ้นในตลาดตอนนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา “ราคายาง” ของประเทศไทย ถูกกำหนดโดย 5 เสือยักษ์ใหญ่ในวงการไม่กี่ราย ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาราคายางที่ขยับขึ้นสูงเกิดจากการ “ปั่นราคา” ทางการตลาด ส่วนหนึ่งต้องการยางไปส่งมอบ ไม่ใช่กลไกตลาดที่แท้จริง แต่ 2-3 เดือนต่อจากนี้ ราคายางจะลดต่ำลงแน่นอน เพราะน้ำยางออกมากตามฤดูกาลด้วย”
เก็งราคายางตลาดล่วงหน้า
แหล่งข่าวจากวงการค้ายางระหว่างประเทศกล่าวว่า ราคายางขยับขึ้นในเดือนตุลาคม 2563 โดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้ายของเดือนที่ขยับสูงมากถึงวันละ 4 บาท/กก. ต่อจากนั้นราคาน้ำยางและราคายางแผ่นก็ขยับลดลงมาทันที โดยมีแนวโน้มจะลดลงไปตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน
สาเหตุเป็นเพราะช่วงเดือนตุลาคม กลุ่มผู้ค้ายางตลาดซื้อขายล่วงหน้า นักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์มาร์เก็ต ต้องการซื้อยางเพื่อส่งมอบตามสัญญาที่ครบตามกำหนด จึง “
ลาก” ราคายางขึ้น และเมื่อได้ยางครบตามกำหนดส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแล้ว กลุ่มผู้ค้าก็ “
ชะลอ” การซื้อลง ส่งผลให้ราคายางลดลง
“ผู้ที่เก็บสต๊อกยางไว้มาก ๆ โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้ายางขนาดเล็ก-ขนาดกลาง กับสถาบันเกษตรกร สหกรณ์ยาง กลุ่มยาง วิสาหกิจยาง จะประสบภาวะขาดทุนทันที ถ้านำยางออกขาย ซึ่งกลุ่มนี้มีประมาณ 90% ขณะที่กลุ่มผู้ค้ายางในตลาดฟิวเจอร์มาร์เก็ตก็ต้องหาซื้อยางเพื่อส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก็ต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้นมาก ในขณะที่ขายล่วงหน้าไว้ราคาต่ำประมาณกว่า 30% ก็ขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก ไม่น่าจะต่ำกว่า 40,000-50,000 ล้านบาท
ดังนั้น กลุ่มผู้ซื้อขายยางล่วงหน้าจึงลากราคายางขยับสูงขึ้น เพื่อให้กลุ่มผู้ค้ายางจะได้คายยางในสต๊อกออกมา แต่กลุ่มผู้ค้ายางขนาดเล็ก ขนาดกลาง สถาบันเกษตรกร บางส่วนไม่ยอมคายสต๊อกออก ต่างเก็บไว้เพราะหวังว่าราคาจะวิ่งต่อ จนกลุ่มนักลงทุนยางในตลาดฟิวเจอร์มาร์เก็ตได้ยางครบก็ชะลอการรับซื้อ ดังนั้น ราคายางจึงลงระลอกใหญ่ เพื่อให้ราคายางในตลาดขยับลงมาอยู่ในระดับปกติ แล้วซื้อเก็บสต๊อกไว้อีก 3 เดือน เพราะตลาดโลกยังมีความต้องการสูง ทิศทางราคายางจะไต่มาสูงที่ 60-70 บาท/กก. อีกระลอกก็จะเป็นการถอนการขาดทุนคืน” ผู้ส่งออกยางรายหนึ่งให้ความเห็น
ที่สำคัญก็คือกลุ่มนักลงทุนที่ตลาดฟิวเจอร์มาร์เก็ตรับทราบข้อมูลยางละเอียดว่า กลุ่มไหนมีสต๊อกยางและจำนวนเท่าใด ตลอดจนเงินทุนจำนวนเท่าใด เพราะกลุ่มผู้ค้ายางรายย่อย รายเล็ก รายขนาดกลาง และสถาบันเกษตรกร มีต้นทุนที่สายป่านไม่ยาว จำเป็นจะต้องทยอยขายยางออกมา แม้ว่าราคาจะไม่ได้ตามที่ต้องการก็ตาม
กดราคาต่ำถัวขาดทุน
“
ประชาชาติธุรกิจ” สอบถามไปยังโรงงานผลิตถุงมือยางรายใหญ่ถึงสถานการณ์ราคาน้ำยางสดที่ร่วงลงหนักในขณะนี้ว่า เป็นผลจากการที่ชาวสวนยางแห่กรีดยางออกมาขายในช่วงข่าวดี พร้อมกับเชื่อว่าน้ำยางสำหรับผลิตถุงมือยางจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำยางขึ้นไปสูงมากเมื่อเทียบกับยางแห้ง ยางก้อนถ้วย จนส่งผลให้พ่อค้าที่รับซื้อน้ำยางปรับตัวไม่ทัน กำลังซื้อก็ยังเท่าเดิม เมื่อแรงเทขายเข้ามามากก็รับไม่ไหว จึงเอฟเฟ็กต์ทำให้ราคายางลดลง ชาวสวนยางก็ถูกกดราคาลงมาได้ง่าย เพราะน้ำยางสดจะต้องขายกันวันต่อวัน เก็บไว้ไม่ได้
“กลไกตลาดกำลังปรับตัวสู่สมดุล เพราะราคาน้ำยางขึ้นไปมากผิดปกติ ตอนนี้พ่อค้าที่ซื้อสต๊อกราคาสูงไว้ก็ได้รับผลกระทบ เป็นธรรมดาที่จะต้องซื้อน้ำยางราคาถูกลงไปเพื่อถัวราคากัน ซึ่งเป็นกลไกการค้าปกติ ไม่ว่ารัฐบาลจะไล่ตรวจสต๊อกหรือไม่ก็ตาม พ่อค้าก็รับซื้อได้เท่านี้ ไม่มีแรงซื้อแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาสถานการณ์ราคายางก็ไม่ได้ดีมาก 5 เสืออาจจะไม่ได้มีอยู่แล้ว เพราะขายกิจการให้จีนไปบ้าง ที่เหลือก็ลดกำลังการผลิต ถ้ายางดีจริงคงไม่เป็นแบบนี้”
น้ำยางหล่นต่ำกว่าราคาประกัน
นาย
สมพงศ์ ราชสุวรรณ ประธานกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง สกย.นาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา กล่าวว่า ตอนนี้ในพื้นที่ทางลานน้ำยางรับซื้ออยู่ที่ 42 บาท/กก. จาก 72 บาท/กก. เท่ากับลดลงไปประมาณ 20 บาท/กก. บางพื้นที่พ่อค้าอ้างว่า น้ำยางเข้ามามาก ถังเก็บน้ำยางข้นเต็ม ไม่มีโกดังเก็บ แต่ทางภาคใต้กำลังเข้าสู่ฤดูฝน บางพื้นกรีดยางไม่ได้ และบางพื้นที่เกิดโรคยางใบร่วง ปริมาณยางน้อย ดังนั้น จึงเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องออกมาตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน
ขณะที่ราคายางกำลังทยอยลง รัฐบาลก็ได้ประกาศโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 วงเงิน 10,042 ล้านบาท เพื่อมาชดเชยส่วนต่าง เมื่อยางถูกกดดันให้ราคาลง ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้เงินงบประมาณ ซึ่งเป็นเงินจากภาษีอีกระลอก
ทั้งนี้ โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 จะยึดหลักเกณฑ์จ่ายเงิน “ส่วนต่าง” ราคายาง เหมือนกับโครงการระยะที่ 1 กล่าวคือ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาท/กก. น้ำยางสด (DRC 100%) ราคา 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา 23 บาท/กก. จะกำหนดเวลาประกันรายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563-1 มีนาคม 2564 ถ้าหากรัฐบาลประกาศราคาประกันยางในขณะนี้ก็จะต้องจ่าย “ส่วนต่าง” ราคาน้ำยางสดทันที กก.ละ 10 บาท
ดร.
อุทัย สอนหลักทรัพย์ กรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สคย.) กล่าวว่า ตอนนี้ราคายางแผ่นรมควัน-น้ำยางสดขยับลง สาเหตุมาจากน้ำยางสดพีกขึ้น ถังเก็บน้ำยางไม่เพียงพอ และอุตสาหกรรมน้ำยางข้นการผลิตสูงขึ้นจนไม่สามารถจะผลิตได้ทัน และในส่วนยางรมควันตลาดต้องชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรป “
ล็อกดาวน์”
ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องไปยังรัฐบาล โดยเฉพาะการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) บังคับใช้กฎหมาย กยท. มาตรา 8 (4) ดูแลผู้ประกอบการยางครบวงจร ตั้งแต่พ่อค้ายาง ผู้ประกอบการยาง เกษตรกรยาง
"ไอลอว์" ยัน ร่าง รธน.ฉบับประชาชน ชงยกเลิกยุทธศาสตร์20ปี-แผนปฏิรูปประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2438322
“ไอลอว์” ยัน ร่าง รธน.ฉบับประชาชน ชงยกเลิกยุทธศาสตร์20ปี-แผนปฏิรูปประเทศ
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.63 เพจเฟซบุ๊ก ไอลอว์ ได้เผยแพร่ บทความเรื่อง
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ เตรียมบรรจุเพื่อพิจารณาโดยรัฐสภาในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563″ ว่า
เป็นร่างที่มีข้อเสนอครอบคลุมการแก้ปัญหาการเมืองที่มีอยู่รอบด้านมากที่สุด หนึ่งในนั้น คือ การเสนอให้ ยกเลิก “
แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี” และ “
แผนปฏิรูปประเทศ” ที่เพิ่งมีขึ้นเป็นครั้งแรก แม้ชื่อของแผนการเหล่านี้จะฟังดูสวยหรู แต่เบื้องหลังทั้งผู้เขียน ผู้อนุมัติประกาศใช้ และผู้ตีความบังคับใช้ กลับเป็นองคาพยพของ คสช. ทั้งสิ้น
“
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” หรือจะเรียกให้ถูกต้องคือ “
ยุทธศาสตร์ คสช.” เป็นอีกหนึ่งประเด็นในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่สมควรถูกแก้ไขหรือยกเลิก แม้รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะตอกย้ำความสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติว่า จะเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาประเทศให้มีความต่อเนื่อง แต่เวลาไม่นานหลังการประกาศใช้ในปี 2561 ก็แสดงให้เห็นชัดว่ายุทธศาสตร์ชาติฉบับนี้ไม่สามารถป้องกันประเทศจากวิกฤติต่างๆ ได้
ยุทธศาสตร์ของ คสช. เป็นหนึ่งในเครื่องมือสืบทอดอำนาจของ คสช. ทำให้ชนชั้นนำภาครัฐที่นำโดยกองทัพกับนายทุนผูกขาดสามารถมีบทบาทควบคุมการออกนโยบายการพัฒนาประเทศไปถึง 20 ปี ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยทหารและนายทุน ประธานคณะกรรมการก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเอง นอกจากนี้ กรรมการยุทธศาสตร์ชาติเกือบทั้งหมดต่างเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ คสช. ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ารัฐบาลในอนาคตจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม แม้จะสามารถชนะเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่การออกนโยบายหรือการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลนั้นจะอยู่ภายใต้แนวทางยุทธศาสตร์ชาติที่ คสช. วางเอาไว้
รัฐบาลสืบทอดอำนาจของพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ เจ้าของยุทธศาสตร์ชาติ ดังนั้น จึงยังเห็นชัดว่ายุทธศาสตร์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อรัฐบาล คสช. แต่ในทางกลับกันหากเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ คสช. ก็อาจถูกกลไกยุทธศาสตร์ล้มรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ ส.ว. แต่งตั้งจาก คสช. มีอำนาจหน้าที่ติดตามการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ถ้าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเห็นว่ากระทำของรัฐบาลขัดต่อยุทธศาสตร์ชาติ และส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัด ก็ให้ยื่นต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่มาชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งต้องถูกปลดจากองค์กรซึ่งมีที่มาโยงใยจาก คสช. ทั้งหมด
แผนยุทธศาสตร์ที่เขียนขึ้นนั้นมีระยะใช้งาน 20 ปี คือตั้งแต่ปี 2561-2580 นับถึงปี 2563 แม้จะเพิ่งประกาศใช้ไม่นาน ก็สะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพในการที่จะนำประเทศไทยไปเผชิญความท้าทายกับโลกอนาคต ดังจะเห็นได้จากวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นหลังยุทธศาสตร์ชาติที่ไม่พบแนวทางในการแก้ไขปัญหา เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่การยกระดับรายได้ของคนไทยให้เทียบเท่าประเทศพัฒนาแล้วภายใน 20 ปี ก็ดูจะสวนทางการสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ตกต่ำและเหลี่ยมล้ำมากยิ่งขึ้น ดังนั้นยุทธศาสตร์ชาติของ คสช. จะเป็นสิ่งที่ล้าสมัยที่จะคอยเหนี่ยวรั้งการพัฒนาประเทศ และเป็นเครื่องมือทางการเมืองของ คสช. เท่านั้น
JJNY : ยางร่วงหนัก/ไอลอว์ยันร่างรธน.เลิกยุทธศาสตร์/พลทหารผูกคอตายอีกศพ พ่อแม่ไม่เชื่อ/วีระบี้วิษณุรับผิดให้ข้อมูลเท็จ
https://www.prachachat.net/economy/news-554692
หลังจากที่ราคายางปรับตัวสูงขึ้นจนทะลุ 80 บาท/กก. ไปได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ล่าสุดราคายางกลับผันผวนหนักเฉลี่ยลดลงถึง 20 บาท/กก. โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคา “น้ำยางสด” ที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญของโรงงานผลิตถุงมือยางปรับตัวลดต่ำลงด้วย “ราคาดิ่งรายวัน” หรือราคาตกลงมากกว่าราคายางแผ่นรมควันชั้น 3
ในขณะที่ราคาส่งออก (FOB RSS3 Bangkok) ใน 2 สัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 66-78 บาท/กก. โดยราคายางที่ร่วงลงหนักขณะนี้ได้สร้างความกังวลให้กับชาวสวนยาง จากความเชื่อที่ว่าจะได้เห็นราคายาง 1 กก. 100 บาทนั้น “เป็นอันสิ้นสุดความหวังลง”
น้ำยางสดร่วงหนัก
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานความเคลื่อนไหวของราคาน้ำยางสด ณ หน้าโรงงาน จากการรายงานของการยางแห่งประเทศไทยพบว่า ราคากำลังร่วงลงอย่างหนักจากที่เคยขายได้ถึง กก.ละ 74.50 บาท (30 ตุลาคม) ในวันนี้ราคาน้ำยางสดเหลือเพียง กก.ละ 47 บาท หรือภายในสัปดาห์เดียว ราคาลดลงมาถึง 27 บาท/กก. นับเป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติเอามาก ๆ ส่วนราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ก็ลดลงเช่นเดียวกัน จากราคาสูงสุดที่ 82.80 บาท/กก. (28 ตุลาคม) ก็ลดลงมาเหลือ 61.05 บาท/กก.ในวันนี้ (10 พฤศจิกายน) หรือลดลงประมาณ 21 บาท/กก.
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังสหกรณ์ยางหลายแห่งในภาคใต้ต่างพูดตรงกันว่า ราคาน้ำยางผันผวนหนักมาก เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน โรงงานผลิตถุงมือยางรายใหญ่ต่างพร้อมใจกัน “กดราคา” รับซื้อน้ำยางลง เพียงสัปดาห์เดียวราคาร่วงลงไปถึง 20 บาท/กก. สหกรณ์หลายรายจำเป็นต้องขายน้ำยางสดให้โรงงาน เนื่องจากขาดแคลนแรงงานทำยางแผ่น ประกอบกับมีความต้องการเงินเพื่อนำมาหมุนเวียนรับซื้อน้ำยาง ราคาน้ำยางจะลงอย่างไรก็ต้องขาย
พร้อมกับแสดงความวิตกว่า ในช่วงปลายปีต่อต้นปี 2564 ซึ่งจะเป็นช่วงหมดฝนจะมีปริมาณน้ำยางออกมามาก ถึงตอนนี้ราคายางจะตกลงไปมากกว่านี้อีก
“ความผันผวนของราคายางที่เกิดขึ้นในตลาดตอนนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา “ราคายาง” ของประเทศไทย ถูกกำหนดโดย 5 เสือยักษ์ใหญ่ในวงการไม่กี่ราย ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาราคายางที่ขยับขึ้นสูงเกิดจากการ “ปั่นราคา” ทางการตลาด ส่วนหนึ่งต้องการยางไปส่งมอบ ไม่ใช่กลไกตลาดที่แท้จริง แต่ 2-3 เดือนต่อจากนี้ ราคายางจะลดต่ำลงแน่นอน เพราะน้ำยางออกมากตามฤดูกาลด้วย”
เก็งราคายางตลาดล่วงหน้า
แหล่งข่าวจากวงการค้ายางระหว่างประเทศกล่าวว่า ราคายางขยับขึ้นในเดือนตุลาคม 2563 โดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้ายของเดือนที่ขยับสูงมากถึงวันละ 4 บาท/กก. ต่อจากนั้นราคาน้ำยางและราคายางแผ่นก็ขยับลดลงมาทันที โดยมีแนวโน้มจะลดลงไปตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน
สาเหตุเป็นเพราะช่วงเดือนตุลาคม กลุ่มผู้ค้ายางตลาดซื้อขายล่วงหน้า นักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์มาร์เก็ต ต้องการซื้อยางเพื่อส่งมอบตามสัญญาที่ครบตามกำหนด จึง “ลาก” ราคายางขึ้น และเมื่อได้ยางครบตามกำหนดส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแล้ว กลุ่มผู้ค้าก็ “ชะลอ” การซื้อลง ส่งผลให้ราคายางลดลง
“ผู้ที่เก็บสต๊อกยางไว้มาก ๆ โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้ายางขนาดเล็ก-ขนาดกลาง กับสถาบันเกษตรกร สหกรณ์ยาง กลุ่มยาง วิสาหกิจยาง จะประสบภาวะขาดทุนทันที ถ้านำยางออกขาย ซึ่งกลุ่มนี้มีประมาณ 90% ขณะที่กลุ่มผู้ค้ายางในตลาดฟิวเจอร์มาร์เก็ตก็ต้องหาซื้อยางเพื่อส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก็ต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้นมาก ในขณะที่ขายล่วงหน้าไว้ราคาต่ำประมาณกว่า 30% ก็ขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก ไม่น่าจะต่ำกว่า 40,000-50,000 ล้านบาท
ดังนั้น กลุ่มผู้ซื้อขายยางล่วงหน้าจึงลากราคายางขยับสูงขึ้น เพื่อให้กลุ่มผู้ค้ายางจะได้คายยางในสต๊อกออกมา แต่กลุ่มผู้ค้ายางขนาดเล็ก ขนาดกลาง สถาบันเกษตรกร บางส่วนไม่ยอมคายสต๊อกออก ต่างเก็บไว้เพราะหวังว่าราคาจะวิ่งต่อ จนกลุ่มนักลงทุนยางในตลาดฟิวเจอร์มาร์เก็ตได้ยางครบก็ชะลอการรับซื้อ ดังนั้น ราคายางจึงลงระลอกใหญ่ เพื่อให้ราคายางในตลาดขยับลงมาอยู่ในระดับปกติ แล้วซื้อเก็บสต๊อกไว้อีก 3 เดือน เพราะตลาดโลกยังมีความต้องการสูง ทิศทางราคายางจะไต่มาสูงที่ 60-70 บาท/กก. อีกระลอกก็จะเป็นการถอนการขาดทุนคืน” ผู้ส่งออกยางรายหนึ่งให้ความเห็น
ที่สำคัญก็คือกลุ่มนักลงทุนที่ตลาดฟิวเจอร์มาร์เก็ตรับทราบข้อมูลยางละเอียดว่า กลุ่มไหนมีสต๊อกยางและจำนวนเท่าใด ตลอดจนเงินทุนจำนวนเท่าใด เพราะกลุ่มผู้ค้ายางรายย่อย รายเล็ก รายขนาดกลาง และสถาบันเกษตรกร มีต้นทุนที่สายป่านไม่ยาว จำเป็นจะต้องทยอยขายยางออกมา แม้ว่าราคาจะไม่ได้ตามที่ต้องการก็ตาม
กดราคาต่ำถัวขาดทุน
“ประชาชาติธุรกิจ” สอบถามไปยังโรงงานผลิตถุงมือยางรายใหญ่ถึงสถานการณ์ราคาน้ำยางสดที่ร่วงลงหนักในขณะนี้ว่า เป็นผลจากการที่ชาวสวนยางแห่กรีดยางออกมาขายในช่วงข่าวดี พร้อมกับเชื่อว่าน้ำยางสำหรับผลิตถุงมือยางจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำยางขึ้นไปสูงมากเมื่อเทียบกับยางแห้ง ยางก้อนถ้วย จนส่งผลให้พ่อค้าที่รับซื้อน้ำยางปรับตัวไม่ทัน กำลังซื้อก็ยังเท่าเดิม เมื่อแรงเทขายเข้ามามากก็รับไม่ไหว จึงเอฟเฟ็กต์ทำให้ราคายางลดลง ชาวสวนยางก็ถูกกดราคาลงมาได้ง่าย เพราะน้ำยางสดจะต้องขายกันวันต่อวัน เก็บไว้ไม่ได้
“กลไกตลาดกำลังปรับตัวสู่สมดุล เพราะราคาน้ำยางขึ้นไปมากผิดปกติ ตอนนี้พ่อค้าที่ซื้อสต๊อกราคาสูงไว้ก็ได้รับผลกระทบ เป็นธรรมดาที่จะต้องซื้อน้ำยางราคาถูกลงไปเพื่อถัวราคากัน ซึ่งเป็นกลไกการค้าปกติ ไม่ว่ารัฐบาลจะไล่ตรวจสต๊อกหรือไม่ก็ตาม พ่อค้าก็รับซื้อได้เท่านี้ ไม่มีแรงซื้อแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาสถานการณ์ราคายางก็ไม่ได้ดีมาก 5 เสืออาจจะไม่ได้มีอยู่แล้ว เพราะขายกิจการให้จีนไปบ้าง ที่เหลือก็ลดกำลังการผลิต ถ้ายางดีจริงคงไม่เป็นแบบนี้”
น้ำยางหล่นต่ำกว่าราคาประกัน
นายสมพงศ์ ราชสุวรรณ ประธานกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง สกย.นาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา กล่าวว่า ตอนนี้ในพื้นที่ทางลานน้ำยางรับซื้ออยู่ที่ 42 บาท/กก. จาก 72 บาท/กก. เท่ากับลดลงไปประมาณ 20 บาท/กก. บางพื้นที่พ่อค้าอ้างว่า น้ำยางเข้ามามาก ถังเก็บน้ำยางข้นเต็ม ไม่มีโกดังเก็บ แต่ทางภาคใต้กำลังเข้าสู่ฤดูฝน บางพื้นกรีดยางไม่ได้ และบางพื้นที่เกิดโรคยางใบร่วง ปริมาณยางน้อย ดังนั้น จึงเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องออกมาตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน
ขณะที่ราคายางกำลังทยอยลง รัฐบาลก็ได้ประกาศโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 วงเงิน 10,042 ล้านบาท เพื่อมาชดเชยส่วนต่าง เมื่อยางถูกกดดันให้ราคาลง ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้เงินงบประมาณ ซึ่งเป็นเงินจากภาษีอีกระลอก
ทั้งนี้ โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 จะยึดหลักเกณฑ์จ่ายเงิน “ส่วนต่าง” ราคายาง เหมือนกับโครงการระยะที่ 1 กล่าวคือ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาท/กก. น้ำยางสด (DRC 100%) ราคา 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา 23 บาท/กก. จะกำหนดเวลาประกันรายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563-1 มีนาคม 2564 ถ้าหากรัฐบาลประกาศราคาประกันยางในขณะนี้ก็จะต้องจ่าย “ส่วนต่าง” ราคาน้ำยางสดทันที กก.ละ 10 บาท
ดร.อุทัย สอนหลักทรัพย์ กรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สคย.) กล่าวว่า ตอนนี้ราคายางแผ่นรมควัน-น้ำยางสดขยับลง สาเหตุมาจากน้ำยางสดพีกขึ้น ถังเก็บน้ำยางไม่เพียงพอ และอุตสาหกรรมน้ำยางข้นการผลิตสูงขึ้นจนไม่สามารถจะผลิตได้ทัน และในส่วนยางรมควันตลาดต้องชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรป “ล็อกดาวน์”
ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องไปยังรัฐบาล โดยเฉพาะการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) บังคับใช้กฎหมาย กยท. มาตรา 8 (4) ดูแลผู้ประกอบการยางครบวงจร ตั้งแต่พ่อค้ายาง ผู้ประกอบการยาง เกษตรกรยาง
"ไอลอว์" ยัน ร่าง รธน.ฉบับประชาชน ชงยกเลิกยุทธศาสตร์20ปี-แผนปฏิรูปประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2438322
“ไอลอว์” ยัน ร่าง รธน.ฉบับประชาชน ชงยกเลิกยุทธศาสตร์20ปี-แผนปฏิรูปประเทศ
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.63 เพจเฟซบุ๊ก ไอลอว์ ได้เผยแพร่ บทความเรื่อง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ เตรียมบรรจุเพื่อพิจารณาโดยรัฐสภาในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563″ ว่า
เป็นร่างที่มีข้อเสนอครอบคลุมการแก้ปัญหาการเมืองที่มีอยู่รอบด้านมากที่สุด หนึ่งในนั้น คือ การเสนอให้ ยกเลิก “แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี” และ “แผนปฏิรูปประเทศ” ที่เพิ่งมีขึ้นเป็นครั้งแรก แม้ชื่อของแผนการเหล่านี้จะฟังดูสวยหรู แต่เบื้องหลังทั้งผู้เขียน ผู้อนุมัติประกาศใช้ และผู้ตีความบังคับใช้ กลับเป็นองคาพยพของ คสช. ทั้งสิ้น
“ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” หรือจะเรียกให้ถูกต้องคือ “ยุทธศาสตร์ คสช.” เป็นอีกหนึ่งประเด็นในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่สมควรถูกแก้ไขหรือยกเลิก แม้รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะตอกย้ำความสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติว่า จะเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาประเทศให้มีความต่อเนื่อง แต่เวลาไม่นานหลังการประกาศใช้ในปี 2561 ก็แสดงให้เห็นชัดว่ายุทธศาสตร์ชาติฉบับนี้ไม่สามารถป้องกันประเทศจากวิกฤติต่างๆ ได้
ยุทธศาสตร์ของ คสช. เป็นหนึ่งในเครื่องมือสืบทอดอำนาจของ คสช. ทำให้ชนชั้นนำภาครัฐที่นำโดยกองทัพกับนายทุนผูกขาดสามารถมีบทบาทควบคุมการออกนโยบายการพัฒนาประเทศไปถึง 20 ปี ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยทหารและนายทุน ประธานคณะกรรมการก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเอง นอกจากนี้ กรรมการยุทธศาสตร์ชาติเกือบทั้งหมดต่างเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ คสช. ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ารัฐบาลในอนาคตจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม แม้จะสามารถชนะเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่การออกนโยบายหรือการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลนั้นจะอยู่ภายใต้แนวทางยุทธศาสตร์ชาติที่ คสช. วางเอาไว้
รัฐบาลสืบทอดอำนาจของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ เจ้าของยุทธศาสตร์ชาติ ดังนั้น จึงยังเห็นชัดว่ายุทธศาสตร์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อรัฐบาล คสช. แต่ในทางกลับกันหากเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ คสช. ก็อาจถูกกลไกยุทธศาสตร์ล้มรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ ส.ว. แต่งตั้งจาก คสช. มีอำนาจหน้าที่ติดตามการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ถ้าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเห็นว่ากระทำของรัฐบาลขัดต่อยุทธศาสตร์ชาติ และส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัด ก็ให้ยื่นต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่มาชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งต้องถูกปลดจากองค์กรซึ่งมีที่มาโยงใยจาก คสช. ทั้งหมด
แผนยุทธศาสตร์ที่เขียนขึ้นนั้นมีระยะใช้งาน 20 ปี คือตั้งแต่ปี 2561-2580 นับถึงปี 2563 แม้จะเพิ่งประกาศใช้ไม่นาน ก็สะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพในการที่จะนำประเทศไทยไปเผชิญความท้าทายกับโลกอนาคต ดังจะเห็นได้จากวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นหลังยุทธศาสตร์ชาติที่ไม่พบแนวทางในการแก้ไขปัญหา เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่การยกระดับรายได้ของคนไทยให้เทียบเท่าประเทศพัฒนาแล้วภายใน 20 ปี ก็ดูจะสวนทางการสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ตกต่ำและเหลี่ยมล้ำมากยิ่งขึ้น ดังนั้นยุทธศาสตร์ชาติของ คสช. จะเป็นสิ่งที่ล้าสมัยที่จะคอยเหนี่ยวรั้งการพัฒนาประเทศ และเป็นเครื่องมือทางการเมืองของ คสช. เท่านั้น